รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 150 ผลกระทบสองชั้น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 150 ผลกระทบสองชั้น

ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“แล้วต้องทำไงถึงทำให้โอดิคเป็นคนรับผิดชอบการสอบปากคำไป๋เฉินได้ล่ะ”

ภายในห้องอันมืดมิดนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองลงไปในตรอกอันเงียบสงัด เธอพูดด้วยรอยยิ้ม

“เราจำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเสียก่อน

“ลองคิดดูสิ เสี่ยวไป๋น่ะ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างลักษณะ หรือแม้แต่อาวุธที่ชำนาญ ไม่มีอะไรเหมือนคนร้ายนั่นแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแค่นักล่าซอมซ่อที่ไม่มีภูมิหลังอะไรเลย ดูยังไงก็ไม่มีที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังใหญ่ได้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เธอย่อมต้องอยู่ในลำดับท้ายๆ ของรายชื่อผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน

“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นอกจากความเกลียดชังที่มีต่อยูจีนกับการได้เจอหน้ากันก่อนเกิดเรื่อง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยอีก

“การสอบปากคำไปตามขั้นตอนน่ะ ไม่ค่อยสนใจคนพวกนี้นักหรอก ตอนนี้พวกเรารอไปก่อน รอให้กองกำลังป้องกันเมืองและตัวแทนของทีมยูจีนแยกย้ายกันไปตรวจสอบบุคคลและกองกำลังที่น่าสังสัยที่อยู่ในรายชื่อระดับบนให้หมดก่อน

“จากนั้นเราก็ค่อยให้เสี่ยวไป๋ไปที่สมาคมนักล่าเพื่อดำเนินการ ให้เธอไปรับภารกิจตามหาตัวเธอเองเพื่อช่วยเรื่องการสืบสวน เป็นการแสดงความเปิดเผยจริงใจ

“หลังจากนั้นเธอต้องย้ำไปว่าเชื่อถือเพียงแค่สมาคมนักล่าเท่านั้น และจะยอมรับการไต่สวนอยู่ภายในสมาคมโดยจะไม่ออกไปให้ปากคำที่อื่นเด็ดขาด

“ถ้าหากว่าเป็นที่อื่น คำขอนี้ไม่มีทางได้รับการอนุมัติแน่นอน ทว่าในเมืองหญ้าไพรนั้นต่างไป เพราะว่าสมาคมนักล่าของที่นี่กับคฤหาสน์เจ้าเมืองนั้นถูกควบรวมเข้าด้วยกันในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะไปสอบปากคำในสมาคมนักล่าหรือจะไปสอบปากคำที่กองบัญชาการของกองกำลังป้องกันเมืองก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย

“และในระหว่างนั้นเสี่ยวไป๋จะต้องสำทับไปด้วยว่าเธอต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ มีภารกิจที่ยังรอให้ต้องไปทำ มีเวลาอย่างจำกัด เพื่อเร่งให้สมาคมนักล่าเริ่มการสอบสวนและส่งคนมาสอบปากคำตัวเองโดยเร็วที่สุด

“ซึ่งเรื่องนี้ นักล่าซากอารยะทุกคนจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี

“ภายใต้สมมติฐานที่ว่าเสี่ยวไป๋ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยในระดับสูง และกองกำลังป้องกันเมืองกับทีมของยูจีนไม่อาจหาบุคคลที่เหมาะสมมาทำงานได้ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นทางสมาคมนักล่าก็จะคัดเลือกคนจากสายตรงของสมาคมหรือไม่ก็นักล่าที่ไว้ใจได้ที่มีทักษะในการสอบสวนและสอบปากคำ นี่เป็นเรื่องของความเหมาะสมด้านความเป็นเหตุเป็นผล”

ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วพยักหน้ารับ

“แต่นี่ก็ยังรับประกันไม่ได้อยู่ดีว่าทางสมาคมจะส่งโอดิคมารับผิดชอบเรื่องไป๋เฉิน”

ยอดฝีมือที่สามารถสะสมแต้มนักล่าจนไต่เต้าขึ้นมาเป็น ‘นักล่าชั้นสูง’ ได้นั้นล้วนแต่มีความน่าเชื่อถือและให้ความร่วมมือกับสมาคมนักล่าทั้งสิ้น

“แน่นอนว่าไม่อาจรับประกันได้ ฉันคงพูดได้แค่เพียงว่ามีโอกาสค่อนข้างสูง” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มอีกครั้ง “นายรู้สึกบ้างไหมว่าโอดิคค่อนข้างจะใช้พลังพิเศษอย่างพร่ำเพรื่อ คำว่าพร่ำเพรื่อนี่ไม่ได้หมายถึงว่าไปใช้พลังกับคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้หรอกนะ แต่หมายถึงว่าดูเหมือนเขาเคยชินที่จะใช้พลังพิเศษในการแก้ปัญหาทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และบางเรื่องก็สามารถใช้วิธีอื่นแก้ปัญหาได้…”

แต่พอพูดมาถึงตรงนี้เธอก็พลันพูดไม่ออก เนื่องจากนึกได้ว่าขั้นตอนที่เหลือนั้นจำต้องพึ่งพาพลังพิเศษของซางเจี้ยนเย่าเป็นอย่างมาก

แต่ในที่สุดเธอก็พบเหตุผลที่จะเกลี้ยกล่อมโน้วน้าวตัวเองได้ จึงพูดต่อ

“ตอนนั้นในตรอกแพรแดงมีนักล่าอยู่มาก ผู้คนสัญจรไปมาก็ไม่น้อย แต่โอดิคก็ยังกล้าทำให้เถ้าแก่ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’ นอนหลับเพราะต้องการได้รับภาพเหตุการณ์และเบาะแสที่เกี่ยวข้องโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะถูกเผยตัวแม้แต่น้อย นี่แสดงว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ มั่นใจในตัวเองมาก ไม่กลัวเหตุพลิกผัน

“คนประเภทนี้ถ้าหากว่าทำงานเรื่องอื่นๆ เสร็จหมดแล้ว เขาจะเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยุ่งเรื่องอื่นไหม จะยอมทิ้งโอกาสมีชื่อเสียงบันทึกลงในเกียรติประวัตินักล่าที่สามารถสืบเสาะจากเบาะแสเล็กน้อย เจาะทะลวงการป้องกันทางจิตใจของเป้าหมายเพื่อให้ได้รับคำตอบที่แท้จริงหรือเปล่า

“และคนที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ ย่อมเป็นคนแรกๆ ที่ทางสมาคมนักล่าจะพิจารณาเลือกให้มาเป็นผู้ช่วยสำหรับงานแบบนี้ใช่ไหมล่ะ

“เมื่อถึงตอนนั้น จะให้ดีก็ควรยืนยันให้ได้เสียก่อนว่าโอดิดอยู่ในห้องโถงของสมาคม แล้วค่อยให้เสี่ยวไป๋เข้าไป

“อืม… สมาคมนักล่าท้องถิ่นไม่น่าจะมีใครเก่งเรื่องนี้แล้วล่ะ ไม่งั้นคดีหลิวต้าจ้วงถูกยิงเสียชีวิตก็คงไม่ใช่โอดิคที่เป็นผู้นำหรอก”

นี่เป็นข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาหลังจากที่แบ่งทีมแยกย้ายออกกัน

ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย เขาพูดต่อ

“ปัญหาเดียวที่เหลือก็คือ พวกเราต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่าโอดิคเป็นผู้ตื่นรู้ที่มีพลังเกี่ยวข้องกับความฝันและการนอนหรือเปล่า”

“ดังนั้นพวกเราจึงต้องเตรียมการเอาไว้ทั้งสองทาง” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “ทางหนึ่งก็คือป้องกันพลังที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิตและทำเสน่ห์ อีกทางหนึ่งก็คือป้องกันอิทธิพลด้านความฝัน”

เมื่อพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ รีบเอ่ยปากถามขึ้นทันที

“‘ตัวตลกชักจูง’ ของนายสร้างผลกระทบหลายชั้นได้ไหม”

นี่ก็คือแก่นของปัญหา

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะตอบ

“ผมยังไม่เคยลอง ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วมันก็เป็นไปได้อยู่นะ แต่ผลของการชักจูงจะต้องไม่ขัดแย้งกันเอง”

“งั้นเอาไว้ค่อยมาทดสอบกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก

ซางเจี้ยนเย่าใคร่ครวญอีกครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาอีก

“แล้วถ้าเป็นพลังเกี่ยวกับความทรงจำล่ะ”

ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ประสบพบเจอมาแล้ว

“ถ้าเจอแบบนั้นก็คงหมดทางแล้วล่ะ เพราะนายควบคุมความทรงจำไม่ได้นี่นา” เจี่ยงไป๋เหมียนยักไหล่แบมือ “ถ้าเป็นกรณีนี้ มันก็คือการเข้าไปในความทรงจำที่แท้จริงของเสี่ยวไป๋ ผลจากอิทธิพลของ ‘ตัวตลกชักจูง’ จะถูกยกเลิกไป อืม… ถ้าเป็นแบบนั้นต้องให้เธอรีบขอความช่วยเหลือทันที พวกเราจะบุกเข้าไปพาตัวเธอกับเสี่ยวหงออกมา แล้วขับรถออกจากเมืองหญ้าไพร ดังนั้นต้องเอารถจี๊ปไปจอดให้ใกล้สมาคมนักล่าที่สุด เอาวัตถุปัจจัยทั้งหมดไปเก็บไว้ในรถเตรียมพร้อมไว้”

นี่เป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจะขอซางเจี้ยนเย่าไว้สองเรื่องเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับภารกิจอื่นในภายหลัง ทว่าเมื่อเริ่มลงมือจริง เธอก็ไม่ได้หยุดเขาไว้

เดิมทีนั้นเธอวางแผนว่าจะรวบรวมข้อมูลก่อนแล้วค่อยลงมือในอีกสองสามวันให้หลัง ซึ่งแบบนี้จะทำให้ความสงสัยในตัวไป๋เฉินลดน้อยลงไปอีก และยังสามารถสร้างเบาะแสปลอมของการโจมตีทิ้งเอาไว้ได้ด้วย โดยให้มุ่งเป้าไปหากองกำลังที่เป็นศัตรูของทีมของยูจีนแทน

แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าซางเจี้ยนเย่าจะลงมืออุกอาจขนาดนั้น

เธอจึงทำได้เพียงแต่คิดว่า อย่างมากก็แค่เปลี่ยนรถ ปลอมตัว แล้วค่อยกลับมาใหม่อีกครั้งในภายหลัง

ด้วยสภาพการณ์ของเมืองหญ้าไพรในขณะนี้ซึ่งมีทั้งปลามังกรคละรวมกัน นี่ไม่ได้เป็นเรื่องคิดเพ้อฝันเกินจริง

สรุปก็คือการช่วยไป๋เฉินระบายโทสะนั้นสำคัญยิ่งกว่าการปฏิบัติภารกิจให้เสร็จ!

ใช่ว่าในเมืองนี้จะไม่มีพนักงานคนอื่นให้ใช้งานเสียเมื่อไหร่ล่ะ และที่จริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต้องทำด้วย

สุดท้ายเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดสรุป

“เรื่องใดใดในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะรับประกันความสำเร็จได้ร้อยเปอร์เซนต์หรอก

“ที่สำคัญที่สุดก็คือการเตรียมตัวรับมือกับความล้มเหลวต่างหาก”

รอจนฟ้าเริ่มสางขึ้นบ้าง ไป๋เฉินก็มาเคาะประตูพลางแสดงความคิดของตนออกมา

“ฉันคิดว่าถ้าฉันกับหลงเยว่หงหายตัวไปสักช่วงหนึ่งน่าจะดีกว่านะ

“แบบนี้จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อหัวหน้าและซางเจี้ยนเย่า พวกคุณยังคงสืบหาสาเหตุการหายตัวไปของทีมเหลยอวิ๋นซงต่อได้”

อย่างมากพวกเขาก็แอบซ่อนตัวอยู่กับน้าหนานที่นี่สักหนึ่งถึงสองสัปดาห์ หรืออาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้

“วิธีนี้ฉันก็มีคิดเอาไว้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เรามีวิธีที่ดีกว่านั้นแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม

แล้วเธอก็เล่าแผนการของตนเองให้ฟังโดยไม่ได้ลงในรายละเอียดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ ‘ตัวตลกชักจูง’

ไป๋เฉินใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบรับ

“ลองดูสักหน่อยก็ได้”

หลงเยว่หงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

“แบบนี้มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า”

“ฉันคงบอกได้เพียงว่ามันมีความเสี่ยงอยู่บ้าง และก็ยังต้องเตรียมเรื่องพูดให้ตรงกันกับน้าหนานและคนอื่นๆ ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้บังคับ เพียงแค่มองไป๋เฉินแล้วพูดต่อ “ก็อยู่ที่เธอแล้วแหละว่าจะเลือกวิธีไหน เพียงอยากให้เธอรู้ไว้ว่าไม่ว่าจะใช้แผนไหนก็ตาม สำหรับฉันกับซางเจี้ยนเย่าแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ที่สำคัญที่สุดก็คือใจเธอต่างหากว่าอยากเลือกอะไร”

ไป๋เฉินใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะตอบ

“ในตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่า ‘การหายตัวไป’ ของยูจีนจะทำให้เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางไหน

“ถ้ามาถึงจุดที่ต้องปิดเมืองค้นบ้านแล้วล่ะก็ การหลบอยู่ที่นี่ก็อันตรายไม่แพ้กัน เมื่อเทียบกันแล้วก็ควรรีบจัดการเรื่องราวให้เร็วที่สุดดีกว่า ทำให้ตัวเองหลุดจากสถานะผู้ต้องสงสัย ไปเป็นผู้ชมคอยนั่งดูอย่างสบายใจ”

“ตกลง” ความคิดของหลงเยว่หงวิ่งพล่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด

เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เลว นับวันก็ยิ่งมีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ

“เอาล่ะ พวกเราออกกันไปก่อนเถอะ จะได้ไม่รบกวนการชักจูง”

เพียงพริบตาเดียวทั้งห้องก็เหลือเพียงแค่ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินสองคนเท่านั้น

“เริ่มได้เลย” ไป๋เฉินพูดอย่างสงบ

ซางเจี้ยนเย่ามีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากในขณะที่ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดำมืดขึ้น

“เธอดูสิ

“เมืองหญ้าไพรมีกลุ่มนักล่าซากอารยะที่เธอไม่รู้จักอยู่ตั้งเยอะแยะ

“ฉันกับเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เป็นนักล่าซากอารยะด้วยเหมือนกัน

“ดังนั้น…”

สายตาของไป๋เฉินค่อยๆ แปลกไปราวกับว่ากำลังสงสัยว่าทำไมตนเองถึงมาอยู่ในห้องนี้ได้

เธอมองดูซางเจี้ยนเย่าอย่างระแวง

“นายจะพูดอะไร”

ซางเจี้ยนเย่าเข้าสู่บทบาทที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เขาถามเจือรอยยิ้ม

“เท่าไหร่”

เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ไป๋เฉินก็เกร็งต้นขาแล้วหวดเท้าขวาออกไปทันที

ซางเจี้ยนเย่าราวกับกำลังเตรียมตัวรอรับสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว เขาฉากหลบไปด้านข้าง รอดพ้นจากการถูกเตะไปได้

“อย่าให้มีครั้งหน้าอีกนะ” ไป๋เฉินเตือน และเตรียมเปิดประตูเดินออกไป

แต่แล้วตอนนี้ซางเจี้ยเย่าก็รีบตะโกนออกมาหนึ่งคำ

“รอเดี๋ยว!”

ไป๋เฉินหันกลับมามองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไร ราวกับว่าถ้าเขาพูดผิดหูแม้แต่นิดเดียวก็คงชักปืนออกมายิงใส่ทันที

ซางเจี้ยนเย่านำกระดาษโน้ตออกมาแผ่นหนึ่งแล้วพับเป็นดาวกระดาษดวงเล็กๆ ภายใต้สายตาจับจ้องของไป๋เฉิน

จากนั้นดวงตาของเขาก็ดำมืดอีกครั้ง

“ฉันเป็นนักล่าซากอารยะ เธอเองก็เป็นนักล่าซากอารยะเหมือนกัน

“ฉันพักอยู่กับน้าหนาน เธอเองก็พักอยู่กับน้าหนานเช่นกัน

“ฉันมีดาวกระดาษอยู่ในกระเป๋า ดังนั้น…”

ในระหว่างที่พูดเขาก็ล้วงเอาตรานักล่าออกมาให้ดู และหย่อนดาวกระดาษใส่ลงไปในกระเป๋าตนเองต่อหน้าไป๋เฉิน

ในครั้งนี้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ของเขานั้นมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งก่อนที่จะนำไปสู่ผลลัพท์

ไป๋เฉินงุนงงไปชั่วขณะ พูดด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน

“ฉันก็มีดาวกระดาษอยู่ในกระเป๋าด้วยเหมือนกัน”

ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มออกมาทันที

“มันเป็นอุปกรณ์ประกอบที่สำคัญมาก ลึกลับมาก และเกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติ ตอนนี้ยังจับต้องไม่ได้ และสัมผัสมันไม่โดนด้วย…

“ถ้าเมื่อไหร่มีคนมาถามอะไร ก็ให้เธอคอยเอามือไปแตะมันทุกๆ นาที

“ถ้าหากว่าแตะแล้วโดนมันล่ะก็ นั่นแสดงว่าเธอกำลังอยู่ในความฝัน”

“พูดบ้าอะไรของนาย!” ไป๋เฉินเหลือบมองเขาด้วยความสงสัย สบถด่าเสร็จก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องของตนเองกับหลงเยว่หง

หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาทีหลงเยว่หงก็เดินมาที่ประตู ชะโงกหน้าเข้ามาถาม

“สำเร็จไหม”

ก่อนหน้านี้เขากับเจี่ยงไป๋เหมียนออกไปรอที่บันได

“ก็ถือว่าอย่างนั้นล่ะนะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างยิ้มแย้ม

ในเมื่อไป๋เฉินจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นสหายกัน ความทรงจำที่เกี่ยวข้องก็จะถูกซ่อนไว้ชั่วคราว รวมถึงเรื่องที่พวกเธอลงมือจัดการยูจีนด้วย

หากปรากฏข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับผลการชักจูงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นความทรงจำทั้งหมดก็จะกลับมา

หลงเยว่หงถอนใจอย่างแรง แล้วหันมาถาม

“ตาฉันแล้วใช่ไหม”

“นายไม่ต้องหรอก” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

หลงเยว่หงวิตกจริตขนาดหนักขึ้นมาทันที

“นายใช้พลังกับฉันมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม”

เขาจำได้ว่าเคยเกิดเหตุคล้ายกันนี้ตอนที่พวกเขารับมือกับเฉียวชู

“เลิกแกล้งเสี่ยวหงได้แล้ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตัดบททันทีแล้วอธิบายสถานการณ์ให้หลงเยว่หงฟังแบบกระชับ “ตอนนี้นายเป็นสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างพวกเรากับเสี่ยวไป๋ ถ้านายเกิดลืมทุกอย่าง งั้นเราจะทำให้เธอทำตามแผนได้ยังไงล่ะ เอาไว้พอแผนดำเนินไปจนเข้าที่เข้าทางเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นซางเจี้ยนเย่าจะหาโอกาสมาใช้พลังกับนายเองนั่นแหละ”

“เข้าใจแล้ว” ในที่สุดหลงเยว่หงก็กระจ่าง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท