หลังจากเห็นว่าในห้องนั้นกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินไปที่เก้าอี้ไม้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“บริษัทของพวกเราแค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเกี่ยวกับการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ เรื่องชีวภาพกับการแพทย์นั้นเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นพวกเราจึงค่อนข้างเชี่ยวชาญในด้านนี้”
ขณะที่พูดเธอก็ยกเก้าอี้ไม้ถือเดินไปข้างเตียงเถียนเอ้อร์เหอ
ในระหว่างนี้เธอก็กวาดสายตามองผ่านซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง ไป๋เฉิน หลี่เจิ้งเฟย เครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สาย และหน้าต่างที่อยู่อีกด้านของเตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ
เดิมทีเธอคิดจะให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงกลับไปที่รถจี๊ปเพื่อเฝ้าข้าวของที่มีมูลค่ามากที่สุดของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซึ่งก็คือแบตเตอรี่สำรองกับอาหารจำนวนมากที่เก็บไว้ในรถ
แต่เธอก็เลิกล้มความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว
ในคืนที่มีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดคลื่นใต้น้ำผันผวนเช่นนี้ อย่าให้สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ แยกกลุ่มน่าจะดีกว่า
‘ถ้ารถหาย ข้าวของถูกขโมยไป ยังไงบริษัทก็ชดใช้ให้อยู่แล้ว…
‘ในตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าเมืองเถียนกับหลี่เจิ้งเฟย ข้าวของที่สำคัญที่สุดก็คือเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายเครื่องนี้ที่เอาไว้ใช้ติดต่อกับบริษัท ในเมื่อสิ่งสำคัญอยู่กันที่นี่หมดแล้ว งั้นก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนให้แยกตัวออกไปเพื่อเฝ้ารถแล้วล่ะ…
‘ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อยู่ที่นั่นก็ใช่ว่าจะหนีได้สะดวก ถูกล้อมก็ง่าย จะปีนกำแพงข้ามไปก็ไม่สะดวก…
‘ด้านหลังห้องนี้เป็นแนวกำแพงป้องกันเมือง มองเห็นทุ่งนาอยู่ออกไปไม่ไกลนัก เวลาที่เกิดเรื่องขึ้นมา ถ้าต้านเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ ก็แค่เปิดหน้าต่างกระโดดลุยฝ่าออกไป เท่านี้ก็นับว่าสำเร็จไปครึ่งทางล่ะ…
‘ยังไงก็เคยสู้กับพวกแก๊งโจรมาแล้ว หากจะต้องต่อสู้เพื่อยันไว้จนกว่าคนจากบริษัทจะมาถึง ก็ไม่ยากเกินไปหรอกน่า…
‘อืม ทั้งปืนพกทั้งกระสุนที่ใช้ได้ก็พกติดตัวไว้แล้ว…’ ความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่าน พิจารณาถึงวิธีการรับมือหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดขึ้นมา
จากนั้นเธอก็วางเก้าอี้ไว้ข้างเตียงแล้วนั่งลง แนะนำให้เถียนเอ้อร์เหอ หลี่เจิ้งเฟย และยามเมืองอีกสองคนที่อยู่ในห้องได้รู้จักสถานการณ์ต่างๆ ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ โดยเน้นเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อพนักงานและกองกำลังของนิคมบริวารอื่นๆ
แน่นอนว่าก่อนที่เมืองน้ำล้อมจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ย่อมมีบางเรื่องที่ไม่อาจพูดให้ฟังได้ รวมถึงการดำรงอยู่ของอาคารใต้ดินและตำแหน่งที่ตั้งของทางเข้าบริษัท
ในบรรดาเรื่องที่เล่าออกไปนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนยังจงใจข้ามหัวข้อบางส่วนไปด้วย อย่างเช่นการปรับปรุงพันธุกรรม เธอรู้ว่าคนจำนวนไม่น้อยที่เกลียดเทคโนโลยีดังกล่าวเพราะพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นการฝ่าฝืนธรรมชาติอย่างร้ายแรงจนนำมาซึ่งพิบัติภัย เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเถียนเอ้อร์เหอกับหลี่เจิ้งเฟยที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนจำพวกนั้นหรือไม่
ถึงแม้ว่าชื่อ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จะทำให้ทุกคนนึกเชื่อมโยงกับเรื่องดังกล่าว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แสดงเจตนาจะขุดคุ้ยเรื่องนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้โง่เขลาเสียจนนำเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ขึ้นมาพูด
เห็นได้ชัดว่าสมาธิจิตใจของเถียนเอ้อร์เหอนั้นไม่ได้ดีเหมือนกับที่เขาเพิ่งจะบอกไป ฟังไปได้ครู่หนึ่งก็ต้องหลับตาลงเพื่อพักสายตาชั่วครู่หรือไม่ก็หลับไป เดิมทีหลี่เจิ้งเฟยกับไป๋เฉินนั้นอยากให้ทุกคนออกไปก่อนเพื่อให้เจ้าเมืองได้พักผ่อน แต่เถียนเอ้อร์เหอก็พลันตื่นขึ้นมาทันทีแล้วรั้งพวกเขาไว้
ในระหว่างที่พวกเขาคุยๆ หยุดๆ กันเป็นพักๆ นั้น ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็ค่อยๆ ส่องแสงสว่างเรืองรองออกมา
ยามเช้ามาถึงแล้ว
เมื่อเห็นว่าช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก
ตลอดทั้งคืนเธอไม่ได้พักเลย มีเพียงแค่ลุกจากเก้าอี้เป็นครั้งคราวเพื่อยืดเหยียดบ้างเท่านั้น แต่ก็ได้จัดการให้ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉินได้ผลัดกันนอนเพื่อเก็บแรงไว้
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะบอกให้พวกลูกทีมไปนำอาหารเช้ามา แต่ทันใดนั้นก็พลันได้ยินเสียงดังออกมาจากเครื่องรับส่งโทรเลขไร้สาย
“มีโทรเลขมาน่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายให้เถียนเอ้อร์เหอกับหลี่เจิ้งเฟยฟังก่อนจะเดินไปที่เครื่อง
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของทุกคน เธอแปลเนื้อหาของข้อความที่ได้รับมาอย่างรวดเร็ว
แล้วก็เลิกคิ้วก่อนจะพูดออกมา
“คนที่บริษัทส่งมา ตอนนี้อยู่ที่ทางเข้าบึงน้ำแล้ว”
“ทำไมมาเร็วนักล่ะ” หลงเยว่หงเป็นตัวแทนถามออกมาในนามของทุกคน
ตามกระบวนการโดยปกติแล้ว ทางบริษัทควรจะเพิ่งเริ่มจัดการกำลังคนและจัดเตรียมยาเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง
และหากว่าไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นระหว่างทางและทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น ทีมที่ส่งมาก็ควรจะมาถึงในตอนเย็นหรือก่อนหน้าเล็กน้อย
นี่มันเร็วกว่าที่พวกเขาคาดไว้ถึงหนึ่งวันเต็มๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“การเร่งเคลื่อนพลในตอนกลางคืนก็มีอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือไง
“นอกจากนี้สภาพถนนจากบริษัทมาถึงที่นี่ก็นับว่าค่อนข้างดี”
เธอไม่ได้บอกว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเส้นทางนั้นอยู่ในอาณาเขตของบริษัท บรรดาทีมต่อสู้เกือบทั้งหมดของแผนกความมั่นคงนั้นล้วนทราบสถานการณ์พื้นที่แถบนั้นอย่างกระจ่างชัดแจ้งมาตั้งนานแล้ว ต่อให้หลับตาก็ยังไม่เดินตกหลุมเลย
แน่นอนว่าการขับรถเดินทางในยามค่ำคืนย่อมเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่ายอยู่แล้วเพราะทัศนวิสัยที่จำกัด แต่บางครั้งคนเราก็ไม่มีทางเลือก สถานการณ์ที่ถูกสภาวะแวดล้อมบังคับนั้นไม่ใช่เพียงแค่คำพูดลอยๆ
เนื่องเพราะเหตุนี้ ทางผู้บริหารระดับสูงในแผนกความมั่นคงของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จึงได้พิจารณาให้ทีมรบและหน่วยปฏิบัติการต่างๆ เพิ่มเนื้อหาการฝึกฝนเคลื่อนขบวนในยามค่ำคืนด้วย
นี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างกองทัพกับโจรในแดนร้าง
“เป็นไปได้ไหมว่าช่วงนี้มีทีมอยู่ในละแวกนี้พอดี” ไป๋เฉินคาดเดาออกมาเมื่อเห็นว่าเถียนเอ้อร์เหอกับหลี่เจิ้งเฟยยังคงมองอย่างแปลกใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะ
“ฉันกำชับไปว่าต้องการหมอ ยารักษา และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทีมที่ออกภาคสนามโดยปกติไม่มีของพวกนี้หรอก”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มให้เถียนเอ้อร์เหอและหลี่เจิ้งเฟย
“ให้พวกคุณลองเดาเอาเองก็แล้วกัน ว่าระยะทางจากบริษัทมาถึงที่นี่ห่างกันมากน้อยขนาดไหน”
ระยะทางที่ทีมเร่งเคลื่อนขบวนในยามค่ำคืนนั้นจะเป็นระยะเท่าไหร่กัน
“แบบนั้นก็ดีแล้ว มาถึงเร็วก็วางใจได้เร็ว” เถียนเอ้อร์เหอทิ้งความกังวลก่อนหน้านี้ไปแล้วถอนใจด้วยรอยยิ้ม
นี่ทำให้เขาอดไอออกมาอีกสองสามครั้งไม่ได้ ไป๋เฉินลูบหลังเขาอย่างเป็นห่วง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูเขาแล้วพูดขึ้น
“ฉันจะออกไปรับพวกเขาเอง เส้นทางในเมืองค่อนข้างคดเคี้ยว คนมาครั้งแรกจะหลงเอา”
“ได้สิ” เถียนเอ้อร์เหอไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาอันใด
หลี่เจิ้งเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับ ‘ลูกหมา’ ติงเช่อที่เฝ้าอยู่ในห้อง
“เสี่ยวเช่อ แกติดตามไปด้วย”
เขาพูดด้วยสายตาจริงจัง พยักหน้าเบาๆ
ติงเช่อเข้าใจความนัยของหัวหน้า
หากระหว่างทางพบอะไรผิดปกติ ต่อให้เสี่ยงชีวิตก็ต้องรีบแจ้งให้คนในเมืองรู้ทันที
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ติงเช่อเลือดลมพลุ่งพล่าน ยืดอกเชิดหน้าขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะสละชีวิตตนเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธ เธอพูดกับหลงเยว่หง
“นายไปกับฉันด้วย”
เทียบกับการออกไปรับคนจากบริษัทแล้ว การอยู่ที่นี่นั้นอันตรายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงพาหลงเยว่หงติดตามไปด้วย
หากในตอนนั้นสถานการณ์ในเมืองเกิดเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ซางเจี้ยนเย่าที่ ‘ผูกมิตร’ ได้ กับไป๋เฉินที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมนั้นจะมีโอกาสรอดสูงกว่า
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบด้วยเสียงที่ดังกว่าติงเช่อ
นี่เป็นความเคยชิน
รอจนพวกเจี่ยงไป๋เหมียนทั้งสามคนจากไป ไป๋เฉินก็พูดกับเถียนเอ้อร์เหอ
“ตอนนี้คุณคงวางใจได้แล้วใช่ไหม
“งั้นนอนพักสักหน่อยเถอะ กว่าพวกเขาจะมาก็อีกพักหนึ่งแหละ”
เธอใช้น้ำเสียงราวกับกำลังกล่อมเด็ก
“ถ้าไม่รอจนพวกเขาเข้ามาถึงในเมือง ฉันจะวางใจได้ไง” เถียนเอ้อร์เหอสั่นศีรษะอย่างดื้อดึง
เขามองไป๋เฉินแล้วไอออกมาสองครั้ง
“ที่จริงก็อยากจะถามเธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ ว่าทำไมถึงพันผ้าพันคอเอาไว้ไม่ยอมถอด”
มีเตาให้ความอบอุ่นอยู่ภายในห้อง ดังนั้นอุณหภูมิจึงไม่ได้ต่ำเท่าไรนัก
สีหน้าไป๋เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“มีของไม่ดีอยู่น่ะ…”
เถียนเอ้อร์เหอไม่ได้ถามต่ออีก เขาปรือตาลงครึ่งหนึ่งราวกับไม่มีเรี่ยวแรงฝืนทนอีกต่อไป จำเป็นต้องผ่อนลงสักหน่อย
หลี่เจิ้งเฟยเห็นแล้วก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่าราวกับว่าเขาต้องการใช้เวลาช่วงนี้สนทนาอะไรเพื่อฆ่าเวลารอ ซึ่งอาจทำให้เขาได้รับข้อมูลสำคัญเพิ่มเติม
แต่ทว่าซางเจี้ยนเย่ากลับยกมือขึ้น ใช้นิ้วดึงรูดซิปปาก ทำเสียงอื้ออ้าออกมาสองคำ
“หือ” หลี่เจิ้งเฟยรู้สึกมึนงง
ไป๋เฉินพยายามคาดเดาเจตนาของซางเจี้ยนเย่าก่อนจะอธิบายออกมา
“ความหมายของเขาก็คือ เขาไม่สะดวกที่จะพูดน่ะ”
เขาคงกลัวว่าตัวเองจะสมองกระตุกแล้วทำลายบรรยากาศเศร้าสร้อยและเคร่งขรึมนี้ไป… ไป๋เฉินเติมประโยคที่เหลือนี้ในใจ
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างแรงบ่งบอกว่าเป็นตามนั้นจริง
เมื่อเห็นว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้อง ไป๋เฉินก็มองซางเจี้ยนเย่าด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงอีกไม่น้อย
เธอไม่คิดเลยว่าเพื่อนร่วมทีมที่มีปัญหาทางจิตคนนี้จะพยายามอย่างหนักเพื่อเสียสละอย่างเงียบๆ ถึงขนาดนี้
แต่เธอก็มีความรู้สึกเหมือนว่าอาการของซางเจี้ยนเย่านั้นรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
หลี่เจิ้งเฟยไม่เข้าใจว่าทำไมซางเจี้ยนเย่าถึงไม่สะดวกพูด คิดได้เพียงว่านี่เป็นการใช้กลวิธีหาเรื่องปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
เขาจึงหันไปหาไป๋เฉิน แต่เธอก็กำลังวุ่นกับการทำความสะอาดกระโถน เปิดประตูเพื่อระบายอากาศ และทำความสะอาดห้อง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรเมื่อเถียนเอ้อร์เหอตื่นขึ้นมา เขาเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างอ่อนแรง
“ข้างนอกมีเสียงอะไร
“มาถึงกันแล้วเหรอ”
ไป๋เฉินก้าวเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็ออกไปถึงระเบียงทางเดินนอกห้อง สองมือจับราว สายตามองไปยังทางเข้าเมืองน้ำล้อม
ยังไม่มีบุคคลภายนอกมาถึง มีเพียงเสียง “หนึ่ง สอง สาม สี่” “หนึ่ง สอง สาม สี่” ดังแว่วลอยมาเท่านั้น
“ข้างนอกเป็นเสียง ‘หนึ่ง สอง สาม สี่’ ‘หนึ่ง สอง สาม สี่’” ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบเสียงที่เขาได้ยินออกมา
สีหน้าเถียนเอ้อร์เหออ่อนโยนลงโดยพลัน รอยเหี่ยวย่นก็คลายออก
“เป็นพวกเด็กๆ ออกกำลังกายตอนเช้ากันน่ะ” เขาพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม สมาธิจิตใจราวกับว่าค่อยๆ เริ่มดีขึ้น
* * * * *
ด้านนอกบึงน้ำ ติงเช่อที่ติดตามเจี่ยงไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงมาด้วยก็ได้เห็นทีมที่ส่งมาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’
ขบวนรถที่โลหะและกระจกถูกแสงส่องลงมาสะท้อนวูบวาบ บรรดาทหารในเครื่องแบบสีเขียวอมเทา สรรพอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เป็นรุ่นใหม่ทันสมัย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงออกมาจากส่วนลึกในใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย แอบชื่นชมผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้
‘ยังไงเสีย บริษัทก็มีประสบการณ์มากจริงๆ…
‘รู้ว่าเรื่องอะไรพวกนี้ต้องทำให้อลังการเข้าไว้ จะได้ข่มขวัญโดยไม่ต้องรบ’
* * * * *
เมืองน้ำล้อม นอกห้องของเถียนเอ้อร์เหอ
ไป๋เฉินไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เจ้าเมืองเถียนบอกให้ออกไปดูที่ระเบียงทางเดินว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ กลับมาหรือยัง
ในที่สุดเธอก็เห็นขบวนรถค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในเมืองและรถจี๊ปสีเขียวอมเทาที่คุ้นเคย
“มาแล้ว มาแล้ว! พวกเขามากันแล้ว!” ไป๋เฉินรีบหันกลับมาตะโกนเข้าไปในห้อง
เมื่อเถียนเอ้อร์เหอได้ยินก็พลันผ่อนคลายลงทันที
เขาสูดหายใจสองสามครั้งแล้วหันไปพูดกับหลี่เจิ้งเฟย
“เจ้ารีบจัดคนไปคอยรักษาระเบียบ
“ไว้รอให้ได้พบเจอกันแล้วถึงค่อยเรียกคนมารวมตัวกันเพื่อประกาศเรื่องนี้ออกไป”
หลี่เจิ้งเฟยที่ยืนขึ้นมารออยู่แล้ว ตอบรับทันที
“จะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ไป๋เฉินยังคงอยู่ที่ระเบียงทางเดิน มือสองข้างยันราวเอาไว้ เธอหันหน้ามารายงานสถานการณ์ให้เถียนเอ้อร์เหอฟังอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นเด็กสาวที่กำลังตื่นเต้น
“พวกเขาผ่านประตูเข้ามาแล้ว”
“พวกเขาลงมาจากรถแล้ว”
“พวกเขาจัดแถว กำลังเดินข้ามลานจัตุรัส”
“ชาวเมืองทุกคนดูตื่นเต้นกันนิดหน่อย แต่แป๊บเดียวก็กลับมาเป็นระเบียบแล้ว”
เมื่อรายงานสถานการณ์ถึงตรงนี้ ไป๋เฉินก็พลันหยุดกะทันหัน
เธอรู้สึกว่าในห้องนั้นเงียบจนน่ากลัว ไม่มีเสียงอะไรแม้แต่น้อย
ไป๋เฉินหันร่างกลับมา เห็นเพียงซางเจี้ยนเย่าเข้ามายืนอยู่ใกล้ประตูมากขึ้น จ้องมองไปยังเตียงนอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าเถียนเอ้อร์เหอนั้นเอนกายลงไปตั้งแต่เมื่อไร จากท่านั่งเปลี่ยนกลายเป็นนอนลงไป
ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาทันที สีหน้าไป๋เฉินเปลี่ยนไป รีบวิ่งไปนั่งยองลงข้างกายเถียนเอ้อร์เหออย่างรวดเร็ว
เธอเห็นใบหน้าของเจ้าเมืองกลายเป็นเขียวคล้ำ ไร้ซึ่งประกายใดๆ
เธอค่อยๆ ยื่นนิ้วมืออันสั่นเทาไปจ่อที่ปลายจมูกเถียนเอ้อร์เหอ
ผ่านไปกว่าสิบวินาที เธอรีบชักมือกลับแล้วตะโกนเรียกออกมาราวหยั่งเชิง
“เจ้าเมือง!”
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาอีกแล้ว
ภาพในครรลองสายตาไป๋เฉินพร่ามัว หัวเข่าสองข้างไร้เรี่ยวแรงรองรับ กระแทกลงกับพื้นเสียงดังตึง
เธอจับขอบเตียงเอาไว้แน่น ตะโกนออกมาราวกับมีก้อนจุกอยู่ที่ลำคอ
“คุณปู่!”
* * * * *
เจี่ยงไป๋เหมียนเดินนำคนที่ถูกส่งมาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ข้ามผ่านบ้านดิน บ้านอิฐ และเต็นท์ที่กางเรียงรายระเกะระกะ ภายใต้สายตาจับจ้องของชาวเมืองที่สวมเสื้อผ้าสกปรกและยับยุ่ง
เมื่อมาถึงแท่นที่ตั้งเสาธง เธอก็ได้ยินเสียงที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและอ่อนเยาว์ดังมาจากอาคารที่อยู่ด้านในสุดของเมืองน้ำล้อม
“การกระทำตามเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ ทั่วโลกนั้นเป็นของมวลชน คัดเลือกผู้มีคุณธรรมและความสามารถ กล่าววาจาสัตย์ มีความสมัครสมานฉันท์
“เป็นคนไม่เพียงแค่รักเฉพาะบุพการี ไม่เพียงแค่รักเฉพาะลูกหลานตน ผู้ชราได้มีที่พึ่งพิง คนฉกรรจ์สร้างประโยชน์ เยาว์วัยได้เติบใหญ่ ผู้เป็นหม้าย โสด ไร้ลูกหลาน พิการ กำพร้า ต่างล้วนได้รับการเลี้ยงดู…[1]”
* * * * *
[1] นำมาจากหนังสือ《礼记》(หลี่จี้ – พิธีกรรม) ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือสำคัญของลัทธิขงจื๊อ อันประกอบไปด้วย สี่ตำราห้าคัมภีร์ สี่ตำรา (四書) – ต้าเสวีย จงยง หลุนอวี่ เมิ่งจื่อ
ห้าคัมภีร์ (五經) – ชุนชิว ซือจิง ซูจิง อี้จิง หลี่จี้
หนังสือหลี่จี้เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องพิธีการและการปฏิบัติตามพิธีกรรมต่างๆ