รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 83 เมืองที่สว่างขึ้นมา

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 83 เมืองที่สว่างขึ้นมา

ณ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ชั้น 17

เฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงและสะพายปืนไรเฟิลสีเงินไว้ที่หลัง เดินกลับไปยังโถงหน้าลิฟต์

เขากำลังจะกดปุ่มเพื่อให้ลิฟต์ที่ก่อนหน้านี้หยุดอยู่ที่ชั้น 16 เลื่อนขึ้นไปต่อด้านบน ก็พลันเห็นว่าตัวเลขแสดงตำแหน่งชั้นของลิฟต์อีกตัวที่อยู่ด้านข้างนั้นเปลี่ยนจากเลข ‘16’ เป็น ‘17’

นั่นหมายความว่าอีกสองสามวินาทีหลังจากนี้ประตูลิฟต์ตัวนั้นจะเปิดออก และมีแนวโน้มสูงว่าคนที่อยู่ข้างในลิฟต์ตัวนั้นจะเป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร

เฉียวชูไม่รีรอ ดวงตาสีทองภายใต้แว่นนิรภัยปรากฏระลอกคลื่นที่กึ่งเสมือนจริงกึ่งเสมือนมายาวูบไหว

และเกือบจะเป็นเวลาเดียวกันนั่นเอง เขาก็เห็นร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่รอบตัว

ร่างที่ดูเหมือนภาพลวงตารางๆ เหล่านี้รีบพุ่งเข้าหากระถางต้นไม้ในโถงหน้าลิฟต์ กลืนกินใบไม้เหลืองกรอบ กิ่งไม้แห้งเหี่ยว และดินที่แตกระแหงอย่างบ้าคลั่ง

เฉียวชูนั้นแม้ว่าในทางกายภาพแล้วเขาไม่ได้รู้สึกหิว แต่ราวกับได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้จนทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังหิวโหยจนต้องหาอะไรกิน

ความคิดเช่นนี้ถาโถมเข้าสู่จิตใจจนทำให้ไม่อาจคิดอะไรอย่างอื่นได้อีก

เปรตหิวโหย!

มือเฉียวชูที่ห่อหุ้มด้วยโครงโลหะสีดำรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอาเนื้อวัวตากแห้งออกมาถุงหนึ่งแล้วฉีกกระชากซองให้ขาดออก

จากนั้นก็ยัดเนื้อวัวแห้งสีดำเข้าปากอย่างบ้าคลั่ง พยายามฝืนกลืนลงคอ

แต่ทว่าเนื้อวัวแห้งนั้นแข็งราวกับหิน ถ้าหากไม่อมน้ำลายให้ชุ่มจนนิ่มหรือใช้ฟันฉีกกัดบดเคี้ยวเสียก่อนย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะกลืนมันลงไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ทำให้เฉียวชูถึงกับสำลักไม่หยุดจนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงต้องเสียชีวิตเพราะอาหารติดคอตาย กลายเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของสถาบันวิจัยที่ตายได้อย่างน่าอนาถน่าอับอายขายหน้าที่สุด

ด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดและความจริงที่ว่าอาหารได้เข้าปากไปแล้ว ทำให้เขาพอจะฝืนทนสะกดความคิดที่ว่าตนเองกำลังหิวโหยได้ในระดับหนึ่ง และสามารถเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อเคี้ยวอาหารในปากได้บ้าง

แล้วในตอนนี้บานประตูโลหะสีเทาแก่ของลิฟต์ด้านข้างก็เลื่อนเปิดออก มีหุ่นยนต์สีดำสวมชุดหลวงจีนขาดรุ่งริ่งห่มจีวรแดงตนหนึ่งกระโดดออกมา

ดวงตาประดิษฐ์บนใบหน้าโลหะของจิ้งฝ่าส่องแสงสีแดงจ้าราวกับว่าย้อมทั้งโลกด้วยผืนโลหิต

เขามองไปยังเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรง แต่แทนที่จะยกมือขึ้นมาเพื่อใช้เครื่องยิงระเบิด อาวุธเลเซอร์ หรือเครื่องพ่นไฟยิงเข้าไปโดยตรง เขากลับสาวเท้าก้าวยาวแล้วกระโดดเข้าไปหาเพื่อจะใช้กำปั้นเหล็ก… กำปั้นเหล็กของจริง ระดมชกใส่อีกฝ่ายให้มึนงง

เฉียวชูไม่อาจหยุดกัด เคี้ยว และกลืนเนื้อวัวได้ เขาได้แต่พยายามห่อตัวแล้วกลิ้งม้วนตัวไปด้านข้างอย่างยากลำบาก ทำให้รอดพ้นจากการชกของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าไปได้เฉียดฉิว

ในระหว่างนี้เขาก็ยังคงล้วงมือขวาเข้าไปในกระเป๋าเพื่อควานหาอาหารอันเนื่องจากแรงกระตุ้นอันแก่กล้าของความหิวโหย

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะหยิบธัญพืชอัดแท่งออกมา แต่ยังมีไพ่ติดมาด้วยอีกสำรับหนึ่ง

เฉียวชูรีบกลืนเนื้อวัวแห้งลงไปจนทำให้ตาเหลือกน้ำตาเล็ด แต่ก็ช่วยบรรเทาความหิวลงไปได้เล็กน้อย เขาใช้กำลังที่เหลือรีบโยนไพ่ลงบนพื้นทันที

ตุ้บ!

เสียงสำรับไพ่หล่นลงบนพื้น เฉียวชูรีบพุ่งม้วนตัวไปอยู่ใกล้บันได

ภาพที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาคือภาพหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าที่หันกลับมาและพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วอีกครั้งพร้อมกับดวงตาเรืองแสงสีแดง

“ไป… เล่น… ไพ่…” เฉียวชูด้านหนึ่งก็พยายามกลืนเนื้อวัวและธัญพืชอัดแท่ง อีกด้านหนึ่งก็พูดออกมาสามคำด้วยน้ำเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน

จิ้งฝ่าที่เพิ่งจะพุ่งเข้ามาหาเขาก็พลันหยุดชะงักทันที

หลวงจีนจักรกลหันหน้าไปครึ่งรอบ มองลงไปที่สำรับไพ่บนพื้น

แสงสีแดงในดวงตาของเขากะพริบวาบขณะที่เท้าก็ก้าวเดินเข้าไปอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ จากนั้นก็ก้มตัวลงไปหยิบไพ่ขึ้นมา

ในตอนนี้สำหรับเขาแล้วดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญกว่าการเล่นไพ่อีกแล้ว

ถึงแม้ว่าสหายจะร้องขอความช่วยเหลือ หรือว่ามีอันตรายอยู่ใกล้แค่เอื้อม ยังไงก็ต้องขอเล่นไพ่สักตาเสียก่อน

เมื่อจิ้งฝ่าหยิบไพ่ขึ้นมา ความหิวโหยของเฉียวชูก็สลายหายไปทันที ฟื้นสภาพกลับมาเป็นคนปกติ แต่ก็ยังคงสำลักอยู่บ้างเล็กน้อย

เขาพอจะนึกภาพได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเองภายใต้หมวกโลหะนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร

ภาพเหตุการณ์ในขณะนั้น เนื่องจากจะต้องพยายามสุดชีวิตเพื่อให้กลืนอาหารลงไปให้ได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องอาหารติดคอจนเสียชีวิต ดังนั้นหน้าตาเขาจะต้องบิดเบี้ยวเหยเก ดวงตาเหลือกถลนเล็กน้อย น้ำมูกน้ำตาไหลพราก ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่อาจจะเรียกว่าหล่อเหลาได้เลย

นี่ทำให้เขาโกรธสุดขีด ยกแขนขึ้นมาเพื่อเตรียมจะโจมตีใส่จิ้งฝ่าด้วยเครื่องยิงระเบิดและอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าพร้อมๆ กัน

แต่ตอนนี้จิ้งฝ่าได้หันหน้ามาหาเขาเสียก่อน และพูดด้วยน้ำเสียงสังเคราะห์ที่เย็นชาเป็นเอกลักษณ์

“มาเล่นไพ่ด้วยกันเถอะ”

สิ่งที่จิ้งฝ่าต้องสละไปนั้นเป็นมูลค่าที่สูงมาก จึงทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทางจิตที่รุนแรงมากเสียจนไม่อาจจะเล่นไพ่อย่างเงียบๆ อย่างใจจดใจจ่อได้ ดังนั้นเขาจึงผสมผสาน ‘กิจกรรมอดิเรก’ ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ดึงให้เฉียวชูมาร่วมด้วย!

ขณะที่หลวงจีนจักรกลพูดขึ้น เฉียวชูก็เห็นร่างที่เลือนลางจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าตนเองหิวโหยสุดจะทนทานจนต้องหาอะไรกิน

ยังดีที่อาหารยังคาอยู่ในปากซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่ได้กลืนลงคอจนหมด จึงทำให้เขาไม่ถึงกับ ‘หิวโซ’ ตั้งแต่แรก ยังพอจะเบนความสนใจไปทำยังอื่นได้อยู่

เฉียวชูรีบยกมือซ้ายขึ้นมาและปิดแว่นนิรภัยของหมวกโลหะลงไป

ฉับพลันนั้นเขาพลันรู้สึกหดหู่เศร้าหมองสุดขีด แม้ว่าจะยังรู้สึกหิวโหยอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อยากกินอะไร ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น

เขาไม่ได้สำลักอีกแล้ว ปล่อยมือลงแล้วมองไปที่หลวงจีนจักรกลที่ถือไพ่อยู่ในมือ

ความเศร้าหมองหดหู่นั้นราวกับเป็นโรคติดต่อ จู่ๆ จิ้งฝ่าก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่ไร้ความหมาย ทุกเรื่องราวทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นเพียงฝันมายา

ภายใต้ความเศร้าหมองหดหู่อันยากอธิบาย หลวงจีนจักรกลสีดำทะมึนราวกับจะตระหนักบางสิ่งขึ้นมาได้ เขารีบนั่งขัดสมาธิประนมสองมือเข้าด้วยกัน พูดพึมพำเบาๆ

“นโมอนุตรสัมมาสัมโพธิ สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา เปรียบดังฝันลวงตา…[1]”

เฉียวชูรู้สึกโล่งใจทันที ใช้กำลังจากเอวและท้องน้อย แล้วอาศัยชุดเกราะกระดูกเสริมแรงดีดตัวกระโดดขึ้นไปบนอากาศ

แก๊สสีขาวพวยพุ่งออกมา ผลักเขาให้เคลื่อนในแนวขวางไปยังบันได

หลังจากที่ลงสู่พื้นแล้วเขาก็ยกแขนขึ้นเล็งเครื่องยิงระเบิดไปที่หลวงจีนจักรกลที่สวมชุดหลวงจีนขาดรุ่งริ่งห่มจีวรแดง

จิ้งฝ่ายังคงท่องสวดพระคัมภีร์ด้วยเสียงพึมพำเบาๆ ราวกับว่ากำลังเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง

แต่เมื่อเฉียวชูมองดูลูกระเบิดที่บรรจุอยู่ในเครื่องยิงระเบิดก็พบว่ามันไม่ใช่ระเบิดอานุภาพสูง ทำให้เขาเกิดความลังเลขึ้นมา

เนื่องจากตอนแรกคาดไว้ว่าศัตรูที่ต้องเผชิญนั้นเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ และสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ เขาจึงไม่ได้เปลี่ยนลูกระเบิดที่บรรจุไว้

ระเบิดธรรมดาเช่นนี้เพียงแค่หนึ่งหรือสองนัดคงไม่สามารถทำลายหลวงจีนจักรกลลงได้

กลับกลายเป็นว่าพอยิงไปแล้วจะทำให้หลวงจีนจักรกลนั่นหลุดจากสภาวะความหดหู่เสียมากกว่า ถึงยิงด้วยอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าก็คงให้ผลไม่ต่างกัน

เฉียวชูไม่สามารถทำให้คนที่หดหู่อยู่แล้วเกิดความหดหู่เพิ่มขึ้นอีกได้ และไม่สามารถทำให้เป้าหมายเกิดความรู้สึกเศร้าหมองหดหู่ได้ตลอดไป แต่ถ้าหากว่าเขาพลาดช่วงจังหวะนี้ไปแล้ว เมื่อใดที่ช่วงเวลาความหดหู่ของหลวงจีนจักรกลสิ้นสุดลงและเขาสลับเปลี่ยนลูกระเบิดไม่ทันเวลา สถานการณ์จะกลายเป็นเลวร้ายลงไปอีก

หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่สองวินาที เฉียวชูก็เม้มปากตัดสินใจทิ้งโอกาสนี้ไป

เขาหันหลังกลับแล้วออกวิ่งตรงไปยังบันได จับราวบันไดกระโดดลงไปยืนที่ชั้นถัดไปอย่างมั่นคง

ด้วยวิธีนี้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากชุดเกราะกระดูกเสริมแรง เฉียวชูจึงกระโดดลงไปทางช่องบันไดทีละชั้น แล้วก็ออกจากชั้น 17 ตรงไปที่ชั้นล่างได้อย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้หลวงจีนจิ้งฝ่าได้สวดภาวนาเสร็จสิ้นแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา

บนใบหน้าโลหะสีดำของเขา ดวงตาประดิษฐ์ส่องแสงสีแดงราวกับเลือดขึ้นมาอีกครั้ง

วินาทีถัดมา จิ้งฝ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็กระโดดจากท่านั้นไปที่บันได ซึ่งเกินกว่าที่โครงสร้างร่างกายของมนุษย์ธรรมดาจะทำได้

เขาลอกเลียนวิธีการของเฉียวชู โดยการจับราวบันได แล้วพลิกตัวกระโดดลงไป

* * * * *

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของตู้เหิงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้ลังเลอะไร รีบหันหน้าไปทางซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ทันที

“ออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย”

หลังจากออกคำสั่งแล้ว เธอก็หันหน้าไปพยักหน้าให้ตู้เหิง

“ระวังตัวด้วยนะคะ

“หวังว่าจะได้พบกันอีก”

ตู้เหิงพูดด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อถึงตอนนั้น หวังว่าพวกคุณจะมีข้อมูลสำคัญ หรือข่าวสารที่พวกเราจะทำการค้ากันได้นะ”

จากนั้นเขาก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า

“การลงแรงทุ่มเทเพื่อเพิ่มพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้นั้นไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป สิ่งที่ต้องสละไปนั้น จะไม่มีอะไรสามารถมาชดเชยได้ตลอดกาล คุณต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียเอาเอง”

โดยไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ ตู้เหิงลุกขึ้นยืน ย่อเอวแล้วกระโดดเข้าไปในเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่เสี่ยวชงหายลับไป

“ไปกันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า ยืดตัวตรงถือปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ วิ่งเหยาะกลับยังตำแหน่งปิดท้ายด้านหลังของกลุ่มตามรูปขบวนก่อนหน้านี้

ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงรั้วด้านข้าง

หลงเยว่หงที่รับผิดชอบปีกซ้ายรีบมองกวาดออกไปนอกรั้ว ทันใดนั้นก็พบกับดวงตาคู่หนึ่งที่ขุ่นมัวและมีเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ

“คนไร้ใจ…” หลงเยว่หงตกตะลึง เขารีบยกปืนไรเฟิลขึ้นมาตามสัญชาตญาณทันทีพร้อมกับฉากหลบไปด้านข้าง

ที่ถนนด้านนอก ด้านบนของเสาโลหะสูงนั้นมีแสงไฟส่องสว่างเรียงราย เสาแต่ละต้นส่องสว่างพื้นที่ในบริเวณของตนเองเป็นจุดเป็นจุดไป

เท่าที่หลงเยว่หงรู้ นี่น่าจะเป็นไฟถนนของโลกเก่า ในตอนนี้มีอย่างน้อยร่วมครึ่งหนึ่งที่ยังคงใช้งานได้ตามปกติ

‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นยืนอยู่ใต้ไฟถนนที่อยู่เยื้องไปด้านหน้า มันคลุมกายด้วยเสื้อแจ็คเก็ตเหี่ยวย่นสีน้ำเงิน สวมหมวกปีกกว้างสีเดียวกัน ในมือถือไม้กวาดและที่โกยขยะทำจากเหล็ก

บนใบหน้าของมันมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหยาบกระด้างมาก ไม่มีร่องรอยของสติปัญญาอยู่ในดวงตา จ้องมองหลงเยว่หงและคนอื่นๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่แสดงสัญญาณว่าจะโจมตีมา

ฉากเบื้องหน้านี้ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกประหลาดใจมากเสียจนขัดจังหวะความพยายามที่จะเหนี่ยวไกปืนของตนเองไป

‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นก้มหน้าไปกวาดใบไม้ที่ร่วงลงมาต่อ มันกวาดไปกองรวมกันไว้ข้างถนนเป็นกองๆ

เมื่อเห็นแบบนี้เข้า ไป๋เฉินกับคนอื่นๆ พอจะคาดเดาได้บางเรื่องซึ่งอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก

“ออกไปกันก่อนเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว รีบปีนข้ามรั้วโลหะออกไป

หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า ทยอยปีนออกจาก ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ทีละคนภายใต้การคุ้มกันจากสหาย ในที่สุดพวกเขาก็กลับออกมายังถนนด้านนอกได้

“มันกำลังกวาดใบไม้…” หลงเยว่หงอดใจมองดู ‘คนไร้ใจ’ ที่ไม่ได้สนใจจะ ‘ล่าเหยื่อ’ ไม่ได้

เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังฝั่งตรงข้าม

“ดูนั่นสิ”

ตามทิศทางที่เจี่ยงไป๋เหมียนบุ้ยหน้าไป ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ มองเห็นอาคารสูงหลังหนึ่ง

ด้านล่างของอาคารสูงนั้นเป็นห้องเรียงรายติดๆ กัน ด้านบนแต่ละชั้นเป็นกระจกหน้าต่างที่มีแสงไฟสว่างไสวส่องออกมา

แสงสว่างพวกนี้ราวกับก่อตัวเป็นแสงรัศมีรอบด้าน ทำให้ในใจของหลงเยว่หงรู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก

ด้านหลังของหน้าต่างชั้นล่างบางส่วนมีเงาคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่

พวกเขาบางคนดูเหมือนกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่แล้วเดินกลับไปกลับมา บางคนก็ถือผ้าริ้วเช็ดกระจกหน้าต่างอย่างตั้งอกตั้งใจ บางคนนั่งบนโซฟาริมหน้าต่างถือของที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มองดูหน้าจอ LCD ที่ผนังฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาว่างเปล่า…

เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ยากที่จะมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงพวกเขาสวมเสื้อผ้าล้าสมัยและปนกันมั่วไม่เข้าชุด การเคลื่อนไหวของพวกเขาแข็งทื่อ สายตาเฉื่อยชา เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘คนไร้ใจ’

บนหน้าจอ LCD ที่ ‘คนไร้ใจ’ ดูอยู่นั้นเป็นภาพสีสันหลากหลาย มีทิวทัศน์ มีผู้คน มีตัวอักษร มีกรอบสี่เหลี่ยม แต่ทว่าภาพบนหน้าจอนั้นหยุดนิ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

แต่ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นก็ยังคงจ้องมองดูอย่างใจจดจ่อ

เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์ซับซ้อน

“พวกนี้คงเป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่คอย ‘ดูแล’ เมืองนี้อยู่เป็นระยะสินะ…

“เมื่อไหร่ที่ไฟฟ้าส่องสว่าง พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนคนปกติ…”

* * * * *

[1] สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา เปรียบดังฝันลวงตา (一切有为法,皆如梦幻泡影) เป็นข้อความในคัมภีร์จินกังจิง (金刚经 วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร) ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน เป็นคัมภีร์ที่อรรถาธิบายถึงหลักศูนยตา ความว่างเปล่าปราศจากแก่นสารของอัตตาตัวตนและสรรพสิ่งทั้งปวง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท