รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 141 นักล่าทางการ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 141 นักล่าทางการ

เจี่ยงไป๋เหมียนมอง ‘นักล่าชั้นสูง’ ที่ยืนอยู่ต่อหน้าตน แล้วยกมือขึ้นมาแตะหู

“เอ่อ… คุณว่าไงนะ”

ถ้อยคำที่ ‘นักล่าชั้นสูง’ ผู้นี้เตรียมไว้ พลันติดอยู่ในลำคอทันที

ซางเจี้ยนเย่าจึงเอี้ยวตัวไปด้านข้างแล้วช่วย ‘แปล’

“เขาถามว่าเราเจออะไรในห้องผู้หญิงคนนั้นบ้าง”

เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงท่าทางว่าเข้าใจแล้ว ตอบมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“เบาะแสที่พวกเราพบ ได้แจ้งไปทางสมาคมแล้วล่ะ

“เดี๋ยวไว้รอพวกเขาตรวจสอบเสร็จและประกาศออกมา คุณก็รู้เองแหละว่ามีอะไรบ้าง”

‘นักล่าชั้นสูง’ ผู้มีผมสีดำตาสีฟ้ามองดูพวกเขาอย่างเก็บอารมณ์ ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก จากนั้นก็หมุนกายเตรียมผละจากไป

“ไม่มีมารยาทจริงๆ” ในตอนนี้ จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น

“ไม่มีมารยาทตรงไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนช่วยเป็นลูกคู่ถามออกมา

“จะถามอะไรใครเขา ก็ควรต้องแนะนำตัวเองก่อนไม่ใช่หรือไง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

พูดเหมือนกับว่าเขาไม่กลัวที่จะถูกอีกฝ่ายลากออกมาทุบตีแม้แต่น้อย

‘นักล่าชั้นสูง’ ชะงักเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมา เขาพูดด้วยอารมณ์บึ้งตึง

“โอดิค”

“ภาษาแดนธุลีของเขาใช้ได้ทีเดียว” ซางเจี้ยนเย่าพูดเรื่องอื่นกับเจี่ยงไป๋เหมียนต่อ

เจี่ยงไปเหมียนรับคำ “อืม”

“เขาดูเหมือนเป็นลูกครึ่ง บางทีอาจจะใช้ภาษาแดนธุลีเป็นภาษาแม่”

โอดิคซึ่งหันหลังให้พวกเขาอยู่นั้นนิ่งเงียบไปสองสามวินาที ในที่สุดก็เดินจากไป

เมื่อ ‘นักล่าชั้นสูง’ ผู้นี้เดินออกไปจากบริเวณที่นั่งของห้องโถงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันหัวเราะออกมาเบาๆ

“ปากนายนี่เก่งในการเยาะเย้ยถากถางไม่เบาเลยนะ

“ฮ่า ฮ่า เวลาที่นายไปถามคำถามคนอื่น ก็ไม่เห็นจะแนะนำตัวเองเลยนี่”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“เป็นพี่เป็นน้องก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวกันหรอก”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้จะแย้งยังไง

จากนั้นเธอก็แกล้งทำเป็นว่าไม่เคยคุยเรื่องนี้กับซางเจี้ยนเย่ามาก่อน แล้วก็ขยับแข้งขยับขาด้วยความเบื่อหน่าย รอให้ผลการตรวจสอบออกมา

แต่แล้วจู่ๆ เธอก็แหงนหน้ามองเพดานทันที

จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็พูดด้วยความสงสัย

“ข้างบนมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินผ่านไป…

“มีคนหนึ่งในกลุ่ม มีรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าไม่เหมือนมนุษย์ แล้วก็ไม่เหมือนสัตว์ด้วย… เป็นหุ่นจักรกลงั้นเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าเองก็เงยหน้ามองเพดานด้วยเช่นกัน

“ทั้งหมดเป็นจิตสำนึกของมนุษย์”

เจี่ยงไป๋เหมียนหันขวับไปมองซางเจี้ยนเย่าโดยพลัน

“เป็นมนุษย์ทั้งหมด…”

“จากระยะนี้ผมสามารถทำให้พวกเขาทุกคนกลายเป็นคนไร้เหตุผลได้” ซางเจี้ยนเย่าตอบ

เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจได้ไม่ยากว่าเขาหมายถึงอะไร เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย

“จิตสำนึกของมนุษย์… สัญญาณไฟฟ้าที่ไม่ใช่มนุษย์…”

เมื่อรวมคำอธิบายทั้งสองประการนี้เข้าด้วยกัน ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่คำตอบเดียวเท่านั้น

‘นิรันดร์กาล’ !

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า… หลวงจีนจักรกลแห่งชุมนุมหลวงจีน!

“หรือว่าจะเป็นสหายเก่า” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเองตอบเอง “ไม่ใช่… เป็นไปไม่ได้… สภาพแวดล้อมแบบนี้ จิ้งฝ่าคงคลั่งไปนานแล้วล่ะ”

เพราะในสมาคมนักล่านั้นมีพนักงานหญิงอยู่จำนวนมาก

“ขึ้นไปถามดูสิ” ซางเจี้ยนเย่าเสนอ

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขา คร้านจะตอบคำ

เธอร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นหลวงจีนจักรกล

“ไม่ใช่ ‘นิรันดร์กาล’ ทุกคนในตอนนั้นจะมานับถือและเข้าร่วมนิกายสักหน่อย ยังมียกเว้นอยู่บ้าง…”

ในขณะนี้กลุ่มคนที่อยู่ชั้นบนได้ออกนอกรัศมีการตรวจจับของเธอแล้ว

เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเลิกพูดคุยสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

เธอนั่งสังเกตบรรดานักล่าซากอารยะที่เข้าๆ ออกๆ และได้ข้อสรุปเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขาบางประการ

หลังจากนั้นอีกสิบนาทีต่อมา ก็มีเสียงดังออกมาจากลำโพงทุกตัวที่อยู่ในห้องโถง

“นักล่าที่ส่งเบาะแสของภารกิจหลิวต้าจ้วง กรุณามาที่เคาน์เตอร์ 11 ของเจ้าหน้าที่ซูเสี่ยวม่านเพื่อรับเงินรางวัล”

เจี่ยงไป๋เหมียนลุกขึ้นยืนพลางหยิบตรานักล่าออกมา จากนั้นก็รีบเดินไปที่เวทีกลม

“ได้เงินเท่าไหร่เหรอ” เธอถามซูเสี่ยวม่านอย่างยิ้มแย้ม

ซูเสี่ยวม่านยิ้มตอบ

“100 ออเรย์

“และสมาชิกในทีมทั้งคู่ยังได้รับแต้มนักล่าอีก 100 แต้มด้วย

“ยินดีด้วย ตอนนี้คุณเป็น ‘นักล่าทางการ’ แล้ว!”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มของตน

“ยังนับว่าไม่เลว”

สำหรับพวกเขาทั้งสี่คนนั้น เพียงแค่ค่าอาหารในแต่ละวันก็ต้องใช้ราว 4 ออเรย์ ถ้ารวมค่าที่พักด้วยก็ต้องใช้วันละ 5 ออเรย์ ดังนั้นเงินจำนวน 100 ออเรย์จะทำให้พวกเขาอยู่ได้ร่วมสามสัปดาห์

หลังจากยื่นตรานักล่าและรอให้เธอรูดป้ายตราเสร็จ ต่อแต่นี้ไปเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็ได้เป็น ‘นักล่าทางการ’ แล้ว

ต่อมาพวกเขาก็รับใบรับเงินกับป้ายตรานักล่าของตัวเองกลับคืนมาจากซูเสี่ยวม่าน แล้วเดินไปที่หน้าต่างเคาน์เตอร์การเงินซึ่งอยู่ด้านในของชั้นหนึ่ง รับเงินมาเป็นธนบัตรปึกหนึ่ง

เงินออเรย์นั้นเป็นสีเขียวเข้ม ใบที่มีมูลค่ามากสุดคือ 10 นอกจากนั้นก็ยังมีธนบัตรที่เป็นเลข 5 และเลข 1 ด้วย

เมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่รับภารกิจ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นว่าเบาะแสที่ส่งไปนั้นได้ถูกประกาศต่อสาธารณะแล้ว แม้แต่ชื่อของเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยก็มีเพิ่มเข้ามา

เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะถอนหายใจกับซางเจี้ยนเย่าก็พลันเห็นว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ คนนั้นเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง

โอดิคซึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำเนื้อผ้าหนา เดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้วถามขึ้น

“พวกคุณไม่พบอะไรในห้องผู้หญิงคนนั้นเลยเหรอ”

คราวนี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอีก เพราะอีกฝ่ายใช้เสียงค่อนข้างดัง

เธอยิ้มแล้วพูดขึ้น

“ว่ากันตามสามัญสำนึกของนักล่าซากอารยะแล้ว เบาะแสที่มีค่าก็ต้องมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกันไม่ใช่หรือไง”

จากนั้นเธอก็พูดเสริมอย่างยิ้มแย้มโดยไม่รอให้โอดิคตอบ

“ตอนนี้ฉันได้รับรางวัลมา 100 ออเรย์แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้จะรับค่าตอบแทนที่มีมูลค่าเทียบเท่ากันเท่านั้น”

โอดิคนิ่งเงียบไป ไม่พูดอะไร

“ดูท่าแล้วคุณคงยังคิดไม่ตกสินะ เอาไว้คิดได้เมื่อไหร่ค่อยมาหาพวกเราใหม่ก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนส่งยิ้มให้ในขณะที่เดินผ่านอีกฝ่ายไป

ซางเจี้ยนเย่ารีบติดตามเธอไป ทิ้งอาคารสมาคมนักล่าไว้เบื้องหลัง

จนกระทั่งเมื่อออกมาถึงถนนแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลียวหน้ากลับไปมองพลางครุ่นคิด

“ก่อนที่จะประกาศเบาะแสออกมา ‘นักล่าชั้นสูง’ คนนั้นก็รู้อยู่แล้วว่ามีหลินเฟยเฟย และยังยืนยันด้วยว่าพวกเราไปที่ห้องหลินเฟยเฟยมา…

“เขามีความสัมพันธ์อันดีกับคนระดับสูงของสมาคมนักล่าท้องถิ่น และรู้เบาะแสที่เรารายงานไปก่อนที่จะมีการประกาศออกมางั้นเหรอ

“ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าเราพูดถึงแค่ผู้ช่วยของมือปืนเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงการค้นหาหลังจากนั้นเลย…

“ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรมางั้นเหรอ หรือว่า… เขาพบเบาะแสอื่นเข้า ก็เลยทำให้เขายืนยันได้อย่างรวดเร็วว่ามือปืนมีผู้ช่วยเป็นผู้หญิง”

เมื่อพูดกับตัวเองจนถึงจุดนี้ เธอก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพบว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังมองเธออยู่เช่นกัน

“อะไรเหรอ” จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกว่าไม่น่าพลั้งปากถามออกไปเลย

ซางเจี้ยนเย่าถอนใจ

“สิ่งที่ผมอยากพูด คุณพูดไปหมดแล้ว”

“งั้นไว้คราวหน้าฉันจะเปิดโอกาสให้นายพูดก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบออกมาก่อนจะยิ้ม “ไม่เห็นนายถามเลยว่าทำไมฉันถึงไม่แจ้งสมาคมเรื่องที่พบใบปลิวในห้องหลินเฟยเฟย”

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างแปลกใจ

“ผมไม่ใช่หลงเยว่หงสักหน่อย”

“…ไหนนายเคยบอกว่าไม่ควรนินทาเพื่อนลับหลังไงล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งอึ้งไปในตอนแรก จนกระทั่งเดินมาถึงจัตุรัสกลางจึงได้ถามใบหน้าเจือรอยยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“ผมก็แค่อธิบายพฤติกรรมตามปกติของเขาตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง”

“เฮ้อ… หลังจากปรับปรุงพันธุกรรมแล้วฉันก็ยังสูงแค่ 175 เท่านั้นเอง…” เมื่อได้ยินแบบนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ช่วยเสริมให้เป็นลูกคู่

พูดได้ครึ่งเดียวเธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เพียงไม่นานพวกเขาก็กลับมาถึงถนนใต้เพื่อรวมตัวกับไป๋เฉินและหลงเยว่หง

หลังจากสบตากัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินนำพวกเขาไปยังตรอกตรงข้ามตลาดค้าทาส ไปพบกันที่มุมสงบไร้ผู้คน

จากนั้นเธอก็ล้วงธนบัตรปึกหนึ่งออกมาให้ดู

“100 ออเรย์!”

“มีเงินกันแล้ว” หลงเยว่หงรู้สึกยินดีเป็นอย่างอย่างมาก

“นอกจากนี้ ซางเจี้ยนเย่ากับฉันก็ได้แต้มนักล่ามากันคนละ 100 แต้มด้วย กลายเป็น ‘นักล่าทางการ’ กันแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเสริมอย่างยิ้มแย้ม

หลงเยว่หงพูดด้วยความผิดหวัง

“เหลือแต่ผมที่ยังเป็นนักล่ามือใหม่”

“รอบต่อไปเป็นนายกับไป๋เฉินไปแจ้งเบาะแส” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มและปลอบใจเขา

แล้วเธอก็อธิบายว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ตนเองที่แจ้งไป

เมื่อฟังจนจบ หลงเยว่หงก็รู้สึกติดใจสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

“หัวหน้า ทำไมถึงไม่รายงานเรื่องใบปลิวไปด้วยล่ะ จะได้ระดมพลพวกนักล่าให้ไปค้นหาองค์กรพวกนั้นกันให้เร็วที่สุด”

“อย่างที่คิดไว้เป๊ะ…” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดอะไรที่ฟังดูลึกลับออกมาหนึ่งประโยค

เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ มองดูหลงเยว่หงที่ยังงุนงง จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมา

จากนั้นเธอก็อธิบายให้ฟัง

“เรายังไม่แน่ใจว่าหลินเฟยเฟยเจตนาทิ้งใบปลิวเอาไว้หรือเปล่า

“และถ้าเป็นการทำโดยเจตนา ก็ยังแยกออกเป็นสองสถานการณ์อีก ประการแรกคือต้องการเบี่ยงเบนการสืบสวนหลังจากนี้ให้ไขว้เขว และประการที่สองก็คือต้องการทิ้งเบาะแสเอาไว้เพื่อขอความช่วยเหลือ

“หากว่าเป็นอย่างหลัง ถ้าข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปเมื่อไหร่ นี่จะกลายเป็นอันตรายต่อหลินเฟยเฟย”

“อย่างนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงถอนหายใจด้วยความสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับความคิดอย่างละเอียดรอบคอบของหัวหน้าทีมอีกครั้ง

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ

“รอไว้บริษัทตอบโทรเลขกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราก็จะมีข้อมูลมากขึ้น พอรวมกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ก็จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ที่แน่ชัดขององค์กรพวกนั้น จากนั้นก็ค่อยพิจารณากันอีกทีว่าจะรายงานเบาะแสนี้หรือไม่”

“ครับ ครับ” หลงเยว่หงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไป๋เฉินแล้วขบคิดชั่วครู่

“พวกเธอเจออะไรกันบ้างไหม

“ตอนพวกเราอยู่ที่สมาคมน่ะ มี ‘นักล่าชั้นสูง’ คนหนึ่งมาถามเราโดยตรงเลยว่าได้พบอะไรในห้องหลินเฟยเฟยบ้างหรือเปล่า…”

ในตอนที่เล่าเรื่องนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็อธิบายลักษณะของโอดิคให้ฟังด้วย เพื่อให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินคอยจับตาคนผู้นี้ในภายหลัง

เมื่อหลงเยว่หงได้ยินก็แปลกใจขึ้นมา

“ผมเคยเห็นเขา!

“เขาซื้อเสื้อผ้าใน ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’ ที่ตรอกแพรแดง”

ซางเจี้ยนเย่ารีบถามทันที

“ตอนนั้นมีอะไรผิดปกติบ้าง”

“ไม่มีอะไรผิดปกตินะ…” หลงเยว่หงนึกทบทวนแล้วเล่าออกมา “ก็มีแค่ว่าเถ้าแก่ร้านนั้นหลับสัปหงกอยู่ แล้วเขาก็มาปลุก”

“หลับในตอนที่มีลูกค้ามาเนี่ยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนทวนรายละเอียดด้วยน้ำเสียงกังขา

“ผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่เหมือนกัน แต่ไม่แน่ว่าเมื่อคืนเถ้าแก่ร้านอาจจะนอนไม่พอก็ได้” หลงเยว่หงพูดในสิ่งที่คิดออกมา

“และนอกจากนั้น คนคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เขายังปลุกเถ้าแก่ขึ้นมาแล้วจ่ายค่าเสื้อผ้าให้เธอด้วย”

เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งใจฟังแล้วก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“เอาไว้ให้นายลองไปถามเถ้าแก่คนนั้นดู

“ถ้าหากว่าเมื่อคืนเธอนอนหลับเต็มอิ่ม แต่อยู่ๆ ก็เกิดง่วงขึ้นมาจนฝืนไม่ไหว งั้นเรื่องนี้ก็มีอะไรแฝงแล้วล่ะ”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็กวาดตามองทุกคนหนึ่งรอบแล้วพูดเจือรอยยิ้ม

“ฉันสงสัยว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ ที่ชื่อโอดิคอะไรนั่น อาจจะเป็นผู้ตื่นรู้ มีพลังพิเศษที่คล้ายกับแมวหลับใหลและม้าฝันร้าย”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท