“การกระทำตามเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ ทั่วโลกนั้นเป็นของมวลชน คัดเลือกผู้มีคุณธรรมและความสามารถ กล่าววาจาสัตย์…
หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังด้านซ้ายมือ ถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือแล้วอ่านพึมพำเบาๆ
หลังจากอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปข้างหน้าด้วยความสงสัย
“หัวหน้า ทำไมบริษัทถึงไม่สอนร้อยแก้วโบราณบทนี้ล่ะ
“หรือว่าเป็นเพราะไม่มีใครจำได้แล้ว”
หนังสือในมือเขานั้นใช้อาหารเพื่อแลกมาจากเมืองน้ำล้อม
ในขณะนี้แสงตะวันเจิดจ้าจนตาพร่า ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนต้องสวมแว่นกันแดด
เธอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับมา
“เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ก็เคยอ่านมาจากหนังสือนอกหลักสูตรอยู่นะ แสดงว่ายังมีหลายคนที่จำได้อยู่
“แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเบื้องบนของบริษัทไม่อยากให้พนักงานเรียนร้อยแก้วโบราณบทนี้ เพราะเกรงว่าพวกเขาจะไขว่คว้าสังคมแห่งเอกภาพ ซึ่งไม่เอื้อต่อการบริหารจัดการ”
“แล้วแบบนั้นไม่ได้เหรอ” หลงเยว่หงแสดงความคิดเห็นของตนออกมา “ถึงแม้ว่าทางบริษัทจะไม่ได้ดำเนินนโยบายแบบทั่วโลกเป็นของมวลชน คัดเลือกผู้มีคุณธรรมและความสามารถ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ชราได้มีที่พึ่งพิง คนฉกรรจ์สร้างประโยชน์ เยาว์วัยได้เติบใหญ่ เอ่อ… ผู้เป็นหม้าย โสด ไร้ลูกหลาน พิการ กำพร้า ต่างล้วนได้รับการเลี้ยงดู”
พูดไปได้กลางทางเขาก็จำเนื้อหาต่อไม่ได้ จึงต้องก้มหน้าลงไปมองหนังสืออีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“มีคำกล่าวว่า กันไว้ดีกว่าแก้
“ดูสิ ขนาดพนักงานอย่างนายที่เพิ่งจะเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการมาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ยังรู้ว่าพวกเบื้องบนมักใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เลือกที่รักมักที่ชัง นี่แสดงว่าทุกคนนั้นยังมีตาชั่งอยู่ในใจ ต่อหน้าไม่กล้าคัดค้าน แต่แอบนินทาว่าร้ายอยู่ลับหลัง
“ถ้าหากว่าในยุคต่อๆ ไป พวกเขายอมรับแนวคิดในทำนองว่าทั่วโลกเป็นของมวลชน ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วพวกเบื้องบนจะปกครองได้ยังไง จะให้ ‘หัวหน้าใหญ่’ ใช้อำนาจได้อย่างราบรื่นได้ยังไง”
หลงเยว่หงรู้สึกคล้อยตามอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่านี่ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงประการใด
“ไม่น่าจะมีใครต่อต้านเบื้องบนออกมาตรงๆ หรอกมั้ง
“ทุกคนต่างก็ค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้อยู่แล้ว”
เมื่อเทียบกับนิคมของคนเร่ร่อนแดนร้างที่มีอยู่อย่างมากมายในแดนธุลีแล้ว ภายในของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น มั่นคงและสงบสุข ตราบใดที่ทุกคนขยันขันแข็ง ก็ล้วนแต่ได้รับการตอบแทนตามสมควร ไม่ต้องกังวลว่าจะอดตาย
“ก็ไม่แน่หรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบขณะที่เลี้ยวรถจี๊ปและลัดเลาะไปตามแม่น้ำสายเล็ก
หลงเยว่หงยิ้มแล้วพูดออกมาทันที
“ไม่มีใครยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยให้ทุกคนต่อสู้เรียกร้องสิทธิหรอก ใช่ไหมล่ะ”
หลังจากถามออกไปแล้ว เขาก็พลันหันไปมองซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว
แล้วฉับพลันนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนสนิทและสหายร่วมทีมของเขาคนนี้มักจะมีคำพูดติดปากว่าต้องการช่วยเหลือมนุษยชาติทั้งมวล
“มีสิ” ซางเจี้ยนเย่ามองตอบกลับมาด้วยสายตาอันกระจ่างสดใส
“…” หลงเยว่หงรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่มีทางโต้เถียงชนะหมอนี่ได้ จึงเปลี่ยนเรื่องเสีย “คิดว่านายหลับอยู่ซะอีก”
ในระยะนี้ ช่วงเวลากลางวันของแต่ละวัน ซางเจี้ยนเย่าจะนอนหลับเป็นครั้งคราว ราวกับว่าเขากำลังจำศีลเป็นช่วงๆ
หลงเยว่หงไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้พวกเขาต้องอยู่บนถนนแทบจะตลอดเวลา กิจวัตรประจำวันแทบไม่มีอะไร นอกจากนอนหลับ พูดคุยสนทนา ออกกำลังกาย ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำอีก
“เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ ก็เลยตื่นขึ้นมาเพื่อจะได้พักสักหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความเป็นจริงซึ่งฟังดูแปลกๆ อยู่บ้าง
ช่วงนี้เขามักจะเข้าไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อยู่เป็นระยะ เพื่อค้นหา ‘เกาะ’ แห่งที่สอง
“นอนหลับแบบนั้นยังไม่ได้พักอีกหรือไง” หลงเยว่หงด่าพร้อมหัวเราะไปด้วย
แล้วเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหน้าไปหาเจี่ยงไป๋เหมียนอีกครั้ง
“หัวหน้า ทำไมเมืองน้ำล้อมถึงได้สอนร้อยแก้วโบราณบทนี้ล่ะ คุณก็เห็นนี่นาว่าระดับสูงของที่นั่นมีความคิดรอบคอบระมัดระวัง ไม่ได้คิดว่าทั่วโลกเป็นของมวลชน ไม่ได้คิดว่าเป็นคนจะต้องไม่รักเฉพาะบุพการีตน…”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“บางทีอาจจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงได้นำบทความนี้มาใส่ในเนื้อหาการเรียนการสอน
“ความตั้งใจที่ไม่เหมือนกันส่งผลให้เกิดสองทางเลือกที่แตกต่างกัน”
ไป๋เฉินซึ่งอยู่ในตำแหน่งเบาะที่นั่งข้างคนขับเหลือบมองหัวหน้าทีมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบา
“ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรหรอก
“ในตอนที่ก่อตั้งเมืองน้ำล้อมขึ้นมานั้น พวกเขาใช้หนังสือเรียนทุกเล่มที่มีอยู่ ไม่มีใครคิดถึงในประเด็นนั้นเลย แล้วมันก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะมองไป๋เฉินด้วยสายตาตัดพ้อ ทว่าดวงตาของเธอนั้นมีแว่นกันแดดบดบังอยู่
เธออดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นี่… ตอนฉันกำลังสอนอยู่ เธออย่ามารื้อเวทีฉันสิ!”
ขณะที่พูดประโยคนี้ เธอยังมีอารมณ์ดีอยู่ เพราะเห็นว่าสภาพจิตของไป๋เฉินนั้นดีขึ้นมากแล้ว
แต่เดิมนั้นเธอคิดว่าการเสียชีวิตของเถียนเอ้อร์เหอจะทำให้ไป๋เฉินเสียศูนย์ไปอีกพักใหญ่ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าหลังจากส่งมอบเมืองเสร็จ พอสองวันถัดมาหลังจากออกจากเมืองน้ำล้อมแล้วไป๋เฉินก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติ เพียงแค่หดหู่ไปบ้างเล็กน้อย
จนกระทั่งสองสามวันก่อนหน้านี้เธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยก่อน
ซึ่งเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี
มีคนเร่ร่อนแดนร้างคนไหนบ้างที่ไม่ได้คุ้นเคยกับความเป็นความตาย
ตราบใดที่ไม่ถึงกับเสียศูนย์หรือเกิดปัญหากับสภาพจิตใจโดยตรง พวกเขาก็จะฟื้นคืนกลับมาโดยเร็วเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ก็แน่นอนว่าต่อไปในภายภาคหน้า หากหวนย้อนคิดกลับมาเมื่อไหร่ ภายในใจก็ยังคงมีความเจ็บปวดอยู่บ้าง
หลังจากจบการสนทนาในหัวข้อนี้ ภายในรถจี๊ปก็พลันเงียบงันลงอีกครั้ง
นั่งอยู่แต่ในรถกันมาตั้งครึ่งค่อนเดือนแล้ว ไหนเลยยังจะมีเรื่องให้พูดคุยกันมากมายอีก
หลงเยว่หงมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็เห็นก้อนเมฆสีดำลอยต่ำ มองเห็นแดนรกร้างสีเหลือง มองเห็นผืนดินสีน้ำตาล มองเห็นป่าเขาลำเนาไพรอยู่ในระยะสุดสายตา
นอกจากสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นอีก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย กระทั่งพวกสัตว์ต่างๆ ก็ยังเหนียมอายที่จะปรากฏกายออกมาให้เห็น
ที่นี่คือฤดูหนาวของแดนธุลี
ทิวทัศน์เช่นนี้เมื่อมองดูเป็นเวลาเนิ่นนาน ย่อมทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหดหู่และหงุดหงิด
เพื่อที่จะรีบไปให้ถึงเมืองหญ้าไพรโดยเร็วที่สุด และหลีกเลี่ยงภยันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงเลือกเส้นทางลักษณะเช่นนี้มาโดยตลอด ซึ่งนี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว
พวกเขาไม่ได้ใช้เส้นทางตามปกติ เลือกที่จะใช้เส้นทางอ้อม และล่าช้าไปอีกหลายวันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมและสภาพอากาศที่เลวร้ายในบางสถานที่
“เมื่อไหร่ถึงจะได้เจอผู้เจอคนบ้างนะ” หลงเยว่หงถอนหายใจออกอย่างเชื่องช้า
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคิดว่าวันใดวันหนึ่งตนเองคงต้องเสียสติขึ้นมาแน่นอน
“แล้วไงล่ะ นายจะคุยกับพวกเขาหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างตื่นเต้น
“เอ่อ…” หลังจากที่คิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้ว หลงเยว่หงก็คิดว่าตัวเองไม่ควรประมาท “ฉันก็แค่อยากจะเห็นคนบ้างเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นก็คงจะรู้สึกว่าทั่วทั้งแดนธุลี มีพวกเราเหลืออยู่แค่สี่คนนี่เท่านั้น”
“แล้วนายจะเลือกใครดีล่ะ นายจำเป็นต้องเสียสละเพื่อมนุษยชาติจะได้มีทายาทสืบทอดต่อไป” ราวกับว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังจินตนาการถึงฉากในสมมติฐานของหลงเยว่หงอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะห้ามไม่ให้หมอนี่พูดอะไรต่ออีก ไป๋เฉินก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“บนแดนร้างในฤดูกาลนี้ ถ้าไม่เจอใครยังจะดีเสียกว่า”
หลงเยว่หงซึ่งได้ผ่านประสบการณ์บางอย่างมาบ้างแล้ว เขาครุ่นคิดแล้วถามขึ้นมา
“พวกคนเร่ร่อนที่เข้ามาในแดนร้างช่วงฤดูหนาว ก็เพราะว่าไม่มีอาหารกินเหรอ”
“ถูกต้อง เรียกได้ว่าขาดแคลนอาหารขนาดหนักเลยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ
แล้วเธอก็ถอนหายใจ
“ในตอนนั้น ถ้าหากพวกเขาพยายามจะจับนาย ก็ยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเกิดพวกเขาอุ้มลูกคุกเข่าอยู่ข้างถนน พยายามอ้อนวอนขอร้องอย่างน่าเวทนา ถามหน่อยว่านายจะช่วยพวกเขาหรือเปล่า
“ถ้าหากเลือกที่จะช่วย งั้นจะให้อาหารพวกเขาไปกี่วันล่ะ และตลอดทั้งเส้นทางการเดินทาง นายจะช่วยได้สักกี่คนกัน”
“หลังจากช่วยพวกเขาแล้ว ถ้าเกิดพวกเขาคิดว่ายังไงตัวเองคงไม่รอดพ้นฤดูหนาวไปได้ เลยพยายามจะฉกฉวยจากนาย หรือแม้แต่ฆ่านายเพื่อจะเอาไปทำเป็นเสบียงสำรอง นายจะรู้สึกยังไงบ้างล่ะ
“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะซาบซึ้งในบุญคุณและไม่ทำอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าเขาย้อนกลับไปฆ่าคนอื่นๆ ที่นายเพิ่งช่วยเอาไว้เพื่อทำเป็นอาหารเพื่อให้อยู่รอดในฤดูหนาว นายจะโทษตัวเองหรือเปล่า”
เมื่อถูกย้อนถามกลับมาเช่นนี้ คำถามแต่ละคำคล้ายดั่งลูกศรที่ทิ่มแทงหัวใจของหลงเยว่หงอย่างแม่นยำ ทำให้ริมฝีปากเขาสั่นระริก ไม่อาจตอบคำได้
“ไม่อาจช่วยได้แม้เพียงสักคน” ไป๋เฉินตอบแทนเขา “อาหารของพวกเรานั้นมีเพียงพอสำหรับแค่เดินทางไปถึงเมืองหญ้าไพรเท่านั้น และตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว”
“นอกเสียจากว่านายอยากจะอดตาย ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้พบเจอเสียยังจะดีกว่า” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวเสริม
แล้วเธอก็หัวเราะเยาะตัวเอง
“พละกำลังเพียงลำพังนั้นไม่อาจช่วยเหลือทั่วทั้งแดนธุลีได้
“ในตอนนั้นผู้ก่อตั้ง ‘กองทัพกู้โลก’ หลังจากที่ได้พานพบประสบเหตุการณ์ทำนองนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงได้ตัดสินใจที่จะผนึกกำลังรวมตัวกันเพื่อสร้างองค์กรที่ทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติทั้งมวล
“พวกเขาหวังจะใช้พลังอันเข้มแข็งที่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อจัดระเบียบสังคมและระบบการผลิตขึ้นมาใหม่โดยเร็วที่สุด จากนั้นก็รวบรวมคนเร่ร่อนแดนร้างมาให้มากที่สุดเพื่อผลิตอาหารและโภคภัณฑ์ต่างๆ ได้มากขึ้น เช่นเดียวกับก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
“แต่น่าเสียดาย…”
เธอทอดถอนใจเพราะว่าการก่อตั้ง ‘กองทัพกู้โลก’ ในอุดมคตินั้น สุดท้ายก็ล่มสลายไป
“จะมีผู้รับช่วงสืบทอดเจตนารมณ์ต่อไป” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดประเด็นนี้ต่อ เธอเม้มปากแล้วพูดอย่างเคร่งเครียด
“ได้เวลาลงมติกันแล้ว ว่ามื้อเย็นเราจะกินอะไรกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลงเยว่หงพลันห่อเหี่ยวลงในทันที ซางเจี้ยนเย่าเองก็ไม่ได้ยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปากเช่นกัน
พวกเขามีเพียงสามตัวเลือกเท่านั้น
ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง และอาหารกระป๋องทหาร
ถึงแม้ว่าอาหารพวกนี้จะมีหลายรสชาติก็ตามที แต่ทว่าสุดท้ายแล้วพวกมันก็คือธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง และอาหารกระป๋องทหารอยู่ดี
หลังจากที่ต้องกินของพวกนี้ซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลามากกว่าครึ่งเดือน เมื่อได้ยินคำถามนี้ขึ้นมาครั้งใด พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกย่ำแย่และเหมือนจะป่วยเล็กน้อยด้วย
“หลังจากกลับบ้านไปแล้ว ผมคงไม่อยากกินอาหารกระป๋องอีกแล้วล่ะ” หลงเยว่หงถอนหายใจออกมาจากใจ
ก็จริงแหละที่อาหารกระป๋องนั่นอร่อยมาก แต่ใครที่ไหนจะทนกินได้ทุกวี่วัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองอาทิตย์อัสดงที่ขอบฟ้าแล้วหันไปพูดกับไป๋เฉินด้านข้าง
“มีนิคมคนเร่ร่อนที่เหมาะสมอยู่แถวนี้บ้างไหม”
ถึงแม้ว่าแผนที่ที่บริษัทจัดเตรียมไว้ให้นั้นจะระบุตำแหน่งพิกัดของนิคมคนเร่ร่อนที่รู้จักกันดีหลายแห่งในบริเวณนี้ไว้ แต่เจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าการถามไป๋เฉินนั้นดีกว่า ตรงกว่า และสะดวกกว่าด้วย
“นอกจากจะทำการค้าเรื่องอาหารแล้ว หัวหน้าอยากได้อะไรบ้างล่ะ” ไป๋เฉินถามออกมาตรงๆ
เธอมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าหัวหน้าทีมนั้นไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนแผนการเดินทางเพียงเพราะต้องการแค่อยากเปลี่ยนอาหารการกินเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
“เราใกล้จะถึงเมืองหญ้าไพรแล้ว อีกแค่หนึ่งถึงสองวัน ดังนั้นก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ากันหน่อย
“คงจะเดินโท่งๆ เข้าเมืองไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
“ถึงแม้ว่านิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ จะไม่ได้เป็นพวกสุดโต่งหรือทรงพลังมากนัก และไม่มีข้อมูลว่าพวกเรามุ่งหน้าไปยังเมืองหญ้าไพร เราก็ยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุการหายตัวไปของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ อีกทีมหนึ่งด้วย
“ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าเราจะหานิคมคนเร่ร่อนที่เหมาะสมเพื่อแฝงตัวเข้าไป อย่างเช่นว่าปะปนไปกับกองคาราวานที่เดินทางไปทำการค้าในเมืองหญ้าไพรน่ะ”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือออกมาอย่างจริงใจ หลงเยว่หงเองก็ชื่นชมในความรอบพิถีพิถันของหัวหน้าทีมจากใจจริง
ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อย
“เข้าใจแล้วว่าหัวหน้าหมายถึงอะไร
“งั้นเราจะไปที่ค่าย ‘คนไร้ราก’ ที่อยู่ในละแวกนี้กัน
“ในฤดูหนาว พวกเขาน่าจะอยู่กันที่นี่แหละ”
“คนไร้รากงั้นเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
“พวกเขาเป็นขันทีกันทั้งหมดเลยเหรอ ถ้างั้นใครจะเป็นคนสืบทอดเมล็ดพันธุ์ทายาทกันล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ถามขึ้นมาด้วยความสนอกสนใจ
“ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘คนไร้ราก’ มาก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก พวกเขาเป็นยังไงเหรอ”
ไป๋เฉินยิ้มเล็กน้อย
“เดี๋ยวไว้ได้เจอกันเมื่อไหร่พวกคุณก็รู้เองแหละ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ชั้นรอง แล้วก็ไม่ได้เป็นขันทีด้วย เป็นคนธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่ามีขนบธรรมเนียมและพฤติกรรมเฉพาะตัวสักหน่อย”
“โอ้ นี่ถึงกับเรียนรู้วิธีการสร้างความอยากรู้อยากเห็นมาซะด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดติดตลกออกมาประโยคหนึ่ง “งั้นต้องขับไปทางไหนล่ะ”
ไป๋เฉินซึ่งนั่งตัวตรงมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เธอชี้บอกทางอย่างจริงจัง