รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 102 เวชระเบียน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 102 เวชระเบียน

เมื่อเผชิญกับคำถามของไป๋เฉิน เจี่ยงไป๋เหมียนก้มศีรษะยิ้มให้

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก

“ต้องรอให้มีการประชุมคณะกรรมบริหารครั้งต่อไปก่อน ถึงจะทำการตัดสินใจน่ะ

“แต่ทาง รมช.เซ็นนีบอกว่าทัศนคติของพวกกรรมการบริหารค่อนข้างเปิดกว้างต่อเรื่องนี้ จุดที่ยังติดขัดอยู่มีเพียงเรื่องเดียวคือจะวิธีการดูแลแบบไหน”

“อืม อืม” ไป๋เฉินถอนใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“เรื่องกระดาษที่ซางเจี้ยนเย่าเอากลับมาจากซากปรักโรงงานเหล็ก ทางห้องแล็บส่งรายงานกลับมาให้แล้ว

“กระดาษพวกนั้น มีสองแผ่นที่มีรอยเขียนจากกระดาษด้านบน หลังจากผ่านการฟื้นสภาพและเปรียบเทียบแล้ว สามารถระบุได้ว่านี่เป็นเวชระเบียน[1]

“เวชระเบียนนี้มีไม่ครบ เนื้อหาหลักก็คือ ชื่อ ฟ่านเหวินซือ – เพศ หญิง – อายุ 52 ปี – สถานภาพ สมรส – ที่อยู่ ห้อง 302 อาคาร 4 เขตครอบครัว เขต 2 ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ สภาพจิตใจปกติ

“อาการหลัก: มองเห็นร่างของลูกชายอย่างน้อยวันละครั้งตั้งแต่เจ็ดวันก่อน ลูกชายของผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่สองสามปีก่อน กลายเป็นสภาพผัก[2] ปัจจุบันได้รับการรักษาในรูปแบบใหม่ในฐานะอาสาสมัครของที่ไหนสักแห่งในภาคเหนือ…”

หลังจากที่อ่านจบแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูทุกคนรอบๆ

“เป็นไงบ้าง คิดอะไรออกบ้างไหม”

“เวชระเบียนผู้ป่วยทางจิตเวชนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก” หลังจากที่ไป๋เฉินได้เข้าร่วมกับบริษัทจึงได้รู้ว่าอะไรคือเวชระเบียน

หลงเยว่หงถาม

“โรงพยาบาลที่โรงงานเหล็กนั่นสามารถรักษาผู้ป่วยทางจิตได้ด้วยเหรอ”

จากความเห็นของเขา ที่นั่นใหญ่กว่าคลินิกประจำชั้นของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เพียงเล็กน้อยแค่นั้นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น โรงพยาบาลหลักทั้งสามแห่งใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็มีเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาผู้ป่วยจิตเวชได้

“คนไข้อาจจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยทางจิตก็ได้ อาจแค่สงสัยว่าสายตาตัวเองมีปัญหาก็เลยมาให้แผนกผู้ป่วยนอกตรวจดู แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเองว่าจะให้ผู้ป่วยย้ายไปโรงพยาบาลไหน ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาใส่ใจ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามใช้สถานการณ์ภายในของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาอธิบาย

จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าที่ฟังการสนทนาอย่างเงียบๆ มาตลอดก็ถามขึ้น

“ถ้าหากว่าผู้ป่วยไม่ได้มีปัญหาทางจิต ดวงตาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ งั้นจะสามารถมองเห็นร่างลูกชายอย่างน้อยวันละครั้งได้ไหม”

หลงเยว่หงซี๊ดปาก

“เลิกเล่าเรื่องผีซะที นั่นมันเจ้าชายนิทราต่างหาก!

“ต่อให้ถอยไปหมื่นก้าว[3]ก่อนก็เถอะ สมมติว่าลูกชายเธอได้รับการรักษาจนหายขาดและฟื้นขึ้นมา มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องซ่อนตัวไม่ให้แม่เห็น แล้วก็แอบย่องโผล่มาวันละหนนี่นา”

การคาดเดาของซางเจี้ยนเย่าทำให้หลงเยว่หงเกิดความรู้สึกขนลุกเกรียวจากความเย็นเยียบราวกับว่าตนเองถูกลมหยินเย็นยะเยือก[4]พัดโชยมา

ลมหยินเย็นยะเยือก…

ลม…

หลงเยว่หงตาเบิกกว้าง

“นายเปิดสวิทช์พัดลมตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!”

เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าซางเจี้ยนเย่าแอบกดสวิทช์เปิดพัดลมไร้เสียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของหัวหน้าทีม

ในเวลากลางวันที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ บางครั้งอากาศค่อนข้างร้อนอยู่บ้าง

“เปิดตอนที่พวกนายกำลังคุยกันนะสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม “ช่วยเสริมบรรยากาศขึ้นมาอีกเยอะเลย!”

“ประหยัดไฟหน่อยสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนกระแทกปุ่มกดเพื่อปิดสวิทช์พัดลม

เธอหันไปพูดต่อ

“เพียงแค่เอกสารเวชระเบียนแผ่นเดียว มันบอกอะไรไม่ได้มากนักหรอก แต่ว่านี่เป็นข้อมูลที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า ยังไงก็เก็บเข้าแฟ้มไว้ก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าวันดีคืนดีมันอาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้ เกิดมันไปเชื่อมโยงกับเบาะแสอื่นๆ นั่นก็จะทำให้เรารู้บางเรื่องได้”

“เอาละ” เธอตบมือ “ข้อมูลในวันนี้คือประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ในสมัยก่อนได้รวบรวมไว้”

“ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่างั้นเหรอ” ไป๋เฉินพอจะอนุมานได้ว่าคำนี้หมายถึงอะไร แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นเคยอยู่ดี

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า

“ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าก็คือคำบอกเล่าจากคนที่มีประสบการณ์เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ตรงที่ได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเองหรือจะได้ยินได้ฟังมาอีกทีก็ตาม

“‘ทีมสำรวจเก่า’ ในอดีตนั้น งานหลักของพวกเขาในช่วงแรกก็คือการรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ แต่ทว่าหลังจากที่พวกเขาหายสาบสูญไป สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำและเก็บเกี่ยวได้มาก็ล้วนแต่จมหายไปในห้วงมหาสมุทรแห่งประวัติศาสตร์ อ้อ… จากโทรเลขที่ได้รับมา พวกเขายังมีประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าที่สำคัญอีกชุดหนึ่งซึ่งยังไม่ทันได้รายงานกลับมา

“ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าที่พวกเราได้รับนั้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากพนักงานสูงอายุภายในบริษัทที่ตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่ กับคนที่มีประสบการณ์ในช่วงที่โลกเก่าถูกทำลายล้าง ซึ่งพวกนี้เป็นข้อมูลที่ล้ำค่ามาก ทุกวันนี้คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว

“หลังจากที่อ่านข้อมูลพวกนี้ซ้ำไปซ้ำมา และแยกแยะเบาะแสกับข้อมูลที่มีประโยชน์ออกมาได้แล้ว เราก็เปลี่ยนไปใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าชุดที่สอง ซึ่งได้รับมาจากผู้รอดชีวิตจากสมัยโลกเก่าที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง อย่างเช่นคนแบบเจ้าเมืองเถียนที่เมืองน้ำล้อมน่ะ

“ข้อมูลชุดที่สามต่อจากนั้นก็ไม่มีแล้ว เราต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น

“สรุปก็คือพวกเราต้องค้นหาเป้าหมายโดยอิงจากข้อมูลในเอกสารพวกนี้ หรือไม่ก็ตามรอยของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ในอดีตโดยดูจากสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในรูปแบบข้อความอิเล็กทรอนิกส์”

ซางเจี้ยนเย่าฟังจนถึงตอนนี้ก็ยกมือขึ้นมา

“ถึงนายไม่พูด ฉันก็รู้แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย “นายจะเลือกวิธีที่สองสินะ”

ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ

“ทั้งสองตัวเลือกอาจจะไม่มีความแตกต่างกันก็ได้”

เจี่ยงไป๋เหมียนตระหนักขึ้นมาทันที

“นายกำลังจะบอกว่าเส้นทางที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เลือกไว้ก่อนหน้านี้สมควรอยู่บนพื้นฐานของเบาะแสที่ดึงออกมาจากประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าพวกนี้อยู่แล้วงั้นสินะ”

“เปล่า” ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะอีกครั้งแล้วพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงราวกับแม่เหล็ก “โชคชะตาได้กำหนดเส้นทางไว้ให้เราแล้ว ซึ่งมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น”

เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขาแล้วหันหน้าไปถามหลงเยว่หง

“คำพูดนี่ก็มาจากรายการวิทยุใช่ไหม”

หลงเยว่หงพยักหน้าหนักแน่น

“ใช่ครับ!”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มองซางเจี้ยนเย่า แต่กลับไปยิ้มและพูดกับไป๋เฉินแทน

“เมื่อกี้ลืมบอกไปว่าให้เธอย้ายไปอยู่ที่ชั้น 622 ส่วนจะเป็นห้องเลขที่เท่าไหร่ เดี๋ยวไว้จะมีคนติดต่อไปอีกที

“ฮ่า ฮ่า คืนนี้เธอจะได้ฟังวิทยุออกอากาศแล้ว”

ไป๋เฉินตอบรับ “ค่ะ” ออกมาคำหนึ่ง สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอโบกมือราวกับว่ากำลังปัดไล่ยุง

“ไปอ่านข้อมูลกันได้แล้ว

“ซางเจี้ยนเย่า ห้ามเปิดเพลงนะ!”

“ผมควบคุมมันไม่ได้ครับ!” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงดังฟังชัด

“งั้นนายก็ใช้เหตุผลคุยกับมันสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยความหงุดหงิด

ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าสว่างวาบขึ้นมาราวกับว่าเขาได้ค้นพบว่าวิธีนี้นั้นช่างสอดคล้องกับความคิดของตนเองยิ่งนัก

เขานั่งลงไปแล้วพูดกับลำโพงตัวเล็กที่เป็นสีดำมีด้านล่างเป็นสีน้ำเงิน

“ฉันต้องลำบากลำบนซ่อมแกอยู่ตั้งนาน แกก็เชื่อฟังกันหน่อยสิ…”

“ฉันเชื่อแล้วว่าเขามีใบรับรองแพทย์จริงๆ” หลงเยว่หงนิ่งอึ้งมองดูอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพึมพำออกมา

“หือ นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงศีรษะเงี่ยหูฟัง

ไป๋เฉินทำเป็นเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอพลิกดูเอกสารข้อมูลที่ถืออยู่ในมือตนเอง

“ไม่มีอะไรครับ” หลงเยว่หงสั่นศีรษะรัวอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นเขาก็แอบถอนใจอย่างเงียบๆ

นี่มันเป็นทีมแบบไหนกันเนี่ย…

ไม่รู้ว่าคำสั่งโอนย้ายงานของเขาจะมาถึงเมื่อไหร่กันนะ

* * * * *

หลังจากอาหารเย็น ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รีบกลับไปยังชั้น 495 ในทันที แต่กลับขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 490

เขาวกอ้อม ‘ศูนย์กิจกรรม’ และ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ด้วยความชำนาญ ในที่สุดก็มาถึงห้องที่เรียงรายเป็นแถวอยู่ด้านหลัง

ตรงกลางของห้องเหล่านี้แขวนป้ายแผ่นโลหะแนวตั้งที่มีตัวอักษรสีดำบนพื้นหลังสีขาวเขียนเอาไว้

“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่สิบเอ็ด”

ที่นี่คือสถานที่ที่ซางเจี้ยนเย่าเคยพักอาศัยมาเป็นเวลาสามปี

ภายใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ทุกๆ 10-20 ชั้น จะมีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กที่ไม่มีญาติสายตรงจนกระทั่งมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์

ในขณะนี้บานประตูหลายบานของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าถูกเปิดค้างไว้ แต่ว่ามีร่างคนอยู่เพียงสองสามร่างเท่านั้น

คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ไปยังโรงอาหารด้านหน้ากันหมดแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าเดินเข้าไป และตรงไปหาคนเฝ้าประตูสูงวัยที่ชื่อหลี่เจียเหวิน

“ผู้อำนวยการอยู่หรือเปล่าครับ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

เส้นผมของหลี่เจียเหวินนั้นหงอกขาวโพลนไปหมดทั้งศีรษะแล้ว เขานั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยท่าทางง่วงเหงาหาวนอน

เมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากมองสำรวจอยู่อึดใจก็ร้องทัก

“เสี่ยวซางนั่นเอง…

“ผู้อำนวยการไปกินข้าวเย็นน่ะ มานั่งรอก่อนสิ อีกเดี๋ยวเธอก็กลับมาแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้าแล้วเดินไปด้านข้างหลี่เจียเหวิน

บนผนังนั้นมีอุปกรณ์สีดำอยู่เครื่องหนึ่งแขวนอยู่ ซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับโอนถ่ายแต้มส่วนร่วม

ซางเจี้ยนเย่ามองดูพื้นที่กิจกรรมภายในที่มีเนื้อที่กว้างขวางพอสมควร มีข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยที่เก่าแก่ เครื่องเรือนแบบธรรมดาสามัญ เขาหยิบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเองออกมาแล้วรูดกับเครื่องสีดำที่ผนัง

จากนั้นเขาก็กดตัวเลขจำนวน 50,000 แล้วเลือกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่สิบเอ็ดเป็นผู้รับแต้ม

เนื่องจากเป็นการทำธุรกรรมที่มีจำนวนแต้มค่อนข้างสูง เขาจึงต้องกดสแกนลายนิ้วมืออีกครั้งเพื่อยืนยัน

หลี่เจียเหวินมองดูแผ่นหลังของซางเจี้ยนเย่าแล้วหัวเราะฮา ฮา

“เธอมานี่เพื่อบริจาคเหรอ

“ช่างมีน้ำใจจริงๆ เลย นี่เธอเพิ่งจะเริ่มทำงานไม่นานนี้เองไม่ใช่เหรอ”

ค่าใช้จ่ายสำหรับปัจจัยพื้นฐานของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นทางบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบจัดงบประมาณมาให้ แต่ทว่ามันครอบคลุมเพียงแค่เฉพาะตัวห้องพัก พื้นที่ใช้งาน เงินเดือนของพนักงาน ค่าดำรงชีพพื้นฐาน และการปันส่วนพลังงานที่ต้องใช้ของเด็กกำพร้าแต่ละคนเท่านั้น

หากต้องการทำให้สภาพแวดล้อมของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดีขึ้นและเด็กกำพร้าทุกคนมีอาหารการกินที่ดีกว่านี้ พวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยแต้มบริจาคที่ได้รับมาจากพนักงานคนอื่นๆ

ซ่างเจี้ยนเหยาหันกลับมา จากนั้นก็วางบัตรอิเล็กทรอนิกส์ลงบนโต๊ะแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ช่วยเก็บบัตรนี้ไว้ให้ผมหน่อยสิ”

“หือ” หลี่เจียซินถึงกับมึนงง

“สำหรับคำขอบคุณทุกๆ คำครับ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป

หลี่เจียเหวินมองดูเขาเดินจากไป จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินกะโผลกกะเผลกไปที่เครื่องสีดำแล้วตรวจสอบบันทึกการทำธุรกรรม

“ห้าหมื่น!” เขาอุทานออกมา

ตลอดระยะเวลาเขาทำงานอยู่ที่นี่มาหลายปี แต้มส่วนร่วมของเขาที่อดออมเก็บสะสมไว้เพิ่งจะมีจำนวนใกล้เคียงกับตัวเลขที่เห็นอยู่นี้เท่านั้นเอง

* * * * *

ที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ชั้น 495

ซางเจี้ยนเย่าซื้อข้าวของมาจำนวนหนึ่งที่มีราคาสูงและขายได้สะดวก ถือเอาไว้แล้วเดินไปยังพื้นที่เขต B

เขาไม่ได้กลับไปบ้าน แต่ทว่าเลี้ยวไปอีกด้านแทน

หลังจากที่เดินไปได้สักพัก ซางเจี้ยนเย่าก็หยุดอยู่หน้าห้องหลังหนึ่งซึ่งบานประตูเปิดค้างอยู่

ที่นี่คือบ้านของเสิ่นตู้

ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องที่ซางเจี้ยนเย่าพักอาศัยอยู่เล็กน้อย มีห้องนอนที่คับแคบอยู่ทางด้านขวา ส่วนพื้นที่ที่เหลือนั้นเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องรับประทานอาหาร

เถียนจิ้ง ภรรยาของเสิ่นตู้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัวด้านนอก ส่วนลูกเธอนั้นกำลังวิ่งวนอยู่รอบตัวเธอ

“ทำไมไม่ไปกินกันที่โรงอาหารล่ะครับ” ซางเจี้ยนเย่าเดินเข้าไปหาแล้วก็โพล่งถามออกมา

เถียนจิ้งนั้นมีอายุเกือบสามสิบแล้ว แม้ว่าใบหน้าจะยังดูงดงามแต่ก็ซูบผอมลงไปมาก

เธอยิ้มอย่างขมขื่น

“ยังไงก็ต้องหลีกเลี่ยงไว้ก่อนแหละ ถึงแม้ว่าบริษัทจะพูดมาตลอดว่า ‘โรคไร้ใจ’ นั้นไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ทุกคนก็ยังกลัวกันอยู่ดี

“ดูสิ ทุกคนยังบอกให้ฉันหยุดงานในช่วงนี้ไปก่อนเลย”

ซางเจี้ยนเย่าพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ก่อนนี้ลุงเสิ่นคอยช่วยเหลือดูแลผมมาตลอด”

ขณะที่พูดเขาก็เอาข้าวของในมือไปไว้ในบ้านของเสิ่นตู้

“…ไม่ได้ ไม่ได้ ของพวกนี้มันราคาสูงเกินไป!” เถียนจิ้งเพียงแค่เหลือบมองดูแว่บเดียวก็รู้ว่าข้าวของที่ซางเจี้ยนเย่าเอามาให้นั้นมีมูลค่าหลายหมื่นแต้มส่วนร่วม

ซางเจี้ยนเย่าหยุดการกระทำทันที นิ่งเพื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“ถ้าไม่อยากรับของพวกนี้ไว้ งั้นคุณป้าก็เลือกมาเป็นแม่ผมแทนก็ได้นะ”

“ฮะ” เถียนจิ้งถึงกับมึนงงไปชั่วครู่

ซางเจี้ยนเย่าเลยถือโอกาสนี้วางของทุกอย่างไว้แล้วโบกไม้โบกมือ

“ดูเหมือนว่าคุณป้าคงไม่อยากจะเป็นแม่ผมสินะ”

เมื่อเห็นท่าทีที่ ‘เด็ดเดี่ยว’ ของซางเจี้ยนเย่าแบบนั้น เถียนจิ้งได้แต่พูดตะกุกตะกัก

“ทีหลังถ้าหากว่าเธอมีเรื่องอะไรอยากให้ป้าช่วย ก็บอกมาได้เลยนะ”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแล้วหันหลังเดินกลับไปบ้านตัวเอง

เมื่อคล้อยหลังไป เขาได้ยินเสียงของลูกชายเสิ่นตู้ร้องถามแม่ตนเองดังแว่วมาจากด้านหลัง

“หม่าม้า คุณอาคนนั้นเขาไม่กลัวว่าพวกเราจะป่วยเหรอ”

“หม่าม้า โรคของป๊ะป๋าเมื่อไหร่ถึงจะรักษาหาย”

“หม่าม้า เมื่อไหร่ป๊ะป๋าถึงจะกลับบ้านมาหาพวกเรา”

เสียงฝีเท้าของซางเจี้ยนเย่าหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

* * * * *

[1] เวชระเบียน (病历) Medical Record เอกสารทางการแพทย์ทุกประเภท ที่ใช้บันทึกและเก็บรวบรวมเรื่องราวประวัติของผู้ป่วย

[2] สภาพผัก (植物人) “อาการเจ้าชายนิทรา” หรือทางการแพทย์เรียกว่า “สภาพผัก” (Vegetative State) คือ ภาวะที่สมองใหญ่ของผู้ป่วยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ส่งผลให้สูญเสียการรับรู้และตอบสนอง ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องได้รับการดูแลจากผู้อื่น แต่ยังตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้บางส่วน เช่น ลืมตา หลับตา ส่งเสียงคราง

[3] ถอยไปหมื่นก้าว (退一万步) หมายถึง ยกเอาไว้ก่อนว่าเรื่องที่พูดนี้เกิดขึ้นจริงหรือเป็นไปได้จริงหรือไม่

[4] ลมหยิน (阴风) เป็นลมที่พัดจากนรก ลมจากภูติผีวิญญาณ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท