รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 138 หาหลักฐานอย่างรอบคอบ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 138 หาหลักฐานอย่างรอบคอบ

เมื่อเห็นรูปถ่ายในมือของเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หงก็เข้าใจในทันที

ในเมื่อผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นมือปืนคือเหลยอวิ๋นซง ดังนั้นเป็นไปได้ว่าผู้ช่วยของมือปืนย่อมต้องเป็นหลินเฟยเฟย!

จากข้อมูลที่เฉินซวี่เฟิงให้มา หลังจากที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ หายตัวไป ก็มีผู้พบเห็นคนที่คาดว่าจะเป็นสองคนนี้ ซึ่งมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น

ทั้งสองเรื่องนี้มันเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันจริงๆ ทำไมฉันถึงไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะ… หลงเยว่หงอดยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองไม่ได้ เขารู้สึกว่าตนเองนั้นยังคงประหม่าตื่นกลัวง่ายยามที่ประสบปัญหา และนี่ส่งผลให้ความคิดอ่านช้าลงไปด้วย

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แปลกใจที่เจี่ยงไป๋เหมียนนำรูปถ่ายของหลินเฟยเฟยออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าในที่สุดก็มาถึงจุดนี้จนได้

“จะเริ่มถามจากที่ไหนกันดี”

เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้ว

“นายกำลังจะบอกว่า ก่อนหน้านี้ก็บอกไปแล้วว่าให้เอารูปของเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยไปถามหา อย่างนั้นหรือไง

“สถานการณ์ตอนนี้กับเมื่อวานมันเหมือนกันที่ไหนกันล่ะ แล้วก็นะ นี่ไม่ใช้การสืบสวนแบบเหวี่ยงแหสักหน่อย ยังคงอยู่ในการควบคุม ไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น

“เวลาเปลี่ยน สถานการณ์ก็เปลี่ยน”

ในวันนี้ การไปถามใครต่อใครว่าเคยเห็นเหลยอวิ๋นซงบ้างหรือเปล่า ก็จะไม่ใช่เรื่องอันตรายใดๆ อีก เพราะนักล่าซากอารยะทั้งเมืองกำลังพลิกแผ่นดินตามล่าหาตัวเขาอยู่

แต่สำหรับหลินเฟยเฟยนั้นยังต้องระวังไว้ให้มาก นั่นก็เพราะเธอยังไม่เคยถูก ‘เปิดโปง’ มาก่อน

เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดสายตามองดูร้านรวงต่างๆ ในตรอกแพรแดงแล้วพูดต่อทันทีโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่ามีโอกาส ‘แก้ต่าง’

“ช่วยจับเวลาให้หน่อย”

แล้วเธอก็เดินไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับตรอกเขาเหลืองที่สุดก่อนจะตะโกนขึ้นมา

“เตรียมตัว”

เมื่อเข็มวินาทีเดินเข้าใกล้เลขสิบสอง ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือขวาขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นก็เหวี่ยงแขนลงทันที

“ไป!”

เจี่ยงไป๋เหมียนย่อร่างลง เหวี่ยงสองแขนข้างกายแล้วพุ่งตัววิ่งออกไปประหนึ่งเสือชีตาห์ที่ปราดเปรียว

หลงเยว่หงมองดูภาพนี้ด้วยความแปลกใจ ก่อนที่เขาจะคิดออกว่าหัวหน้าทีมนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรในการทำเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ออกไปนอกตรอกแพรแดงและหยุดยืนอยู่ข้างซางเจี้ยนเย่าแล้ว

การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่านักล่าซากอารยะโดยรอบ รวมถึงผู้คนที่สัญจรไปมาอีกด้วย แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ไม่เข้าใจ มองดูด้วยสายตาที่ราวกับกำลังมองคนโง่อยู่

“กี่วินาที” เจี่ยงไป๋เหมียนสูดลมหายใจแรงแล้วถามขึ้น

ซางเจี้ยนเย่าละสายตาจากนาฬิกาข้อมือของตน

“ประมาณสี่วินาที”

เขาไม่ได้ใช้นาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์หรือนาฬิกาจับเวลา ดังนั้นจึงไม่อาจระบุเวลาได้อย่างแม่นยำ

“ในตอนนั้นมือปืนถือปืนไรเฟิลอยู่ และบนหลังคาก็มีสิ่งกีดขวางมากมาย เวลาสี่วินาทีไม่น่าจะพอ คงจะราวๆ ห้าถึงหกวินาที…” ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูด เธอก็เดินมาถึงจุดที่หลิวต้าจ้วงถูกยิงล้มลง จากนั้นเธอก็ถอยกลับไปยังทางเข้าตรอกแพรแดงสองสามก้าวแล้วพูดพึมพำ

“นับเพิ่มเวลาที่มือปืนใช้เล็งยิง”

หลังจากยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือขึ้นมาพลิกมองดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ที่สวมไว้ แล้วเดินเข้าไปยังตรอกแพรแดงด้วยจังหวะความเร็วและความถี่ในการก้าวย่างของหลิวต้าจ้วงจากความทรงจำของตน

“หนึ่ง… สอง… สาม… สี่… ห้า… หก” ซางเจี้ยนเย่าช่วยนับ

เมื่อผ่านไปหกวินาทีเธอก็หยุดเท้าลง

ในตอนนี้หลงเยว่หงพอจะเข้าใจได้อย่างเลือนลางแล้วว่าหัวหน้าทีมกำลังทำอะไรอยู่

เธอกำลังจำลองเหตุการณ์ซุ่มยิงเพื่อระบุตำแหน่งคร่าวๆ ที่หลิวต้าจ้วงถูกผู้ช่วยมือปืนพบตัว!

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ทำพฤติกรรมประหลาดต่ออีก เธอกวักมือเรียกซางเจี้ยนเย่าให้เข้าไปหา

นักล่าซากอารยะโดยรอบที่เฝ้ามองอยู่ต่างก็ค่อยๆ ละสายตาจากไป เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมองมาทางด้านนี้

พวกเขาคิดออกแล้วว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังเลียนแบบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งพวกนักล่ามากประสบการณ์ก็ได้ทำแบบนี้กันไปแล้ว ทว่าพวกนั้นก็ไม่พบกับเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์และมีมูลค่าเพียงพอ

เมื่อไม่ได้ตกเป็นเป้าความสนใจอีกต่อไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่าด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ช่วยมือปืนจะใช้วิทยุสื่อสารส่งข่าวบอกเหลยอวิ๋นซงทันทีในตอนที่พบตัวหลิวต้าจ้วง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะรู้ตัวและรีบเปลี่ยนเส้นทาง”

ในระหว่างที่พูดเธอก็เดินต่อไปอีกช่วงหนึ่ง

“แต่ถ้าเป็นตำแหน่งนี้ หากว่าหันหลังให้และพูดเบาหน่อย หลิวต้าจ้วงไม่น่าจะได้ยิน” เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดเท้าอีกครั้งและชี้ไปที่ถนน “เอารูปถ่ายไปถามร้านแถวนี้ดู”

เธอมองไปทางหลงเยว่หงซึ่งอยู่ออกไปไม่ห่างนัก

“ผมเหรอ” หลงเยว่หงชี้ที่ตนเองอย่างเงียบๆ

“มาฝึกฝนให้มากหน่อย”

หลงเยว่หงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินไปหาหัวหน้าทีม แล้วรับภาพถ่ายของหลินเฟยเฟยมาเงียบๆ จากนั้นก็เข้าไปที่ ‘ร้านซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า’ ซึ่งอยู่ริมถนน

“เถ้าแก่ สวัสดีครับ…” หลงเยว่หงพูดทักทายอย่างกระสับกระส่ายอยู่บ้าง

เถ้าแก่ร้านซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นชายอายุ 27-28 ปี ตลอดทั้งร่างสกปรกเล็กน้อย

เขาตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“ไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็นจริงๆ! ทุกเช้าคนที่เดินผ่านร้านฉัน ถ้าไม่ถึงร้อยก็มีตั้งหลายสิบ ใครจะไปจำได้

“หลิวต้าจ้วงอะไรนั่น ชื่อก็ไม่เคยได้ยิน!”

เอ่อ… มีพวกนักล่าเคยมาถามไปบ้างแล้วสินะ… เมื่อได้ยินเช่นนี้หลงเยว่หงก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที

เป็นเพราะไม่อยากให้ ‘ภารกิจฉายเดี่ยว’ ของตนต้องล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เขาจึงรวบรวมความกล้าก่อนจะยื่นส่งรูปถ่ายไปให้

“ผมไม่ได้ถามถึงหลิวต้าจ้วงหรอก”

ด้วยท่าทีที่ประหม่าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ รีบพูดโพล่งออกมา

“เถ้าแก่ ผมเป็นผู้ชาย คุณก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน…”

เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจแล้วก็เห็นรูปหลินเฟยเฟย

เขาแสดงสีหน้าว่าเข้าอกเข้าใจขึ้นมาทันที

“โอ้ ที่แท้คุณก็หลงเสน่ห์เธอเข้าแล้วสินะ

“เอารูปมาจากไหนเหรอนั่น มีกล้องถ่ายรูปด้วยงั้นเหรอ นี่มันของดีเลยนะเนี่ย!”

หลงเยว่หงตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ

“คุณเคยเห็นเธองั้นเหรอ”

เขาเคยเห็นหลินเฟยเฟยจริงด้วย!

หัวหน้านี่สุดยอดมาก!

นอกร้านไปไม่ไกลนัก ซางเจี้ยนเย่าซึ่งยืนอยู่หน้าถนนก็พูดพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย

“เขาไปหัด ‘ตัวตลกชักจูง’ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“นี่เขาเรียกว่าการเลียนแบบ แล้วก็เจอแจ็คพอตเข้าพอดี” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจออกมาจากใจ

หาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้ตั้งแต่เริ่มต้นแบบนี้ วันนี้น่าจะเป็นไปอย่างราบรื่นสินะ

ภายในร้าน เถ้าแก่ชื่นชมรูปภาพพลางเกาศีรษะแกรกๆ

“เป็นตอนเช้า ผมเพิ่งจะเปิดร้านไม่นานเท่าไหร่ เธอก็ยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้แล้ว พอถูกลมหนาวพัดมาก็ตัวสั่น ใครเห็นเข้าก็ปวดใจ

“เฮ้อ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะผมมีครอบครัวแล้วละก็ ต้องให้เธอเข้ามารอในร้านนี่แน่นอน”

เมื่อหลงเยว่หงเห็นว่าตนเองได้รับข้อมูลมาบ้าง ก็เริ่มตื่นเต้น รีบถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง

“เป็นเธอจริงๆ ใช่ไหม”

“ผมเพิ่งจะเจอหมาดๆ จะจำผิดได้ยังไง ไฝตรงนี้น่ะ ผมจำได้แม่นเลย” เถ้าแก่ชี้ไปที่คิ้วซ้ายของหลิวเฟยเฟยในรูปถ่าย

หลงเยว่หงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เธอไปไหนต่อเหรอ”

“ก็มีคนถูกยิงอยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือไง เธออาจจะกลัว ก็เลยกลับไป” เถ้าแก่ชี้ไปทางด้านขวาของตนเอง “เธออาจจะพักอยู่ที่ลานนี้ก็ได้”

หลงเยว่หงพูดขอบคุณเขาซ้ำๆ ออกจากร้านไปด้วยความรู้สึกที่ประสบความสำเร็จ

ขณะที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ เขาก็เดินไปหาเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่า ในขณะที่ส่งรูปภาพคืนก็เล่าเบาะแสที่ได้รับมาจากการสอบถาม

เล่าจนจบเขาก็แสดงสีหน้าชื่นชมจากใจจริงและถามขึ้นด้วยความสงสัย

“หัวหน้ารู้ได้ยังไงว่าจะได้เบาะแสของหลินเฟยเฟยจากที่นี่”

“ฉันก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม

เธอเหลือบมองพวกนักล่าซากอารยะที่อยู่นอกตรอก แล้วอธิบายอย่างรวดเร็ว

“ถ้าหากว่าไม่ได้คำตอบก็แปลว่าฉันเดาผิด อย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนทิศทางการสืบสวนใหม่จากร่องรอยของที่เกิดเหตุ

“ในโลกเก่ามีคำพูดบอกไว้ว่า กล้าตั้งสมมติฐานและตรวจสอบอย่างรอบคอบ ตอนที่มองหาเบาะแสก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดพลาด ทุกความผิดพลาดนั้นจะขจัดความเป็นไปไม่ได้ออกไปทีละข้อ และเข้าใกล้ความจริงขึ้นเรื่อยๆ

“แต่ว่าเรื่องนี้จะเอาไปใช้ในสนามรบไม่ได้ หากว่าทำผิดพลาดเมื่อไหร่ อาจจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”

หลงเยว่หงใช้น้ำเสียง ‘ได้เรียนรู้อีกแล้ว’ ตอบรับ

“ผมเข้าใจแล้ว”

เขาไม่อยู่ต่ออีก รีบผละจากซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนกลับไปหาไป๋เฉิน

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังลานที่หลินเฟยเฟยเข้าไป แล้วยิ้มให้กับซางเจี้ยนเย่า

“ถึงตานายแล้ว”

เป้าหมายก็คือคนที่เฝ้าทางเข้าออกของลาน

เขาอายุราว 50 ปี สวมหมวกผ้าฝ้ายสีเขียวขี้ม้า สวมเสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีดำ และรองเท้าฝ้ายสีน้ำตาล ทำให้ดูตัวอ้วนพอง ไม่ได้เข้าชุดกันเลยแม้แต่น้อย

“ใช้พลังได้หรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ได้รีบตรงรี่เข้าไป

“ได้สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ คนที่นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการ ‘หายตัว’ ไปของหลินเฟยเฟยและคนอื่นๆ จะประมาทไม่ได้”

ซางเจี้ยนเย่าหายใจออกมาแล้วมองดูลมหายใจกระจายเป็นควันสีขาว จากนั้นจึงเดินเข้าไปที่ลานที่ล้อมรอบอาคารเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นอยู่บ้าง

ในไม่ช้าเขาก็เดินมาถึงทางเข้าแล้วยิ้มให้กับชายชราที่นั่งอยู่ในตู้ยาม

“คุณลุงครับ…”

ชายสูงวัยเหลือบมองมาแล้วพูดขัดจังหวะซางเจี้ยนเย่าทันที

“ถ้าจะถามอะไรก็จ่ายเงินมาก่อน

“พวกนักล่าอย่างพวกคุณก็รู้อยู่แล้ว!”

ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจะใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ พลันต้องรีบกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปในทันที

แต่แทนที่จะโกรธ เขากลับถามอย่างกระตือรือร้น

“ถามอะไรก็ได้ใช่ไหม”

ชายชราตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่าคนเบื้องหน้าผู้นี้มีอะไรแปลกๆ

จากนั้นก็ตอบออกมา

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจ่ายเท่าไหร่”

“คุณลุง ดูสิ” ซางเจี้ยนเย่าทำท่าเหมือนกำลังจะต่อรอง “ลุงเป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชาย คุณต้องหาเงิน ผมเองก็ต้องหาเงิน ดังนั้น…”

ชายสูงวัยงุนงงไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ เป็นคนจนเหมือนกันก็ไม่ควรจะสร้างความลำบากให้กัน

“ว่ามาสิ อยากจะถามอะไรล่ะ”

“ลุงเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ไหม” ซางเจี้ยนเย่ายื่นรูปถ่ายหลินเฟยเฟยออกมา

“เคยเห็นสิ เธอพักอยู่ที่ลานนี่แหละ” ชายชราชี้ไปยังอาคารหลังหนึ่งใกล้ตรอกเขาเหลือง “เห็นไหม ตึกหลังนั้นน่ะ”

“อยู่ชั้นไหน ห้องเบอร์อะไรครับ” ซางเจี้ยนเย่าสอบถามต่อ

“ฉันได้ยินตาเฒ่าเจิ้งในอาคารบอกว่าเธออยู่ชั้นสอง ห้องในสุดข้างประตู ส่วนจะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายชราตอบ

“ขอบคุณครับ” ซางเจี้ยนเย่ายื่นธัญพืชอัดแท่งส่งให้ชายสูงวัย

ด้วยวิธีนี้ ถึงแม้ว่าในภายหลังชายชราจะจำเรื่องที่สนทนากันได้ แต่ก็จะไม่รู้สึกว่าตนเองถูกเวทมนตร์คาถาร่ายใส่ เพียงแค่คิดว่าตัวเองถูกซื้อด้วยอาหารเท่านั้น

เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อชายชราเห็นธัญพืชอัดแท่งเขาก็ยิ้มแก้มปริทันที

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง”

ถึงแม้จะพูดเช่นนั้นแต่เขาก็ยื่นมือไปรับมา

ในเมื่อได้ทำการค้ากันแล้ว เขาจึงไม่ได้ยับยั้งไม่ให้ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนเข้าไปข้างในลาน

เมื่อเดินมาถึงอาคารดังกล่าวและขึ้นไปยังชั้นสอง เจี่ยงไป๋เหมียนอดทนรออยู่ครู่หนึ่งโดยไม่ได้รีบเข้าไปหาเป้าหมายทันที

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังมาจากวิทยุสื่อสาร แล้วเสียงไป๋เฉินก็ดังขึ้นมา

“เข้าประจำที่แล้ว”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รีรออีกต่อไป เธอเดินไปตามทางจนกระทั่งมาถึงด้านข้างประตู

“ทั้งสองห้องไม่มีคนอยู่”

ด้านในสุดนั้นมีอยู่ด้วยกันสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ติดกับลาน อีกห้องหนึ่งอยู่ติดกับตรอกเขาเหลือง

จากการประเมินของเจี่ยงไป๋เหมียน เธอคิดว่าเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยน่าจะอยู่ในห้องด้านนอกเพราะเคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่า

ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงไปรออยู่ที่ตรอกเขาเหลืองเพื่อป้องกันไม่ให้ใครกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง

“ไม่มีคน” ซางเจี้ยนเย่าพูดเช่นเดียวกับเจี่ยงไป๋เหมียน

เจี่ยงไป๋เหมียนเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องเป้าหมาย จากนั้นก็หยิบเครื่องมือชิ้นเล็กๆ ซึ่งห้อยไว้ที่เข็มขัดออกมา และใช้มันเปิดห้องได้อย่างง่ายดาย

แผนผังของห้องนี้คล้ายกับห้องที่พวกเขาเช่าไว้ มีเตียงสองชั้น โต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง

ห้องพักสะอาดมาก เพียงแค่กวาดตามองก็เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่

“ทิ้งห้องไปแล้วงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เลิกล้มความคิด เธอเริ่มสำรวจอย่างจริงจัง

ซางเจี้ยนเย่านอนลงกับพื้นเพื่อมองดูใต้เตียง

“มีกระดาษอยู่” เขาพูดออกมาทันที

“กระดาษอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนพลันหยุดชะงัก

ซางเจี้ยนเย่าเอื้อมมือเข้าไปหยิบแผ่นกระดาษออกมา แล้วก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคลี่ออกมาดู

วินาทีถัดมา ทั้งเขาและเจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นหน้ากระดาษพร้อมๆ กัน

ข้างในนั้นเขียนเอาไว้ว่า

“ความรู้คือยาพิษ ความคิดคือกับดัก…

“อย่าจับหนังสือไม่ว่าจะเป็นเล่มไหน…

“อย่าซ้ำรอยความผิดพลาดของโลกเก่า…”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท