รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 166 ความวุ่นวาย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 166 ความวุ่นวาย

หลังจากโอดิคขว้างระเบิดมือออกไปไม่นานก็ตกอยู่ในสภาพจามต่อเนื่องไม่หยุด หลังจากนั้นก็หมดสติไปในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติที่ถนนใต้ เพียงแค่พอสังเกตเห็นได้อย่างเลือนลางเท่านั้น

และด้วยสถานการณ์เร่งด่วนเมื่อครู่นี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาย่อมไม่สนใจข้อมูลอื่นนอกเหนือจากเรื่องของเจ้าเมืองสวี่ลี่เหยียน

โอดิคส่ายหน้า

“เดี๋ยวผมถามให้”

จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้งแล้วกดหมายเลขอื่น

เจี่ยงไป๋เหมียนฉวยโอกาสนี้รีบนั่งยองลงไปสำรวจค้นร่าง ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมเพื่อดูว่าพอจะหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้หรือไม่

เพียงไม่นานเธอก็หยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋าของ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอม

บนหน้ากระดาษเขียนทั้งตัวอักษรแดนธุลีและแม่น้ำแดง

“นี่คือใบอนุญาตผ่านทางที่เจ้าเมืองรับรองให้เป็นพิเศษ”

นอกจากข้อความนี้แล้ว บนหน้ากระดาษไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก อย่าว่าแต่ตราประทับเลย แม้แต่ลายเซ็นก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ

“เขาใช้ใบผ่านทางแบบนี้เข้าไปที่ถนนเหนืออย่างง่ายๆ เลยเนี่ยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยความรู้สึกขบขัน

“แต่ก็ทำได้จริงๆ ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าตาเป็นประกายราวกับว่าอยากจะลองหาเรื่องดู

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกอะไรบางอย่าง หันหน้ามาด่าเขาด้วยรอยยิ้ม

“อย่าพยายามเลย นายสะกดจิตไม่ได้สักหน่อย”

ถึงอยากจะทำ อย่างน้อยก็ต้องไปหาหัวไชเท้ามาแกะสลักปั๊มตราประทับลงไปสักหน่อยเถอะ

ถึงตอนนี้โอดิคก็วางสายแล้วหันมาพูดกับพวกเขา

“พวกคนเร่ร่อนที่นอกเมืองก่อจลาจล บุกเข้ามาในเมืองแล้ว ตอนนี้ทุกที่มีแต่ความวุ่นวาย”

“อย่างที่คิดเลย…” เจี่ยงไป๋เหมียนดึงวิทยุสื่อสารซึ่งเหน็บไว้ที่เข็มขัดขึ้นมา พยายามติดต่อไป๋เฉินและหลงเยว่หง

ทว่าไม่สามารถติดต่อได้

“อยู่นอกระยะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับโอดิค “พวกเราต้องกลับไปที่ถนนใต้ไปตามหาเพื่อนน่ะ ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างที่กำลังเกิดจลาจลอยู่”

โอดิคเข้าใจเป็นอย่างดี

“ขับรถผมไปเถอะ พาสองคนนี้ไปด้วย”

“ได้ แล้วจะคืนให้คุณได้ยังไงล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มัวเกรงอกเกรงใจอะไรให้เสียเวลาอีก

“ถ้าจลาจลจบเร็วก็ขับรถไปไว้ที่สมาคม แต่ถ้าไม่ งั้นก็ไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองละกัน ในรถมีใบผ่านทางพิเศษอยู่” โอดิคตอบสั้นๆ

ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรอีก พวกเขาแบกเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยขึ้นหลังแล้วรีบวิ่งตรงไปที่ประตูทางเข้าของโรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้กุญแจรถที่โอดิคส่งให้ไขเปิดประตู ขึ้นรถแล้วขับออกไป

ในเวลานี้ยามคฤหาสน์ที่ส่งมาพื้นที่นี้ก็เดินทางมาถึงแล้ว

เนื่องจากมีใบผ่านทางพิเศษ ทั้งคู่จึงผ่านวงล้อมออกมาได้อย่างไม่ยาก ออกจากถนนเหนือตรงเข้าไปยังจัตุรัสกลาง

เมื่อไปถึงที่นั่นก็ได้ยินเสียงปืนอย่างชัดเจน มันดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง มีศพจำนวนนับไม่ถ้วนทอดร่างอยู่เกลื่อนพื้น มีทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ผู้ชาย ผู้หญิง บ้างก็แต่งกายดี บ้างก็สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ บ้างก็เป็นซากศพไม่สมบูรณ์ บ้างก็เหมือนถูกบีบคอจนขาดใจตาย บางคนดูเหมือนยามเมือง บางคนถือปืนเหมือนนักล่าซากอารยะทั่วไป…

เลือดพวกเขาไหลนองเต็มท้องถนน ทำให้เห็นได้ว่าจำนวนกระสุนที่ถูกยิงออกมีมากมายเพียงไร

และก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ข้างถนนปากตรอก ในปากมีขนมปังข้าวโพดยัดอยู่เต็ม มองดูความวุ่นวายด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้เข้าไปร่วม แต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวาง

เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าต่างพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่

จากนั้นไม่กี่วินาทีเจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาอีกครั้ง พยายามติดต่อไป๋เฉินกับหลงเยว่หง

ครั้งนี้มีเสียงตอบรับดังขึ้น

“พวกเธออยู่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามรักษาความเยือกเย็นในน้ำเสียงเพื่อไม่ให้สมาชิกทีมเกิดความวิตกกังวล

เสียงไป๋เฉินดังออกมาพร้อมกับเสียงเอะอะหนวกหู

“พวกเรากำลังรีบไปที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ น่ะ

“ตอนที่คนเร่ร่อนบุกเข้ามา พวกเรายังอยู่ที่ถนนตะวันออกก็เลยรีบซ่อนตัว

“ตอนนี้พวกคนเร่ร่อนที่ก่อจลาจลที่บุกเข้ามาชุดแรกแยกย้ายกันไปหมดแล้ว คนไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่เดียวกันอีก เราก็เลยวางแผนว่าจะขนพวกวัตถุปัจจัยในห้องย้ายมาเก็บในรถจี๊ปแล้วขับไปรับพวกคุณ จากนั้นก็ออกนอกเมืองไปก่อนโดยใช้ประตูเมืองด้านทิศตะวันออก รอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลงค่อยกลับเข้ามาใหม่”

“ดีมาก งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ตรอกข้าง ‘ร้านปืนอาฝู’ ก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนชมเชยออกมาคำหนึ่งแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่าขับรถออฟโรดสีแดงของโอดิคไปที่ถนนใต้

เสียงดังแคร้งแคร้งขึ้นเป็นครั้งคราว เป็นเสียงลูกกระสุนที่ปลิวว่อนมากระทบเข้ากับแผ่นเหล็กหนาและกระจกกันกระสุนที่ติดตั้งไว้ที่รถ

สถานการณ์ของถนนใต้นั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่จัตุรัสกลาง ริมถนนมีเลือดท่วมไหลนองเต็มไปหมด

มีคนมากมายนอนตายเกลื่อนถนน มีศพอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง บ้างก็นอนตายตาไม่หลับ ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและความคับข้องใจ

นานครั้งก็ได้เห็นคนที่ยังไม่ตายสักคนสองคน แต่ส่วนใหญ่ล้วนใกล้เสียชีวิตเต็มที ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดตามสัญชาตญาณ

เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองดูแล้วชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

“ไปที่นั่น”

นั่นเป็นร้านอาหารร้านแรกที่พวกเขามากินหลังจากเดินทางมาถึงเมืองหญ้าไพร

‘ร้านบะหมี่เจ้าเก่า’

ในตอนนั้น เถ้าแก่ร้านที่พูดด้วยสำเนียงที่หลากหลาย รวมทั้งการยืนหยัดเรื่องยืมหนังสือจากห้องสมุดเพื่อมาสอนหลานให้อ่านเขียน จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ เกิดความประทับใจ

เช่นเดียวกับที่บะหมี่พริกคั่วน้ำมันอันแสนอร่อยนั่นสร้างความประทับใจไว้ให้เช่นกัน

ในเวลานี้ ร้านบะหมี่ตกอยู่ในสภาพพังเละเทะ โต๊ะเก้าอี้ล้มเกลื่อนร้าน

เถ้าแก่ร้านซึ่งมีจอนผมสีขาวนอนหงายอยู่บนพื้น หน้าผากมีรูขนาดใหญ่ เสื้อผ้าสีแดงของเขามีเลือดชุ่ม ไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไป

ด้านหลังของเขานั้นเป็นมุมห้อง มีเด็กชายตัวน้อยอายุเจ็ดแปดขวบนั่งยองตัวสั่นราวลูกนกอยู่ที่นั่น

หนังสือหลายเล่มที่ส่วนใหญ่มีภาพประกอบหล่นกระจัดกระจายอยู่รอบตัว

อีกด้านหนึ่งของร้านบะหมี่ มีคนสองคนนั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ ซึ่งเป็นโต๊ะตัวเดียวภายในร้านที่ไม่ได้ล้มคว่ำ

คนหนึ่งเป็นชายอายุประมาณสามสิบ อีกหนึ่งเป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบ

พวกเขาก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ชามใหญ่ เพิกเฉยต่อเสียงปืนและความวุ่นวายภายนอกโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าหยุดรถ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบเปิดประตูกระโดดลงไปทันที เธอยกมือขึ้นเล็งปืนใส่ชายที่กำลังกินบะหมี่อยู่ ในระหว่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาเถ้าแก่ร้านบะหมี่และเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ด้านหลัง

เธอไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมก็สามารถระบุได้ว่าเถ้าแก่ร้านเสียชีวิตไปแล้วโดยตัดสินจากสัญญาณไฟฟ้า

ชายที่กำลังกินบะหมี่อยู่รีบกวาดใบหอมสีเขียวที่เหลืออยู่ในชามเข้าปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เลียปลายตะเกียบแล้วยืนขึ้นโดยอัตโนมัติ ขวางเด็กหญิงเอาไว้ที่ด้านหลัง

เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าสกปรกมอมแมม แต่แววตาสดใส

เธอไม่ได้หยุดปาก รีบสูดบะหมี่เข้าไปอีกสองคำจากสามคำที่เหลืออยู่

ซางเจี้ยนเย่าจำชายคนนี้ได้ เขามีผิวสีเข้ม ใบหน้าสี่เหลี่ยมดูสัตย์ซื่อ เขาเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่ก่อนหน้านี้ตอบคำถามของโอดิคว่า ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมนั้นอยู่ที่ไหน

เมื่อเห็นปืนของเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเล็งมาที่ตน คนเร่ร่อนแดนร้างผู้นั้นก็เผยรอยยิ้มที่อัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา

“ยิงฉันสิ ฆ่าฉันเลย

“เขาไม่ยอมให้พวกเรากิน ฉันก็เลยต้องแย่งอาหารมา แล้วก็ทำกินเอง…

“ไม่งั้นก็หิวตายแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย เสียงก็ดังมากยิ่งขึ้น

“ทุกคนล้วนแต่เป็นมนุษย์กันทั้งนั้น แล้วพวกเราไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่องั้นเหรอ

“พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ แล้วทำไมถึงต้องให้เราอดตายด้วย”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูเขาและเด็กหญิงตัวน้อยด้านหลังที่กำลังวางชามวางตะเกียบลงอย่างไม่ยินยอม เวลาผ่านไปครู่หนึ่งทว่ากลับเหนี่ยวไกไม่ลง

สองสามวินาทีต่อมาก็มีเสียงดังปัง ชายคนนั้นล้มลง เลือดพุ่งออกจากหน้าอก

คนที่ยิงออกไปคือซางเจี้ยนเย่า

เด็กหญิงตัวน้อยมองดูภาพนี้อย่างเฉยชา ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ตะโกน

เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองดูซางเจี้ยนเย่า เห็นเขาใช้สองมือถือปืนเอาไว้มองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตาแล้วออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว

“พาเด็กทั้งคู่ไปด้วย แล้วไปรวมตัวกับเสี่ยวไป๋”

ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ เด็กทั้งคู่คงไม่อาจรอดชีวิตภายใต้สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ไปได้

เอาไว้รอให้เมืองหญ้าไพรสงบลงก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีว่าจะเอายังไงต่อดี

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแล้วอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นรถออฟโรดสีแดง คนหนึ่งเบียดกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยที่หมดสติอยู่ที่เบาะหลัง ส่วนอีกคนเข้าไปที่นั่งข้างคนขับ นั่งข้างๆ เจี่ยงไป๋เหมียน

เด็กทั้งคู่ไม่ร้องไห้ ไม่ขัดขืน พวกเขาดูหวาดกลัว

“คุณปู่ คุณปู่!”

“พ่อจ๋า พ่อจ๋า!”

* * * * *

ในตรอกที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ ตั้งอยู่

หลงเยว่หงเหวี่ยงแขนขวาออกไปแล้วลั่นไก

ปัง!

คนเร่ร่อนซึ่งไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน เขากำลังเหวี่ยงมีดไปมาก็พลันล้มลงกับพื้น ร่างกายชักกระตุก

เมื่อเทียบกับตอนต้นที่เริ่มเกิดความวุ่นวายโกลาหลแล้ว ในตอนนี้หลงเยว่หงสงบใจลงได้มากแล้ว

คนเร่ร่อนแดนร้างที่ตกตายด้วยน้ำมือของเขานั้นแม้ไม่ถึงสิบคน แต่ก็ราวเจ็ดแปดคน

หลังจากที่เขากับไป๋เฉินออกมาจากที่ซ่อนในถนนตะวันออก พวกเขาก็เลือกเส้นทางที่มีคนน้อยที่สุดเพื่อกลับมาที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ แต่ถึงแม้อย่างนั้นระหว่างทางก็ยังพบพานกับคนเร่ร่อนไม่น้อยที่มีดวงตากระหายเลือด และโจรท้องถิ่นซึ่งฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย

หลังจากที่ตื่นตระหนกในตอนแรก จากนั้นหลงเยว่หงก็พบว่าการยิงของคนพวกนี้ไม่นับเป็นอย่างไรได้ ฝีมือก็ใช่ว่าจะดี ขอเพียงหลบเหลี่ยงเผชิญหน้ากับฝูงชน ไม่พรวดพราดเข้าไปในสถานที่ซึ่งมีกระสุนปลิวว่อน ตนเองกับไป๋เฉินร่วมมือกันก็สามารถรับมือได้อย่างสบาย

เรื่องเดียวที่ต้องกังวลก็คือกระสุนที่พกไว้ร่อยหรอเต็มที ยังไม่มีเวลาจะบรรจุใหม่

แต่ก็ใช่ว่าระหว่างทางจะไม่มีอันตรายใดๆ เพราะหลงเยว่หงกับไป๋เฉินเพิ่งได้พบกับกลุ่มของกองกำลังป้องกันเมืองที่มาเก็บกวาดพวกคนเร่ร่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนพวกนั้นกำลังตึงเครียดจนตอบสนองเกินเหตุ ทำเหมือนพวกเขาเป็นพวกก่อจลาจล หรือเป็นเพราะเห็นว่าพวกเขามีกันอยู่เพียงแค่สองคน สามารถลงมือกำจัดได้ไม่ยากเย็น

โชคดีที่คนกลุ่มนั้นมีเพียงห้าคน และไป๋เฉินก็มองเห็นเจตนาของพวกเขาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากยิงกันไปรอบหนึ่ง พวกนั้นก็ทิ้งสองศพไว้ข้างหลังแล้วถอยไปที่ตรอกอื่น

นี่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกกลัวอยู่บ้างและใจเต้นอยู่เล็กน้อย

นั่นเพราะหนึ่งในกองกำลังป้องกันเมืองกลุ่มนั้นถูกเขาสังหารด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว

สำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจมาก

หลังจากไป๋เฉินเข้าไปใน ‘ร้านปืนอาฝู’ และกวาดตาสำรวจแล้ว หัวใจเธอพลันจมดิ่งลงทันที

ปืนที่เอาไว้ขายนั้นหายไปหลายกระบอก ข้าวของภายในร้านระเนระนาดไปหมดราวกับมีคนมาปล้นร้าน

และเกือบในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงปืนดังมาจากชั้นบน

เสียงนั้นดังบ้างหยุดบ้าง ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบีบรัดหัวใจ

“น้าหนาน…” หลงเยว่หงมองไป๋เฉินแล้วเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา

ไป๋เฉินผงกศีรษะโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“พวกเราขึ้นไปดูกันเถอะ”

พูดจบก็เสริมอีกหนึ่งประโยค

“ในห้องยังมีวัตถุปัจจัยของพวกเราอยู่อีกไม่น้อย”

“ตกลง” หลงเยว่หงไม่ได้แย้ง เขาเก็บ ‘มอสน้ำแข็ง’ ที่ลำกล้องค่อนข้างร้อนเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเป็นปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ซึ่งมีกระสุนบรรจุอยู่เต็ม

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงประตูด้านหลัง ‘ร้านปืนอาฝู’ ก็มองลอดรูกระสุนปืนที่ยิงทะลุบานประตูเพื่อให้แน่ใจว่ารถจี๊ปยังจอดอยู่ที่เดิม

เห็นได้ว่าพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่กรูเข้ามาที่นี่ยังไม่ได้สนใจรถเป็นการชั่วคราว ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่เห็นวัตถุปัจจัยจำนวนมากที่ซ่อนไว้ท้ายรถ

หลังจากที่เลี้ยวขึ้นบันไดไป ในครรลองสายตาของหลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็มองเห็นซากศพเรียงราย

ศพเหล่านั้นมีทั้งหญิงทั้งชาย นอนคว่ำนอนหงาย ทั้งหมดล้วนถูกยิงเสียชีวิต

ไป๋เฉินมองกวาดสำรวจคร่าวๆ ไปรอบหนึ่งแล้วก็เร่งฝีเท้าขึ้นโดยอัตโนมัติ

ขณะใกล้ถึงชั้นสองก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง

ไป๋เฉินรีบก้มลง ค่อยๆ ขึ้นไปชั้นบนอย่างระมัดระวัง หลงเยว่หงก็เลียนแบบท่าทาง ตามหลังไปติดๆ

พวกเขาเห็นชายห้าหกคนอยู่ในบริเวณหัวมุมถืออาวุธกำลังยิงปืนใส่คนในห้องบนชั้นสอง

ด้านหน้าพวกเขามีศพนอนกองกันอยู่หลายร่าง

ไป๋เฉินยกมือขึ้นโดยไม่ลังเล แล้วยิงไปที่คนซึ่งดูเหมือนเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง หลงเยว่หงเองก็ไม่ถามให้มากความ เคลื่อนไหวแบบเดียวกันทันที

ปัง! ปัง! ปัง!

ทั้งคู่ยิงประสานร่วมกับการยิงตอบโต้จากภายในห้อง ยิงจนกระสุนหมดเกลี้ยง กำจัดศัตรูเบื้องหน้าจนหมดสิ้น

“พวกเราเอง!” ไป๋เฉินรีบตะโกนเสียงดังออกมา

เสียงน้าหนานดังขึ้น

“รีบขึ้นมาเร็ว!”

ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงรีบขึ้นไปโดยเร็ว มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในห้องนั้น มีน้าหนาน มีหุ้นส่วนของ ‘ร้านปืนอาฝู’ กู่ฉางเล่อ และหญิงขายบริการซึ่งอายุอานามแตกต่างกันไป พวกเขาหลบอยู่ในห้อง หวาดกลัวตัวสั่นกันอยู่บ้าง

และที่บานประตูนั้น มีอานหรูเซียงคอยปกป้องไว้ไม่ให้คนเร่ร่อนบุกฝ่าเข้าไปได้

นักล่าซากอารยะและ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ผู้นี้ถือปืนพกของตัวเองนั่งคุกเข่าข้างเดียวเอนร่างพิงผนังห้อง สีหน้าเธอยังคงเฉยเมยเฉกเช่นเคย ดูสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง

อาฝูผู้เป็นน้องชายของน้าหนานทำหน้าที่บรรจุลูกกระสุนและส่งปืนให้

เมื่อเห็นไป๋เฉินกับหลงเยว่หงขึ้นมาถึง อานหรูเซียงก็ทรุดนั่งลงทันทีพลางหอบหายใจแรง

บนใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น แลดูสะอาดบริสุทธิ์

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท