รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 115 เจรจาอย่างมีชั้นเชิง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 115 เจรจาอย่างมีชั้นเชิง

เถียนเอ้อร์เหอไม่ได้งุนงงสับสนไปกับชื่อที่ฟังประดิษฐ์ประดอยแปลกหูพวกนั้น เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“รายละเอียดอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นยังไง”

เจี่ยงไป๋เหมียนได้คิดเกี่ยวกับคำอธิบายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงตอบได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหล

“พูดง่ายๆ ก็คือพวกคุณต้องเตรียมข้อมูลและหนังสือที่ได้รับมา ส่งให้กับทางบริษัท ในขณะเดียวกัน การค้าบางอย่างที่บริษัทไม่สะดวกออกหน้าก็จะให้ที่นี่เป็นคนรับเรื่อง

“นอกจากนี้ถ้าหากว่าสมาชิกของบริษัทต้องการมาแวะพักหรือต้องการความช่วยเหลือ พวกคุณก็ไม่อาจปฏิเสธได้

“และสิ่งที่พวกคุณจะได้รับก็คือ อาวุธที่ดีขึ้น กระสุนจำนวนมากขึ้น ความรู้ที่กว้างขวางขึ้น เมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง และสามารถซื้อฝ้าย เสื้อผ้า ยารักษาโรค เกลือ ได้ในราคาถูก…”

หลังจากได้ฟังคำอธิบายส่วนหลังแล้ว ทุกคนในเมืองน้ำล้อมที่อยู่ในห้อง รวมไปถึงหลี่เจิ้งเฟยด้วย ต่างก็พากันหวั่นไหว

สำหรับนิคมที่มีทรัพยากรแทบจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ พวกอาวุธ กระสุน ฝ้าย เสื้อผ้า ยารักษาโรค เกลือ ของพวกนี้ล้วนแต่ขาดแคลน ทุกวี่วันต้องคอยพะวงว่าจะไปทำการค้าหาซื้อของพวกนี้ได้จากที่ไหน

ในอดีตที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่พวกเขาอาศัยการขุดค้นซากปรักเพื่อเก็บรวบรวม แต่หลังจากที่ผ่านมาหลายปี บรรดานักล่าซากอารยะและคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนเข้าๆ ออกๆ ทำให้ของจำเป็นต่อการดำรงชีพในซากปรักที่ปลอดภัยต่างก็หมดเกลี้ยงไม่หลงเหลือไปนานแล้ว

นี่ทำให้เหล่าผู้คนในเมืองน้ำล้อมจำต้องออกไปสำรวจยังสถานที่ซึ่งมีอันตรายกว่า หรือทำการค้ากับนิคมอื่นๆ แต่เมืองน้ำล้อมนั้นซ่อนตัวอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่พวกเขาไว้ใจและรู้ว่าจะเดินทางมาที่นี่ได้อย่างไร ดังนั้นจำนวนการค้าที่ทำได้จึงถูกจำกัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เรื่องนี้ยอมรับได้…” เถียนเอ้อร์เหอที่นอนอยู่บนเตียงมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพยักหน้าเบาๆ “ยังมีอะไรอีกไหม”

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างจริงจัง

“บริษัทจะส่งกองกำลังติดอาวุธยี่สิบกว่าคนมาประจำการอยู่ที่นี่เพื่อช่วยพวกคุณฝึกฝนยามเมือง ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

สีหน้าชาวเมืองคูน้ำต่างก็เปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน มีทั้งตื่นตระหนก มีทั้งเคร่งขรึม มีทั้งระแวดระวัง

สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูล ช่วยเหลือเรื่องการค้า ให้การปกป้องคุ้มครอง ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์หลักของพวกเขา แต่ทว่าการที่มีกองกำลังติดอาวุธครบมือมาตั้งค่ายภายในเมืองน้ำล้อมนั้นหมายถึงว่าพวกเขาต้องสูญเสียอิสรภาพไป

นี่เป็นเรื่องที่คนส่วนมากไม่อาจยอมรับได้

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รอให้หลี่เจิ้งเฟยพูดอะไร เธอก็พูดเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างยิ้มแย้ม

“ฉันแจ้งตำแหน่งที่ตั้งของเมืองน้ำล้อมให้ทางบริษัทรู้แล้ว”

เมื่อทิ้ง ‘ระเบิด’ เสร็จ เธอก็กวาดสายตามองดูใบหน้าของชาวเมืองน้ำล้อมทีละคน

ไม่มีใครกล้าสบตากับเธอ ต่างทยอยก้มหน้าลงทีละคน

พวกเขาลอบมองไป๋เฉินด้วยความขุ่นเคือง กล่าวโทษที่เธอพาคนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มายังเมืองน้ำล้อมโดยไม่คิดให้รอบคอบ ทำลายความไว้วางใจที่เจ้าเมืองมีให้

นี่ส่งผลให้พวกเขาไม่เหลือทางให้ถอยสำหรับการเจรจาครั้งนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำข้อตกลง หากไม่ทำก็ถูกบังคับให้ทำอยู่ดี

กองกำลังใหญ่ไหนเลยจะตีนิคมเล็กๆ ไม่แตก

หลงเยว่หงที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกงุนงงเล็กน้อยเพราะเขาจำได้ว่าหัวหน้าทีมได้ให้สัญญากับไป๋เฉินว่าจะไม่บอกสถานที่ตั้งที่แน่นอนของเมืองน้ำล้อมกับบริษัท รายงานที่เธอส่งไปนั้นก็พูดถึงตรงนี้อย่างคลุมเครือ

หลงเยว่หงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าและเห็นว่าริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย ราวกับกำลังพูดอะไรบางคำแบบไม่มีเสียงอยู่

ถึงแม้ว่าจะไม่รู้วิธีอ่านปาก แต่เมื่ออิงจากความคิดของตัวเอง หลงเยว่หงก็สามารถเดาได้ว่าซางเจี้ยนเย่าพูดอะไรออกมา

เขาน่าจะพูดว่า…

“โกหก”

เถียนเอ้อร์เหอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะไอออกมาอย่างแรง

“ไม่ได้ เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้”

“ใช่…” หลี่เจิ้งเฟยก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ

สีหน้าของคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติทีละคน ส่งเสียงถามขึ้นอย่างจ้อกแจ้กจอแจ

“พอถึงตอนนั้นจะให้คนพวกนั้นไปอยู่ที่ไหน อาคารไม่กี่หลังพวกนี้ก็เต็มหมดแล้ว ไม่เหลือห้องว่างแล้ว จะให้ทุกคนย้ายออกไปอย่างนั้นเหรอ”

“พวกเขาเอาอาหารมาเองหรือให้พวกเราจัดเตรียมให้ จะจ่ายชดเชยให้หรือเปล่า”

……

หลงเยว่หงแปลกใจที่ได้ยินคำถามพวกนี้ ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น

ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังถกเกี่ยวกับความเป็นความตายของเมือง แล้วทำไมจู่ๆ กลับกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ อะไรแบบนี้ไปได้ล่ะ

ต่อให้ถูกบังคับทำข้อตกลงและทำได้เพียงแค่ต้องยอมรับเท่านั้นก็เถอะ แต่ก็ยังมีประเด็นสำคัญอีกตั้งเยอะแยะที่ต้องปรึกษาหารือและพิจารณานะ!

รอจนสถานการณ์ความวุ่นวายสงบลง เถียนเอ้อร์เหอก็ถอนหายใจพูดขึ้น

“ถึงยังไงตาแก่อย่างฉันก็อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พอถึงตอนนั้นห้องนี้ก็ว่างแล้วล่ะ ก็เอาไว้ให้คนจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ใช้เป็นห้องประชุมก็แล้วกัน…”

“เจ้าเมือง คุณไม่เป็นไรหรอก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มีหมอที่เก่งมาก” ไป๋เฉินรีบปลอบใจเถียนเอ้อร์เหอ

เถียนเอ้อร์เหอยิ้มออกมา

“เกิดเป็นคน มีใครบ้างที่ไม่ตาย”

“หลวงจีนจักรกลไม่ตาย…” ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้างตอบออกมาทันที

แล้วเขาก็ถูกเจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ เลยรีบหุบปากไปอย่างเงียบๆ

เถียนเอ้อร์เหอไม่ใส่ใจที่ถูกขัด เขามองดูชาวเมืองน้ำล้อมที่อยู่ในห้อง

“ไหนใครยังมีความเห็นอะไรอีกหรือเปล่า”

ในเมื่อเจ้าเมืองได้ให้คำสัญญาไปแล้ว และดูเหมือนว่าผลประโยชน์ของตนเองจะไม่ได้รับผลกระทบ ทุกคนจึงไม่มีปัญหาอะไรอีก ต่างพากันส่ายศีรษะทีละคนบอกว่าไม่มีปัญหากันแล้ว

เถียนเอ้อร์เหอหันกลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียนอีกครั้ง พูดอย่างลังเล

“บริษัทของพวกคุณมีทัศนคติต่อพวกคนที่อยู่ลานจัตุรัสยังไงบ้าง”

เขากำลังพูดถึงผู้อาศัยจำนวนมากที่เป็นชนชั้นกลางและชนชั้นล่างของเมืองน้ำล้อม ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘คนนอก’

เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่ลังเล

“สำหรับบริษัทแล้ว ทุกคนล้วนแต่เป็นทรัพยากรล้ำค่า ไม่มีทางทอดทิ้งไปง่ายๆ หรอก”

เมื่อเห็นสายตาคนจำนวนมากภายในห้องแสดงความรังเกียจและไม่พอใจ เธอก็ยิ้มแล้วพูดต่อ

“ในแต่ละปีทางบริษัทจะมอบที่ดินให้เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างมาก หรือมีความสามารถโดดเด่น พวกเขาจะกลายมาเป็นพนักงานบริษัทอย่างเป็นทางการและได้รับการดูแลตามสมควรแก่สถานภาพ

“ก็เหมือนพวกเรานี่แหละ”

เมื่อได้เห็นคนนอกที่ดูสะอาดสะอ้านและงามสง่ากลุ่มนี้ ชาวเมืองน้ำล้อมที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

พวกเขาคิดว่าที่ดินพวกนั้นเตรียมเอาไว้ให้กับพวกเขาที่เป็นชาวเมืองดั้งเดิม

เพราะชาวเมืองทั่วไปที่เป็นระดับกลางและล่างจะมีโอกาสมีส่วนร่วมอย่างมากได้อย่างไร

ส่วนเรื่องการเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นมีข้อดีเช่นไร ในตอนนี้พวกเขายังคิดไม่ออกหรอก ทำได้เพียงแค่สังเกตดูจากความแตกต่างระหว่างพวกตนเองกับพวกเจี่ยงไป๋เหมียนและลูกทีมเท่านั้น

“แบบนั้นก็ดีแล้ว…” เถียนเอ้อร์เหอถอนใจโล่งอกพร้อมกับรอยยิ้ม

ร่างกายเขาดูเหมือนห่อตัวลงเล็กน้อย

“ยังมีอย่างอื่นอีกไหม”

“ก็ประมาณที่พูดไปนี่แหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้กระตุ้นชาวเมืองน้ำล้อมอีก “ถ้าหากว่าพวกคุณต้องการล่ะก็ เราก็สามารถส่งคนมาช่วยออกแบบระบบการจัดการให้ใหม่ได้นะ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานให้สูงขึ้นและป้องกันไม่ให้คนเกียจคร้านด้วย”

เธอเจตนายกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นแนวทางในการจัดการกับชาวเมืองคนอื่นๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก เถียนเอ้อร์เหอก็พูดออกมาโดยต้องใช้เรี่ยวแรงมากขึ้น

“ถ้างั้นก็ตามนี้

“เจิ้งเฟย เจ้าคิดว่าไงบ้าง”

หลี่เจิ้งเฟยครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะตอบกลับมา

“ผมไม่มีปัญหา”

เมื่อได้ยินเช่นนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ปล่อยให้วิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง[1] รีบหันหน้าไปพูดกับหลงเยว่หงทันที

“นายกับซางเจี้ยนเย่าไปเอาเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายมาที”

เธอไม่ได้ออกคำสั่งกับซางเจี้ยนเย่าโดยตรงเพราะเกรงว่าผู้ป่วยจิตเวชที่มีใบรับรองแพทย์ผู้นี้จะมีคำพูดอะไรตอบกลับมา ซึ่งไม่น่าจะถูกกาลเทศะเป็นแน่แท้ อาจจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีเท่าไหร่

“ได้ครับ” หลงเยว่หงตอบรับอย่างกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากที่ผ่านมาตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมเลย

หลังจากที่ออกมาจากอาคารหลังเล็กหลังนี้พร้อมกับซางเจี้ยนเย่าแล้ว เขาเหลียวมองรอบตัวก่อนจะลดเสียงลงพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“ที่เมื่อกี้หัวหน้าพูดว่ารายงานตำแหน่งที่ตั้งเมืองให้บริษัทไปแล้ว คือโกหกพวกเขาใช่ไหม”

นี่ทำให้เธอถือแต้มต่อ เป็นผู้กุมทิศทางในการเจรจา!

“หรือจะบอกว่าโกหกนายดีล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยคำถาม

หลงเยว่หงรู้ว่าตนคาดเดาถูก จึงแย้งอย่างเบิกบานใจ

“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก”

“ถ้าหัวหน้าโกหกนาย นายก็ไม่มีทางรู้หรอก” ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองสหาย

“…ก็จริง” หลงเยว่หงปฏิเสธไม่ออก

* * * * *

ภายในห้องเถียนเอ้อร์เหอ หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงออกไปแล้ว หลี่เจิ้งเฟยก็ถามขึ้นมาอย่างลังเล

“เราต้องเรียกทุกคนมาประกาศให้รู้เรื่องนี้กันเลยหรือเปล่า”

เถียนเอ้อร์เหอมองดูเขา หลังจากไอแล้วก็พูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก

“พวกเจ้าทุกคนที่นี่เห็นพ้องต้องกันก็พอแล้ว

“ไว้รอให้ทีมจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาถึงแล้วค่อยประกาศตอนนั้นก็ยังไม่สายเกินไป”

“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย

เธอเกรงว่าอาจมีเหตุพลิกผันเกิดขึ้น

ถึงแม้ว่าเงื่อนไขที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ตั้งไว้นั้นจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับชนชั้นกลางและชั้นล่างของเมืองน้ำล้อม แถมยังมอบผลประโยชน์มากมายให้อีกด้วย แต่เรื่องดีแบบนี้ย่อมชักนำให้เกิดความสงสัยขึ้นได้เช่นกันตราบใดที่มันยังไม่เกิดขึ้นจริง

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดคลื่นแปรปรวนในใจผู้คนจนอาจเกิดสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงขึ้นได้

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนจะอ่อนไหวและมีแน้วโน้มที่จะทำพฤติกรรมไร้เหตุผล หากมีแรงจูงใจหรือมีพวกหัวรุนแรงจุดชนวนชี้นำ สถานการณ์ก็จะหลุดจากการควบคุมได้ง่าย

หากรอไว้ให้ทีมจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เดินทางมาประจำการแล้วค่อยประกาศเรื่องให้รับรู้ ภายใต้แรงกดดันจากอำนาจยิงอันทรงพลังจะทำให้ทุกคนไม่กล้ามี ‘ความคิดเห็น’ ได้ชั่วคราว ให้พวกเขาได้คอยเฝ้าดูคำสัญญาที่ค่อยๆ เป็นจริงขึ้นทีละน้อย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ ก็จะทำให้พวกเขายอมรับเรื่องนี้ได้จากใจจริง

คำพูดของเถียนเอ้อร์เหอและเจี่ยงไป๋เหมียนทำให้ชาวเมืองทั้งหลายภายในห้องรู้สึกสบายใจอย่างเต็มที่ รู้สึกได้ว่าสถานภาพของพวกเขาจะไม่สั่นคลอน และไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับชนชั้นที่อาศัยอยู่ในลานจัตุรัส

เพียงไม่นานนักซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็นำเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายเข้ามา

จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เขียนเนื้อหาโทรเลขด้วยลายมือตนเองแล้วแสดงให้ทุกคนที่นี่เห็น

เนื้อหาในนั้นโดยหลักๆ แล้วพูดถึงว่าเมืองน้ำล้อมยอมรับที่จะทำข้อตกลงตามมาตรการร่วมมือฉันมิตร และให้บริษัทส่งคนเดินทางมา

ส่วนท้ายของโทรเลขนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอาการของเถียนเอ้อร์เหอ และขอให้บริษัทส่งหมอกับเวชภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ในเรื่องนี้มากับพวกเขาด้วย

ไม่มีใครโต้แย้งโทรเลขฉบับนี้

ในตอนที่แปลงเป็นรหัสโทรเลข เจี่ยงไป๋เหมียนก็แอบเพิ่มไปอีกสองประโยคคือที่ตั้งของทางเข้าเมืองน้ำล้อมและรหัสลับที่ตกลงกับทางบริษัทไว้ล่วงหน้า

หลังส่งโทรเลขออกไปแล้ว เธอก็ได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว

เนื้อหาการตอบกลับนั้นเรียบง่ายมาก มีตัวอักษรเพียงแค่สองคำเท่านั้น

“ทราบแล้ว”

หลังจากที่เถียนเอ้อร์เหอเฝ้ามองกระบวนการตลอดทุกขั้นตอนเสร็จแล้วก็หันไปพูดกับชาวเมืองที่อยู่ภายในห้อง

“ทุกคนกลับไปพักได้แล้ว ส่วนหลี่เจิ้งเฟยอยู่กับฉันที่นี่ก่อน”

ไป๋เฉินรอจนกระทั่งคนอื่นๆ ออกไปจนหมดแล้วก็พูดกับเถียนเอ้อร์เหอ

“เจ้าเมือง คุณอยากกินอะไรสักหน่อยไหม เสร็จแล้วจะได้นอนพัก

“กว่าคนจากบริษัทจะเดินทางมาถึงก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้บ่ายๆ หรือไม่ก็ตอนเย็น”

เถียนเอ้อร์เหอส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ตอนนี้ยังไม่ต้องล่ะ ยาที่พวกเธอฉีดให้นั้นได้ผลดีมาก ตอนนี้ฉันไม่ง่วงแม้แต่นิดเดียว

“หนูเอ๊ย พวกเราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว เรียกฉันว่าปู่สักคำได้ไหมล่ะ”

โดยไม่รอให้ไป๋เฉินตอบ เขาก็แกล้งทำตัวน่าสงสารและไอออกมาสองสามครั้ง

ไป๋เฉินเม้มริมฝีปากแล้วเรียกเบาๆ คำหนึ่ง

“คุณปู่”

“ฮ่า ฮ่า” เถียนเอ้อร์เหอหัวเราะแล้วพูดกับไป๋เฉินและคนอื่นๆ “เล่าเรื่อง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ให้ฉันกับเจิ้งเฟยฟังหน่อยสิ”

* * * * *

[1] วิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง (夜长梦多) หมายถึง หากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อออกไปอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีขึ้นได้

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท