หลังจากจบการสนทนา เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บวิทยุสื่อสารแล้วพยักหน้าให้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ
เธอก้าวออกจากห้องกลับไปที่ทางเดินโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน หลงเยว่หง เดินต่อแถวกันออกมาแล้วจัดรูปขบวนเหมือนก่อนหน้านี้
ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำสั่งจากเจี่ยงไป๋เหมียน แต่พวกเขาต่างก็รู้ว่าจะต้องยิงประสานไปยังตำแหน่งไหน เพราะนี่คือหนึ่งในเรื่องหลักของการฝึกซ้อมที่พวกเขาฝึกจนเชี่ยวชาญมานาน
กล่าวได้ว่ายุทธวิธีเช่นนี้ พวกเขาล้วนแต่ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดีว่าจะต้องยิงไขว้กันในรูปแบบไหน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมากำหนดกันอีกแล้วว่าใครต้องยิงอย่างไร แต่ละคนต่างก็มีพื้นที่รับผิดชอบที่แยกกันตามตำแหน่งที่ยืนของตนเอง
ภายใต้ลำแสงสีเหลืองของไฟฉาย เฉียวชูที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงก็เดินมาจากทางเข้า
หลงเยว่หงอดประหม่าขึ้นมาไม่ได้ ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย
นี่มัน… เฉียวชูมี ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ คอยช่วยเหลืออยู่ เขาต้องรู้ตัวก่อนแน่ๆ
เฉียวชูขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนชะลอฝีเท้าลง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเข้ามาถึงระยะยิงที่กำหนดเอาไว้ ยกมือขวาขึ้นแล้วตะโกนขึ้นมาทันที
“ยิง!”
ในขณะเดียวกันเธอก็เล็งไปยังศีรษะเฉียวชูซึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในหมวกเกราะโลหะ
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามกระโดดขึ้นเพื่อหลบการยิง กระสุนปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ จะเจาะทะลวงลำคอที่ไม่ได้มีการป้องกันแน่นหนา
นี่เป็นจุดอ่อนและจุดวิกฤตของชุดเกราะกระดูกเสริมแรง
เสียงปืนดังปัง เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนเหนี่ยวไกก่อน
จากนั้นไป๋เฉินกับซางเจี้ยนเย่าที่รอฟังคำสั่งอยู่ด้านข้าง ต่างก็หยิบอาวุธ แล้วยิงเข้าไปที่บริเวณแขนซ้ายและสะโพกของเฉียวชูตามลำดับ
พวกเขาเล็งตำแหน่งยิงดักทางไว้ด้วย เผื่อว่าเป้าหมายจะฉีกหลบมายังทิศทางของตน เช่นถ้าเฉียวชูหลบไปด้านขวาของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซึ่งก็คือทางซ้ายของตัวเขาเอง กระสุนปืนไรเฟิลของไป๋เฉินก็มีโอกาสยิงถูกบริเวณแขนกับไหล่ที่ไม่มีเกราะหุ้มอยู่ และอาจมีโอกาสเจาะลำคอด้วย ถ้าเฉียวชูเลือกกลิ้งตัวเพื่อหลบการยิงด้วย ‘ปืนไรเฟิลจู่โจม’ ของซางเจี้ยนเย่าที่เล็งมาด้านล่างเล็กน้อย กระสุนก็จะทะลวงทำลายช่องท้องที่อ่อนนุ่มของเขา
ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะประหม่า แต่เขาก็เคยเผชิญกับเรื่องต่างๆ มาไม่น้อย จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำสั่งของหัวหน้าทีมทันที ลงมือตามภารกิจอย่างไม่ชักช้า
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! เขายิงติดต่อกันเป็นชุดไปยังตำแหน่งแขนขวาของเฉียวชู
เมื่อตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขวาขึ้น เฉียวชูก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
เขายกมือขวาที่ถือปืนไรเฟิลสีเงินขึ้นมา โดยให้ด้านที่มีเกราะโลหะที่หุ้มอยู่หันออกด้านนอก ปิดป้องกันลำคอด้านหน้าไว้ ในขณะที่ลดแขนซ้ายลงมาปิดป้องกันท้องน้อย พร้อมกับเล็งเกราะกระดูกโลหะสีดำที่มีปากกระบอกอาวุธไปที่ซางเจี้ยนเย่ากับพวก
ในระหว่างนี้เขาก็ออกแรงที่ขา ขับเคลื่อนข้อต่อให้ดีดตัวกระโดดพุ่งไปยังทางเดินด้านขวา
เกิดประกายไฟวูบวาบตามด้วยเสียงดังแคร้งก้องสะท้อนในชั้นใต้ดินอันเงียบสงัด
ข้อมือเจี่ยงไป๋เหมียนขยับวูบเล็กน้อยราวกับว่าเตรียมพร้อมไว้แล้ว เธอคาดการณ์เส้นทางหลบหลีกของเฉียวชูแล้วยิงออกไปทันที
ทันใดนั้นช่องรูสองสามช่องที่อยู่ด้านล่างกล่องพลังงานสะพายหลังของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงก็มีแก๊สสีขาวมากมายพวยพุ่งออกมา
พวกมันขับเคลื่อนให้เฉียวชูลอยขึ้นไปในแนวทแยงมุม เร่งความเร็วการเคลื่อนตัวของเขาอย่างเฉียบพลัน ทำให้หลบเลี่ยงกระสุนของเจี่ยงไป๋เหมียนไปได้
เสียงกระแทกดังปัง เฉียวชูยันเพดานด้วยมือข้างหนึ่งแล้วดีดตัวไปยังทางเดินด้านขวา หายไปจากครรลองสายตาของซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ
โครม!
เพดานที่เฉียวชูปะทะก่อนหน้านี้ร่วงลงมากระแทกพื้น แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“น่าเสียดายชะมัด…” เจี่ยงไป๋เหมียนได้แต่ทอดถอนใจ
ถ้าหากไม่มีชุดเกราะกระดูกเสริมแรง เมื่อสักครู่นี้พวกเขาคงทำเฉียวชูบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว หลังจากนั้นก็จะได้ลงมือจัดการทำอะไรอะไรที่ตนเองอยากทำ
* * * * *
ทางเดินด้านขวามือ เฉียวชูกลิ้งม้วนตัวสองตลบติดต่อกันก่อนจะหยุดพิงผนัง
เขานั้นด้านหนึ่งใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวโดยรอบ อีกด้านหนึ่งก็ยกมือซ้ายขึ้นมาเช็ดปลายคาง
หลังมือเขาปรากฏคราบเลือดสีแดง
“เป็นแบบนี้ได้ไงกัน…” เฉียวชูก้มหน้ามองพื้นโดยอาศัยแสงไฟที่ติดตั้งไว้กับชุดเกราะเสริมแรง
มีความสับสนงุนงงไม่เข้าใจอยู่ในน้ำเสียงของเขาอย่างชัดเจน
จากประสบการณ์ของเขาแล้ว มันน่าจะยังมีเวลาเหลืออีกอย่างน้อยหนึ่งวัน ก่อนที่เสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลจะพัฒนาจนกลายเป็น ‘ความชื่นชม’ อันบิดเบี้ยว ที่ต้องการครอบครองและดุร้ายเกรี้ยวกราด แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งสี่คนนั้นจะเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้
พวกคนทั้งสี่นั้นต่างจากสัตว์เดรัจฉาน หรือ ‘คนไร้ใจ’ ซึ่งเหลือเพียงสัญชาตญาณเรื่องผสมพันธุ์และต้องการครอบครอง ทำให้ความชื่นชมเปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นความคลั่งไคล้อย่างบ้าคลั่งในเวลาเพียงไม่นาน
ขณะที่กำลังพูดพึมพำกับตัวเองอยู่นั้น เฉียวชูก็หยิบกล่องกระจกสีฟ้าออกมาแล้วเปิดฝา
เขามองดูในกระจก เห็นว่าคางอันงดงามโค้งได้รูปของเขามีบาดแผล เลือดไหลซึมออกมา
นี่เป็นร่องรอยจากการถูกกระสุนถากไป
“กล้าดีนักนะ…” ม่านตาดำของเฉียวชูขยายตัวออก น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะอย่างไม่มีการอำพราง
เขาสูดหายใจเข้า มองดูเงาสะท้อนตัวเองด้วยความสงสาร ก่อนจะเก็บกล่องสีฟ้าลงไป
หลังจากปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ปิดแผลแล้ว เฉียวชูก็มองดูอย่างเย็นชาไปยังทางเดินที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ อยู่
เขานิ่งคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะล้มเลิกความคิดกลับไปแก้แค้นในตอนนี้ หันร่างกลับหลังแล้วเดินไปตามทางเดิน
เขายังไม่ลืมว่าเป้าหมายของตนในครั้งนี้คือห้องเครื่องใต้ดิน
นอกจากนั้น วัตถุประสงค์ที่ใช้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ไปสอดส่องดูว่าที่นี่มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ หรือพวกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทำให้การทำเสน่ห์ของเขาไม่ประสบผลหรือไม่นั้นก็บรรลุเรียบร้อยแล้ว
เขารู้มาตลอดว่าภายในอาคารแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายอยู่มากมาย ก่อนหน้านี้เขาก็เจอกับม้าฝันร้ายจากที่นี่ด้วย
* * * * *
“ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนี่มันรับมือได้ยากจริงๆ” หลงเยว่หงค่อนข้างผิดหวังเมื่อเห็นว่าไม่อาจสังหารเฉียวชูได้สำเร็จ ปล่อยให้เขาหลุดมือไปหาคนอื่นจนได้
นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่เขามีความรู้สึกต่อพลังอันแข็งแกร่งของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร
ไป๋เฉินเองก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนว่ากำลังเศร้าใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ มองไปทางหัวมุม
“ไปตรงนั้นกันเถอะ”
นั่นเป็นทิศทางตรงข้ามกับที่เฉียวชูมุ่งหน้าไป
“ไม่ไล่ตามเขาไปเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มให้เขา
“นายอยากไปทดสอบพลังผู้ตื่นรู้ของเขาหรือไงว่ามันแปลกพิสดารขนาดไหน”
การไล่ตามไปในอาคารที่มีผนังมากมายเช่นนี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะรักษาระห่างจากเป้าหมายโดยไม่เข้าไปอยู่ในระยะขอบเขตพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ แม้แต่ความสามารถในการตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าของเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ยังถูกลดทอนให้อ่อนแรงลงไปมาก
“นั่นก็จริง” เมื่อหลงเยว่หงนึกถึงพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่า เขาก็ล้มเลิกความคิดไล่ตามเฉียวชูไปอย่างไม่ลังเล
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ
“เป้าหมายของเราคืออ้อมไปที่บันไดให้เร็วที่สุด แล้วกลับขึ้นไปชั้นหนึ่ง”
เธออธิบายต่อทันที
“จุดประสงค์ของเฉียวชูคือค้นหาห้องเครื่องใต้ดินและเดินเครื่องจ่ายพลังงานของอาคารนี้ จากนั้นก็ไปที่ศูนย์เพาเวอร์กริดเพื่อเปิดระบบพลังงานของซากเมืองนี้
“นี่หมายความว่าอีกไม่นานเขาก็จะต้องขึ้นมาจากชั้นใต้ดินอย่างแน่นอน จากนั้นก็จะออกจากอาคารนี้เพื่อไปที่ห้องทดลอง
“ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็จะคิดต่อไปได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นที่โถงลิฟต์ชั้นหนึ่ง ที่บันได หรือแม้แต่จุดสูงที่สามารถสอดส่องมองเห็นพื้นที่รอบด้านได้ ก็เหมาะจะใช้ซุ่มยิงเฉียวชูได้ทั้งนั้น
“พวกเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ที่มีลักษณะพื้นที่ซับซ้อนแบบนี้ ในนี้น่ะ สิ่งกีดขวางก็เยอะ แล้วยังมีพวก ‘คนไร้ใจ’ แปลกๆ นั่นอีก”
ไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง ต่างก็ไม่คัดค้านเรื่องนี้ พวกเขารีบหยิบอาวุธแล้วเลี้ยวไปยังทางเดินด้านขวา
“หัวหน้าคิดว่าพลังพิเศษของเฉียวชูมีอะไรบ้าง” ในสภาพแวดล้อมมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟฉายวูบวาบไปมา หลงเยว่หงที่คอยคุ้มกันรอบด้าน เดินหน้าอย่างระมัดระวัง เอ่ยถามขึ้น
“ฉันว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ
การทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วที่สุดจะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงอันตรายได้ถึงครึ่ง หากต้องเผชิญหน้ากับเฉียวชูในภายหลัง
“ทำเสน่ห์ใช่ไหม” ไป๋เฉินยกความเป็นไปได้ที่เห็นได้ชัดที่สุด
ซางเจี้ยนเย่าเสริม
“ทำให้คนหมกมุ่นคลั่งไคล้การวาดรูป”
เขาจำได้ว่าตอนที่เขากำลังจะปลุกปล้ำเฉียวชูในรถจี๊ปนั้น อีกฝ่ายใช้เพียงกระดาษหนึ่งแผ่น ปากกาหนึ่งด้าม และคำพูดอีกหนึ่งประโยคเพื่อหยุดตนเองไว้
“ไม่ใช่สิ” ซางเจี้ยนเย่าปฏิเสธทฤษฎีตัวเองทันที “น่าจะเป็นพลังที่สร้างความชื่นชอบ หรือไม่ก็กระตุ้นความคลั่งไคล้ในกิจกรรมบางอย่าง…”
“นายเจอพลังนี้มากับตัวเอง มีประสบการณ์โดยตรง ก็น่าจะเป็นอย่างที่นายพูดนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แย้งอะไร หันไปพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาคิดจะฆ่าหลงเยว่หง พวกเราทุกคนเหมือนจะรู้สึกหดหู่สิ้นหวังกันสุดๆ จนไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น”
“ทำให้คนหดหู่เหรอ เป็นพลังผู้ตื่นรู้ชนิดที่สาม… นี่เขาต้องสละอะไรไปนะ ถึงได้พลังการทำเสน่ห์ที่ทรงพลังจนน่ากลัวขนาดนั้นมาได้” พอหลงเยว่หงพูดออกมาก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที “ทำไมตอนนี้พวกเราถึงได้คุยเรื่องการทำเสน่ห์ของเฉียวชูได้เป็นปกติแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวนะ ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงอยากฆ่าเขาแล้วเก็บเขาไว้เป็นตัวอย่างของสะสมล่ะ”
“ก็นายจิตวิปริตน่ะสิ” ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองหลงเยว่หง
“เป็นเพราะฝีมือนายต่างหาก ที่ทำให้ฉันคิดแบบนั้น…” แล้วหลงเยว่หงก็ชะงักไป “เฮ้ พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ของนายไม่ได้ผลแล้วเหรอ ทำไมฉันถึงไม่ได้อยากฆ่าเฉียวชูแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าครุ่นคิด
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะออกมานอกระยะการทำเสน่ห์ของเฉียวชูแล้วสินะ
“สาเหตุที่การ ‘ชักจูง’ ก่อนหน้านั้นประสบผลเพราะว่าพวกเราชื่นชอบเฉียวชู พอไม่มีเงื่อนไขนี้แล้ว การอนุมานข้อสรุปก็เลยล้มเหลวไปโดยปริยาย”
ไป๋เฉินคิดใคร่ครวญแล้วพูดขึ้น
“งั้นพวกเรายังจะตามไปขัดขวางเฉียวชูอยู่อีกหรือเปล่า”
“แหงสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนยืนยันหนักแน่น “ฉันน่ะเป็นคนใจแคบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไอ้หมอนั่นมันทำให้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แถมยังกินธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง แล้วก็อาหารกระป๋องของพวกเราอีก ยังไงก็ต้องล้างแค้น ต้องให้เขาชดใช้!”
ทำไมคำพูดนี้มันฟังดูคุ้นๆ นักนะ…
หลงเยว่หงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แต่ว่า…”
ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดเฉียวชู แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อเสี่ยงในเรื่องนี้ รีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดไม่ดีกว่าหรือไง
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาและซางเจี้ยนเย่าก่อนจะร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“เหตุผลหลักก็คือพวกเราต้องรออยู่นี่ก่อนซักพัก เพื่อดูว่าหลังจากที่เดินเครื่องจ่ายพลังงานให้กับทั้งเมืองแล้ว จะเกิดเหตุเปลี่ยนแปรอะไรหรือเปล่า เหอะ เหอะ หรือว่าจะไม่ปล่อยให้เดินเครื่องดีนะ
“ถึงยังไงพวกเราก็ออกจากซากเมืองโดยใช้ทางที่เราเข้ามาไม่ได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้น งั้นก็รอเฉียวชูก่อนซักพักเถอะ ยังไงก็ไม่เสียเวลานักหรอก”
พอพูดจบเธอก็ถามต่อ
“พวกนายเคยเห็นแอ่งเลือดเนื้อเต้นตุบๆ จนทำให้คนหวาดกลัวสุดขีดบ้างไหม หรือหญิงแก่สวมหมวกไหมพรม หรือว่าโครงกระดูกเด็กทารกในห่อผ้าอ้อม”
“ไม่เคย” หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า ต่างก็สั่นศีรษะพร้อมกัน
“ฉันก็ไม่เคย” เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า “ถ้างั้นภาพลวงตาที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ สร้างนั้นมาจากไหนกันล่ะ
“ในเมื่อพวกเราไม่มีใครเคยเห็น งั้นก็ไม่ได้มาจากคิดของเราเอง ยังไงซะ ภาพลวงตาพวกนี้มันก็ต้องมีแหล่งที่มาใช่ไหมล่ะ
“ยิ่งพอพิจารณาจากสติปัญญาระดับต่ำของพวกมันด้วยแล้ว ไม่มีทางจินตนาการของพวกนี้ออกมาเองได้แน่”
ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาทันที
“บางที ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเคยเห็นแอ่งเลือดเนื้อเต้นตุบๆ เคยเห็นหญิงชราสวมหมวกไหมพรม กับโครงกระดูกเด็กทารกในห่อผ้าอ้อม แล้วก็กลิ่นอายที่ทำให้คนหวาดกลัวสุดขีดมาก่อน”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไปชั่วครู่หนึ่ง เสียงเขากลายเป็นเสียงเย็นอึมครึมน่าสะพรึงทันที
“มันอาจจะเคยได้ยินหญิงชราพูดว่า
“พวกเจ้า… ส่งเสียง… รบกวน… เสี่ยวชง…”
ภายใต้แสงไฟฉาย ใบหน้าซางเจี้ยนเย่าบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่างสลับวูบวาบไปมา
Next