รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 140 ส่งรายงาน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 140 ส่งรายงาน

“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงแสดงสีหน้าว่าไม่เข้าใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแค่ยิ้มให้ ไม่ได้ตอบออกมาตรงๆ

“หลังจากฝากข้อความให้เฉินซวี่เฟิงแล้วฉันจะไปที่สมาคมนักล่า เพื่อไปแจ้งว่าหลินเฟยเฟยเป็นผู้ช่วยของมือปืน”

เมื่อได้ยินเข้า หลงเยว่หงก็ตกใจ

“แบบนี้ทุกคนก็รู้กันหมดน่ะสิ

“เราเองก็จะไม่มีอะไรได้เปรียบคนอื่นอีก…”

นี่เป็นเพราะว่าพวกเขามีข้อมูลนี้อยู่ จึงทำให้นำหน้าพวกนักล่าซากอารยะคนอื่นๆ สามารถใช้เวลาเพียงไม่นานก็ค้นพบได้ว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวพันถึงองค์กรที่พยายามเผยแพร่แนวคิดว่าความรู้นั้นเป็นยาพิษ

หลงเยว่หงเงียบไปชั่วครู่แล้วพูดเสริม

“นี่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น จนทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดตามมาหรือเปล่า”

เดิมทีแล้วนี่ควรจะเป็นการสืบสวนแบบลับๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงจะเปิดเผยให้คนอื่นรู้กันหมดล่ะ

เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองดูซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉิน และพบว่าคนหนึ่งนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรพิสดารอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งผงกศีรษะอย่างครุ่นคิด เธอจึงยิ้มแล้วพูดขึ้น

“เรื่องนี้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำ มันก็ยังจะเกิดขึ้นอยู่ดีนั่นแหละ”

เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงยังคงสับสนงุนงงอยู่ เธอจึงอธิบายเพิ่ม

“เหลยอวิ๋นซงกับทีมเคยไปที่สมาคมนักล่าเพื่อพบกับคนระดับสูง ในระหว่างนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการติดต่อกับพนักงานของสมาคม

“ด้วยรูปลักษณ์และบุคลิกลักษณะของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงกับกลายเป็นจุดเด่นในทุกแห่งที่เหยียบย่างไป ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครเป็นพิเศษ ทว่าย่อมต้องมีบางคนที่จดจำพวกเขาได้อย่างแน่นอน

“และนอกจากนี้ เฉินซวี่เฟยยังให้คนช่วยตามหาร่องรอยของเหลยอวิ๋นซงกับทีมเขาในเมืองนี้ด้วย คนพวกนั้นต้องรู้แน่ว่าหลินเฟยเฟยเป็นพวกเดียวกับเหลยอวิ๋นซง แถมยังได้พบคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ตามหาอีกด้วย

“เมื่อเหลยอวิ๋นซงถูกพบเห็นและถูกวาดภาพออกมา อีกไม่นานก็น่าจะมีคนจำได้ว่าเขายังมีพรรคพวกอยู่อีก”

พอฟังถึงตรงนี้ ไป๋เฉินก็พูดแทรก

“สมาคมนักล่าน่าจะสแกนภาพวาดมือปืนลงไปในคอมพิวเตอร์เพื่อเปรียบเทียบกับหน้าตาของนักล่าที่มีอยู่ในระบบว่าตรงกับใครบ้างหรือเปล่า

“นี่เป็นวิธีการปกติของพวกเขา”

ทั้งเหลยอวิ๋นซงและลูกทีมต่างก็มีตัวตนอยู่ในสมาคมนักล่า

ครั้นเห็นว่าในที่สุดหลงเยว่หงก็เข้าใจกระจ่าง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดเจือรอยยิ้ม

“ในเมื่อเรื่องนี้อีกไม่ช้าก็เร็วก็จะรู้กันทั่วอยู่แล้ว และอย่างมากก็ไม่น่าจะเกินวันนี้ด้วย งั้นทำไมเราถึงจะไม่รายงานไปล่ะ แถมยังได้เงินมาใช้ด้วย”

หลงเยว่หงพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่

แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่วินาที เขาก็พูดอย่างลังเล

“รู้สึกแปลกๆ แฮะ เหมือนขายเพื่อนเลย…”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะพลางส่ายหน้า

“นี่เขาเรียกว่าใช้ประโยชน์อย่างชอบธรรมต่างหาก

“บนแดนธุลีนั้นไม่มีคุณธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์หรอก ในบางเรื่องนั้นขอเพียงแค่ยังมีมโนธรรมขั้นต่ำอยู่บ้างก็พอ อ้อ… แต่ยังไงก็ต้องยึดมั่นในหลักการเอาไว้ให้ดี”

จากนั้นเธอก็ถอนหายใจแล้วพูดเสริม

“กระดาษไม่อาจห่อไฟ ช้างตายไม่อาจใช้ใบบัวปิด ดังนั้นจึงควรรีบเปิดเผยข้อมูลเพื่อใช้จำนวนของพวกนักล่ามาช่วยตามหาเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ ให้เร็วที่สุด เพื่อช่วงชิงเวลา แข่งกับอันตรายที่ซ่อนอยู่

“เมื่อมีคนเห็นตัวมือปืนแล้ว คนพวกนั้นก็น่าจะเตรียมใจเผื่อไว้บ้างแล้วล่ะ คงจะไม่ทำอะไรเกินเหตุหรอก”

“นั่นก็จริง…” สุดท้ายหลงเยว่หงถูกกล่อมสำเร็จ

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“ยังมีอีก เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ…

“นักล่าพวกนั้นเป็นแรงงานได้เปล่า พวกเราไม่ต้องจ่ายค่าแรงให้แม้แต่แคสเดียว”

คนที่ต้องจ่ายเงินรางวัลก็คือกองกำลังป้องกันเมืองหญ้าไพร!

ถึงแม้ว่าประเด็นของซางเจี้ยนเย่านั้นจะเบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์หลัก แต่ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็ผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

ใครบ้างที่ไม่ชอบคนทำงานให้ฟรีๆ

“พวกเราเองก็เหลือเสบียงกันอีกไม่มากแล้ว ไม่รู้ว่ายังต้องอยู่ในเมืองหญ้าไพรกันไปอีกนานแค่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูทุกคนแล้วพูดต่อ “ถือโอกาสนี้หาเงินเลี้ยงชีพไปด้วยเลย”

พูดจบเธอก็ออกคำสั่ง

“แยกย้ายไปทำงานได้”

* * * * *

หลงเยว่หงและไป๋เฉินกลับมาที่ถนนใต้ เดินวนเวียนอยู่แถวตรอกแพรแดงเพื่อคอยสอดส่องพวกนักล่า

คนที่เพิ่งรับภารกิจมาก็กลับมาสำรวจที่เกิดเหตุกันอีกครั้ง คนที่เคยสอบถามพยานไปแล้วก็ถือภาพวาดสองภาพไปไล่ถามไถ่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง หวังว่าจะได้พบเจอพยานคนใหม่

เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนหลังคา ก็เห็นว่ามีสองสามคนที่พบเบาะแสร่องรอยแล้วเข้ามาในตรอกแพรแดง จากนั้นก็ไล่ถามไปที่ละร้านว่าเห็นคนที่น่าสงสัยกันบ้างหรือไม่…

หลังจากที่หลงเยว่หงกวาดสายตาไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าภายใน ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’ ที่อยู่ปากตรอกนั้น เถ้าแก่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินกำลังนั่งสัปหงกอยู่

ภายในร้านมีชายสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำเนื้อผ้าหนากำลังหยิบเสื้อผ้าเก่า

ชายผู้นี้อายุราวสามสิบปี ผมสีดำตาสีฟ้า จมูกโด่งเป็นพิเศษ ราวกับเป็นลูกครึ่ง

“มีการค้ามาถึงร้านยังจะนอนอยู่อีก… ตื่นเช้าไปหรือไงเนี่ย” หลงเยว่หงเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ

ในเวลานี้ชายผู้นั้นหยิบเสื้อผ้ามาแล้วเดินไปที่โต๊ะเก็บเงิน เขย่าตัวเถ้าแก่เพื่อปลุกเธอให้ตื่น

จนกระทั่งพวกเขาทำการค้ากันเสร็จแล้ว หลงเยว่หงจึงได้เลิกมอง เปลี่ยนไปดูบริเวณอื่นแทน

* * * * *

บนม้านั่งไม้ที่ตั้งอยู่ริมจัตุรัสกลาง

เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบปากกาหมึกซึมออกมาแล้วใช้ตักตนเองต่างโต๊ะในขณะที่เขียนลงบนกระดาษ เนื้อหาในนั้นเขียนบอกเอาไว้ดังนี้

“มือปืนที่ยิงสังหารหลิวต้าจ้วงนั้นคาดว่าน่าจะเป็นเหลยอวิ๋นซง

“จากข้อมูลนี้ ทำให้เราตามหาคนที่น่าจะเป็นหลินเฟยเฟยภายในตรอกแพรแดง จนกระทั่งพบที่อยู่เธอ แต่เธอได้ย้ายออกไปแล้ว

“ดูเหมือนเธอเข้าร่วมกับองค์กรที่เผยแพร่ความเชื่อที่ว่าความรู้คือยาพิษ ช่วยรายงานเรื่องนี้ต่อบริษัทโดยด่วน และขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกลับมาด้วย

“เราจะส่งข้อมูลนี้ให้กับสมาคมนักล่าโดยอ้างว่าก่อนหน้านี้มีคนว่าจ้างพวกเราให้ตามหาพวกเขา และถ้าเป็นไปได้ เราอยากจะได้ชื่อของผู้ว่าจ้างที่ ‘เชื่อถือได้’ ที่ไม่มีอะไรพัวพันถึงคุณ แต่ถ้าไม่มี เราจะบอกไปว่าด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพจะไม่เปิดเผยเรื่องผู้ว่าจ้าง…”

หลังจากที่อธิบายประเด็นสำคัญอย่างรวบรัดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็วางปากกา พับกระดาษ แล้วยืนขึ้น

จากนั้นเธอก็พูดกับซางเจี้ยนเย่าที่กำลังสังเกตผู้คนสัญจรไปมาอย่างกระตือรือร้น

“เดี๋ยวฉันกลับมา”

“จะไปห้องสมุดเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นทันที

“เฮ้ อย่าเปิดโปงออกมาสิ ให้ฉันรักษาภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพไว้บ้าง” สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนแข็งทื่อไปชั่วขณะ

ถึงแม้เธอจะรู้ว่าข้ออ้างก่อนหน้านี้ที่ไปห้องสมุดและความสนใจเกี่ยวกับการวางเพลิงห้องสมุดนั้นยากที่จะปิดบังซางเจี้ยนเย่าซึ่งติดตามเธออยู่ตลอดไว้ได้ ทว่าเธอก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เขาพูดออกมาตรงๆ

ซางเจี้ยนเย่าหุบปากลงทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นมารูดซิปปาก

เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มแล้วเดินล้วงกระเป๋าตรงไปยังห้องสมุดสาธารณะประจำเมืองหญ้าไพรด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไม่เร็ว จากนั้นก็ดึงหนังสือ ‘ประมวลกฎหมายรายได้ในประเทศ’ ออกมาจากมุมเดิมที่คุ้นเคย

ในครั้งนี้กระดาษหน้าแรกของหนังสือถูกพับไว้

เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกหนังสือขึ้นแล้วเขย่าสองสามครั้ง

มีแผ่นกระดาษที่พับไว้หล่นลงมา เธอคลี่ออกก็เห็นว่าเป็นคำเตือนของเฉินซวี่เฟิง

‘หลิวต้าจ้วงถูกยิงเสียชีวิต คาดว่าฆาตกรน่าจะเป็นเหลยอวิ๋นซง’

“เขารู้ข่าวเร็วมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเอง

จากนั้นก็สอดกระดาษของตัวเองเข้าไปในหนังสือแล้วคลี่หน้า 1 เปลี่ยนมาพับหน้า 650 แทน

เสร็จแล้วเธอก็ดันหนังสือ ‘ประมวลกฎหมายรายได้ในประเทศ’ กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมในชั้นวาง

ต่อจากนั้นก็ออกจากห้องสมุดทันที กลับมาหาซางเจี้ยนเย่า

“ไปสมาคมกัน”

หลังจากคิดชั่วครู่หนึ่งแล้วพูดเสริม

“ตอนนี้พูดได้แล้ว”

ซางเจี้ยนเย่ายิ้มกว้างทันที และรูด ‘ซิป’ เพื่อเปิดปาก

เมื่อเข้ามาถึงถนนตะวันตกและเข้าไปในสมาคมแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็กวาดตาไปทั่ว จากนั้นเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ริมสุด

ณ ขณะนี้ในห้องโถงมีนักล่าซากอารยะอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่หน้าอุปกรณ์ที่ให้เขาเปิดดูภารกิจและเครื่องที่กดรับภารกิจด้วยตัวเอง ไม่มีใครอยู่ที่เวทีกลมกลางห้อง ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่จำเป็นต้องไปต่อแถว เธอเดินตรงเข้าไปหาพนักงานหญิงที่ชื่อซูเสี่ยวม่าน

“ฉันมาอีกแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใส

น้ำเสียงและรอยยิ้มดังกล่าวย่อมทำให้ผู้ฟังรู้สึกสดชื่นเบิกบาน ซูเสี่ยวม่านจึงยิ้มกลับให้โดยอัตโนมัติทันที

“ครั้งนี้มีเรื่องอะไรเหรอ”

“ฉันมีเบาะแสใหม่ของภารกิจหลิวต้าจ้วง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดออกมาตามตรง

ซูเสี่ยวม่านโพล่งออกมาทันทีด้วยความงงงัน

“เร็วขนาดนี้เลย”

หลังจากปล่อยภารกิจออกมา นี่ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย!

“โชคดีน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเจือรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้เราเคยรับงานตามหาคน ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นนักล่าของสมาคม หนึ่งในคนที่พวกเราตามหานั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้ายกับมือปืน”

ขณะที่พูดเธอก็ยื่นรูปถ่ายเหลยอวิ๋นซงไปที่หน้าต่างเคาน์เตอร์

“ทำไมดูเหมือนรูปภาพประจำตัวของสมาคมเลยล่ะ” ซูเสี่ยวม่านรู้สึกว่าภาพนี้น่าจะถูกถ่ายตอนที่เขาลงทะเบียนเป็นนักล่าซากอารยะของสมาคม

เธอรีบเปิดภารกิจหลิวต้าจ้วงขึ้นมาดูทันที เปรียบเทียบภาพวาดของมือปืนกับภาพถ่ายที่อยู่ในมือ

“คล้ายกันมาก!” ซูเสี่ยวม่านเงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนดันภาพถ่ายอีกสี่ภาพที่เหลือเข้าไป พร้อมกับกดเสียงพูด

“พวกนี้คือคนที่เหลือที่พวกเราตามหากันในตอนนั้น

“เราเพิ่งจะไปถามหาคนคนนี้มา พบว่าเธอปรากฏตัวอยู่ในละแวกที่หลิวต้าจ้วงถูกยิง อยู่ในตรอกแพรแดง”

เธอใช้นิ้วเคาะที่รูปของหลินเฟยเฟย

ในระหว่างที่พูดนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนควบคุมระดับเสียงตนเองได้ไม่ดีนัก บรรดานักล่าซากอารยะที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็หันมามอง และรู้ว่าเธอได้พบเบาะแสที่มีประโยชน์

นี่ทำให้พวกเขาพากันอิจฉาตาร้อนและเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวังว่าเบาะแสใหม่นี้จะพาพวกเขาไปในทิศทางที่ถูกต้องและได้ส่วนแบ่งน้ำแกงชามนี้ไปบ้าง

ซูเสี่ยวม่านรีบเก็บรูปถ่ายไปทันที ไม่มัวพิรี้พิไรต่ออีก

“ฉันจะรีบรายงานเดี๋ยวนี้

“ขอตรานักล่าของคุณกับเพื่อนด้วย”

เธอเจตนาบังรูปภาพเอาไว้ไม่ให้คนอื่นเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครฉวยโอกาสจับปลาตอนน้ำขุ่น

หลังจากส่งเบาะแสไปแล้ว ซูเสี่ยวม่านก็ถอนใจโล่งอกแล้วเงยหน้ามองเจี่ยงไป๋เหมียน

“ต่อไปก็รอให้ตรวจสอบว่าเบาะแสนั้นถูกต้องไหม หรือว่ามีการส่งซ้ำหรือเปล่า ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่

“แต่ว่านี่เป็นภารกิจฉุกเฉิน น่าจะใช้เวลาไม่นาน อีกเดี๋ยวก็น่าจะได้รับคำตอบมาแล้วล่ะ จากนั้นก็จะรู้ว่าพวกคุณจะได้รับค่าตอบแทนกี่ออเรย์”

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร พวกเรารอได้”

เมื่อรับตรานักล่าของตัวเองกับซางเจี้ยนเย่ากลับมาแล้ว เธอก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้ม

“เสร็จแล้วก็ขอรูปคืนด้วยนะ ฉันยังต้องใช้สำหรับเอาไปสอบถามคนอื่นต่ออีก”

“ไม่มีปัญหา” ตอนนี้ซูเสี่ยวม่านรู้แล้วว่าภาพถ่ายพวกนี้มาจากสมาคมจริงๆ ดังนั้นจะพิมพ์ซ้ำออกมาใหม่อีกเท่าไหร่ก็ได้

แล้วเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปหาที่นั่งริมห้องโถง รอการประกาศเบาะแสใหม่

ผ่านไปสิบกว่านาที จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินมาที่เบื้องหน้าพวกเขา

คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำเนื้อผ้าหนา มีผมดำตาสีฟ้า จมูกโด่ง เขาเป็น ‘นักล่าชั้นสูง’ ที่ก่อนหน้านี้ได้รับความเคารพจากพนักงานสมาคมนั่นเอง

เมื่อเขาเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่ามองตนเองเป็นตาเดียว ก็พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ที่ห้องของผู้หญิงคนนั้น พวกคุณเจออะไรบ้าง”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท