รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 156 เบาะแสทั้งหมดมาบรรจบกัน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 156 เบาะแสทั้งหมดมาบรรจบกัน

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้

“ดูเหมือนนายจะมั่นใจเต็มร้อยเลยสินะ”

จากนั้นเธอก็เสริมอีก

“นี่เป็นสิ่งดีนะ อย่างน้อยเมื่อตอนที่พวกเราอับจนหมดหนทาง ท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจต่อสู้ นายก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจและทำให้พวกเราพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

“นี่แหละที่เรียกว่าการมองโลกในแง่ดีตามอุดมคติเลยล่ะ

“เอ๊ะ… นายเคยพูดอะไรทำนองนี้มาก่อนใช่ไหม”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ

“ผมไม่ได้ว่าอะไรที่คุณอ้างอิงคำพูดผมหรอก”

เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาแล้วเดินออกจากบันได

จากนั้นกวาดสายตามองดูโดยรอบพลางครุ่นคิด

“ในลานนี้อาจจะมีสาวกของ ‘นิกายทอนปัญญา’ อยู่ก็ได้ คนที่มาเตือนเจิงกว่างวั่งอาจจะซ่อนตัวอยู่แถวนี้เหมือนกัน”

หลินเฟยเฟยที่ถูก ‘ควบคุม’ อยู่นั้นพักอยู่ในบริเวณนี้ เจิงกว่างวั่งที่ถูกเตือนและเกือบจะผูกคอตายก็พักอยู่แถวนี้ หากว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ งั้นก็แสดงว่ามีพวกหูตาของ ‘นิกายทอนปัญญา’ อยู่ที่นี่กันไม่น้อย

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะเสนอ ‘คำแนะนำ’ ออกมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจเสียก่อน

“น่าเสียดายที่ไม่มีรูปถ่าย ไม่งั้นจะได้ไปถามพวกยามดู

“ถ้าจะให้ไปเคาะประตูถามทุกบ้านแบบนั้นมันก็กินแรงกินเวลามากไปหน่อย นี่ไม่ใช่เรื่องที่อาศัยแค่แรงของพวกเราแล้วจะทำได้สำเร็จ แถมยังอาจจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนเกิดเหตุไม่คาดฝันอีกด้วย”

ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าเป็นประกาย รีบพูดขึ้นมาทันที

“ผมวาดภาพจากคำบอกเล่าของเจิงกว่างได้นะ”

“ช่างมันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงภาพที่ซางเจี้ยนเย่าเคยวาด จึงปฏิเสธการเสนอตัวของเขาออกมาตรงๆ

เธอขบคิดก่อนจะพูดต่อ

“ไปหาโอดิคที่สมาคมนักล่าก่อนละกัน เขาอาจจะมีวิธีดึงภาพของคนคนนั้นออกมาจากความฝันของเจิงกว่างวั่งก็ได้”

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยท่าทีเศร้าสร้อย

คนทั้งคู่ออกมาจากประตูในตรอกเขาเหลืองแล้วเลี้ยวไปทางถนนใต้ จากนั้นก็เดินไปที่จัตุรัสกลาง

ขณะที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวไปทางถนนตะวันตก ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทิศทางข้างหน้า

ตูม!

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่ามีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติทันที คนหนึ่งม้วนตัวกลิ้งไปหลบอยู่หลังม้านั่ง ส่วนอีกคนหนึ่งพุ่งตัวลงไปกับพื้นแล้วแกล้งตาย

นี่ไม่ได้หมายความว่าวิธีนี้จะสามารถป้องกันกระสุนได้ แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้อยู่ในทัศนวิสัยของผู้ที่อาจจะมาโจมตี

หลังจากการระเบิดก็มีเสียงอึกทึกเสียงกรีดร้องดังมาจากจัตุรัสกลาง ตามด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นตามมา เจี่ยงไป๋เหมียนจึงออกมาจากที่กำบังแล้วมองไปยังจุดที่เกิดการระเบิด

นั่นคือห้องสมุดสาธารณะเมืองหญ้าไพร!

กระจกหน้าต่างของอาคารหลังนั้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีควันสีดำกับเปลวเพลิงสีแดงพวยพุ่งออกมาจากตัวอาคาร

หน่วยดับเพลิงซึ่งอยู่ออกไปไม่ไกลนักรีบกรูเข้าไปและใช้สารพัดวิธีเพื่อดับไฟให้ได้

ร่างโชกเลือดหลายร่างถูกทยอยนำออกมาคนแล้วคนเล่า บ้างก็ร้องครวญคราง บ้างก็ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าที่ลุกขึ้นมายืนเรียบร้อยแล้ว มีคำคำหนึ่งปรากฏขึ้นในใจเธอ

‘นิกายทอนปัญญา’ !

เธอละสายตาออกจากห้องสมุดซึ่งไม่ได้เสียหายร้ายแรงนัก กวาดสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบตามความคุ้นชิน

ทันใดนั้นสายตาของเธอก็ไปหยุด ณ ตำแหน่งหนึ่ง

ที่ทางแยกของถนนตะวันออกกับจัตุรัสกลางนั้น บรรดาผู้คนที่เห็น ‘สัญญาณเตือนภัย’ แล้วถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่นั่นต่างก็กำลังมองมา

ในกลุ่มคนเหล่านั้น มีชายสวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำยืนปะปนอยู่ริมด้านนอกด้วย

เขามีความสูงเกือบเท่าเจี่ยงไป๋เหมียน ล้วงสองมือไว้ในกระเป๋าเสื้อ ผมสั้นที่ยุ่งเล็กน้อย ใบหน้าซูบตอบและซีดเซียวผิดปกติราวกับว่าเพิ่งหายจากการป่วยหนักหรือไม่ก็ยังไม่ฟื้นไข้

ราวกับว่าเขารับรู้ถึงสายตาจ้องมองจากเจี่ยงไป๋เหมียนจึงหันหน้ามาดู

ดวงตาเขาเกือบจะดำสนิทดุจดั่งขุมนรกที่สามารถฝังกลบวิญญาณผู้คนเอาไว้

มุมปากชายผู้นั้นเผยอยกขึ้นเล็กน้อย ปรากฏเป็นรอยยิ้มที่ยากอธิบาย

แล้วเขาก็แทรกตัวกลืนเข้าไปในฝูงชนก่อนจะหายลับไปจากสายตาของเจี่ยงไป๋เหมียน

“นายเห็นไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งงันไปสองสามวินาทีก่อนจะหันไปถามซางเจี้ยนเย่า

“เห็น” แขนทั้งสองของซางเจี้ยนเย่าอยู่ในสภาวะเตรียมตั้งท่าออกวิ่ง ทว่าเท้าเขายังคงปักหลักอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมไม่ได้ขยับไปไหน

เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มออกมา

“ฉันยังคิดว่านายจะรีบพุ่งเข้าไปอัดเขาเสียอีก”

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“ตามไม่ทันน่ะ”

“ดีแล้วแหละ อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่านายรู้แล้วว่าเขาเป็นตัวอันตราย” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูห้องสมุดที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว เธอผ่อนลมหายใจช้าๆ “หวังว่าหนังสือข้างในคงจะเสียหายไม่มากนะ”

นี่เป็นความหวังของเด็กจำนวนมากในเมืองหญ้าไพร

ถ้าเพียงแค่อ่านออกเขียนได้ การมี ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ก็เพียงพอแล้ว แต่หากต้องการเรียนรู้ให้มากขึ้นก็จำเป็นต้องมีหนังสือ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจทำได้

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรให้มากความ เธอพาซางเจี้ยนเย่าไปที่ถนนตะวันตกแล้วเข้าไปในสมาคมนักล่า

ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าหากไม่เจอโอดิคที่ห้องโถงแล้วจะฝากข้อความไว้ให้เขาได้ยังไง ก็พลันพบว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ ผู้นี้ไม่รู้ว่ากำลังนั่งรอใครอยู่ที่ริมขอบของบริเวณที่นั่งซึ่งเธอกับซางเจี้ยนเย่ามักจะนั่งอยู่ประจำ

“พวกเราเจอเบาะแสใหม่” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้าไปหาและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมก็เหมือนกัน” โอดิคที่คลุมร่างด้วยเสื้อขนสัตว์ตัวหนาลุกขึ้นยืน

“คุณมารอพวกเรางั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะรู้ตัว

“ที่จริงน่าจะไปรอที่ประตูมากกว่านะ จะได้เห็นได้ง่ายๆ หน่อย” ซางเจี้ยนเย่าให้คำแนะนำอย่างกระตือรือร้นขึ้นทันที

โอดิคพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนโดยไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย

“ผมไปถามมาแล้วว่าคนระดับสูงของสมาคมคนไหนที่ได้พบกับเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ”

ถามมาแล้ว… น่าจะถามในความฝันมากกว่าซะล่ะมั้ง… เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน

“ใครเหรอ”

“ชุยเอิน รองประธานชุยเอินที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ในสมาคมน่ะ” โอดิคพูดพลางชี้นิ้วไปที่บันไดขึ้นชั้นสอง “ผมจะพาพวกคุณไปหาเขาเอง”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รีบร้อนเล่าเรื่องผู้ชายที่สวมเสื้อเทรนช์โค้ท เธอขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่าเพื่อให้เขาเตรียมตัว

จากนั้นทั้งหมดก็มุ่งหน้าขึ้นชั้นสองไปด้วยกันเพื่อไปพบกับรองประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น ชุยเอิน ซึ่งนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีเพียงโต๊ะยาวกับเก้าอี้สองสามตัว

ชุยเอินนั้นรูปร่างผอมสูง จมูกโต ถึงแม้ว่าจะมีผมหร็อมแหร็ม แต่ก็ยังคงเป็นสีดำอยู่

ซางเจี้ยนเย่ามองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น

“คุณเคยย้อมผมบ้างหรือเปล่า”

ชุยเอินอ้าปากค้าง ลืมคำพูดที่เตรียมไว้จนหมดสิ้น

ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเขาก็ยกมือเสยผมด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่เคย”

“อย่างนั้นเหรอ…” ซางเจี้ยนเย่ามีท่าทางเศร้าใจเล็กน้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าที่เขาเสียใจคงเป็นเพราะไม่สามารถแนะนำลูกค้าย้อมผมให้กับเฟอร์ลิน พี่น้องร่วมสาบานของเขา และยังเป็นหัวหน้าคาราวานการค้าอีกด้วย

โอดิคไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีก เขาพูดทำลายความเงียบอันกระอักกระอ่วนนี้

“ผมเพิ่งคุยกับประธานชุย เขาได้พบกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย รวมทั้งคนอื่นๆ เมื่อราวเดือนครึ่งที่ผ่านมา”

ชุยเอินไว้ใจโอดิคมาก ข้างกายจึงไม่มีผู้คุ้มกันแม้แต่คนเดียว เขาชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะยาว

“นั่งสิ”

หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่านั่งลงอย่างรวดเร็วแล้วชุยเอินก็ถอนหายใจ

“ที่จริงตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงเรื่องนี้หรอก เพราะไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เข้าไปพัวพันปัญหาที่ไม่จำเป็น แต่สุดท้ายโอดิคกลับเจอเรื่องนี้เข้าจนได้”

“น่าจะราวๆ เดือนครึ่งที่ผ่านมา” รองประธานผู้นี้ทบทวนความจำ “เช้าวันหนึ่ง ผู้ช่วยมาบอกผมว่ามีคนขอเข้าพบ ต้องการปรึกษาเรื่องภารกิจใหญ่ ตอนนั้นผมว่างอยู่และผู้ช่วยก็บอกว่าคนที่มา น่าจะมีกองกำลังหนุนหลังอยู่ ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยให้พวกเขาเข้าพบ

“จากนั้นผมก็ได้เจอกับเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ ในห้องทำงาน

“ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีภารกิจใหญ่อะไรหรอก จุดประสงค์ที่มาหาผมเพราะต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ น่ะ”

“สวรรค์จักรกล…” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจอยู่บ้าง

นี่เป็นกองกำลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งควบคุมเทคโนโลยีการผลิตหุ่นสมองกลและโรงงานต่างๆ มากมาย ตั้งอยู่ที่ตอนใต้สุดของชายฝั่งของเทือกเขาภูโบราณ

ตัวตนของที่แห่งนั้นค่อนข้างลึกลับ การทำการค้ากับโลกภายนอกจะจัดการผ่านกองทัพหุ่นจักรกล ไม่มีกองกำลังใดๆ สามารถล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตได้

‘ผานกู่ชีวภาพ’ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของเทือกเขาภูโบราณ

“ถูกต้อง” ชุยเอินตอบด้วยท่าทีสงสัย “ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงอยากรู้เกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ นัก แถมยังเสนอว่าจะจ่ายให้อย่างงามด้วย น่าเสียดายที่ผมเองไม่ได้ติดต่อกับ ‘สวรรค์จักรกล’ มากเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าพวกเครื่องมือเครื่องใช้ในห้องโถงมาจากที่นั่นทุกชิ้นก็เถอะ แต่ว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้ก็คือประธานสมาคมกับประธานท้องถิ่นต่างหาก ดังนั้นผมก็เลยบอกให้พวกเขาลองไปติดต่อที่ถนนเหนือเพื่อขอเข้าพบกับท่านประธานดู”

ประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่นก็คือเจ้ามืองสวี่ลี่เหยียน

“อย่างนี้นี่เอง…” ในที่สุดคำถามคาใจของเจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้รับคำตอบเสียที ว่าทำไมเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ ถึงเข้าไปในถนนเหนือ

ที่แท้เป็นเพราะพวกเขาไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองเพื่อขอเข้าพบสวี่ลี่เหยียน ซึ่งเป็นเจ้าเมืองและประธานสมาคมนักล่านั่นเอง

ชุยเอินยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีขาวที่วางอยู่เบื้องหน้าขึ้นมาจิบ

“จากนั้นผมก็ไม่เห็นพวกเขาอีกเลย แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือพวกเขากลับออกมาจากถนนเหนือหลังจากนั้น

“เพราะเกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นกับท่านประธาน ผมก็เลยกำชับผู้ช่วยและคนที่เกี่ยวข้องว่าอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้อีก ไม่รู้ว่าโอดิครู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

เห็นได้ชัดว่าชุยเอินนั้นค่อนข้างขัดเคืองอยู่บ้างที่จู่ๆ โอดิคเกิดรู้ความลับนี้เข้า

โอดิคผงกศีรษะเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าชุยเอินไม่ได้โกหก

เจี่ยงไป๋เหมียนมองชุยเอินแล้วยิ้มให้

“พวกเราพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้วค่ะ

“รบกวนคุณมากแล้วล่ะ ประธานชุย”

“ไม่เป็นไร ถ้าหากนี่สามารถช่วยเรื่องการสืบสวนการตายของหลิวต้าจ้วงได้ ผมจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” ชุยเอินลุกขึ้นยืนส่งเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ออกจากห้อง

เมื่อออกมาข้างนอกและเดินมาถึงบันไดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มมองตรงไปข้างหน้า

“สนใจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอีกครั้งไหม”

“สนสิ” โอดิคไม่ปฏิเสธ

เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“พวกเราเจอ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ คนหนึ่งที่ถูกคุกคามโดย ‘นิกายทอนปัญญา’”

เธอข้ามไปไม่พูดถึงที่มาที่ไป เริ่มเล่าให้ฟังเรื่องที่อยู่ของเจิงกว่างวั่งกับเรื่องที่เขาประสบพบเจอ และเน้นเรื่องที่ว่าหลังจากเกิดการระเบิดที่ห้องสมุด มีชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อเทรนช์โค้ทคล้ายกับลักษณะที่ได้ฟังจากปากคำของเขาปรากฏตัวอยู่ในฝูงชนด้วย

“ลักษณะแบบนี้…” สีหน้าของโอดิคค่อยๆ กลับกลายเป็นเคร่งขรึม “คล้ายกับ ‘บาทหลวง’ ที่เคยลงมือใน ‘ปฐมนคร’ เมื่อก่อนหน้านี้มาก”

ซางเจี้ยนเย่ามีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขาเพื่อปรามให้เขารู้จักสงวนท่าทีไว้บ้าง จากนั้นก็หันมาพูดกับโอดิคต่อ

“ตาคุณล่ะ”

โอดิคมองดูบันไดเบื้องหน้าก่อนจะนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

“ที่ผมมาเมืองหญ้าไพร ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะถูกเชิญมา

“ที่ผมตามสืบเรื่องการตายของหลิวต้าจ้วง ไม่ใช่เพราะคดีมาหล่นมาต่อหน้าต่อตา และไม่ได้เป็นเพราะเขาเป็นพ่อค้าข่าวด้วย”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ โอดิคก็เดินลงบันไดไปเหลือเพียงคำพูดทิ้งท้ายไว้

“แต่เป็นเพราะเขาทำงานลับๆ ให้เจ้าเมือง”

เมื่อได้ฟังดังนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกว่าเบาะแสทั้งหมดในสมองได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ราวกับว่าคำตอบนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท