รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 173 ศิลปะการพูด

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 173 ศิลปะการพูด

หิมะที่ตกหนักนั้นได้หยุดตกไปนานแล้ว แต่ยังคงมีเศษสีขาวปกคลุมหลังคาและท้องถนน

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สนใจซางเจี้ยนเย่าที่กำลังก้มหน้าก้มตาปั้นลูกบอลหิมะก้อนใหญ่ เธอหันไปพูดกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย

“เอาไว้กลับไปบริษัทก็หาเวลามาคุยกันนะ”

ความวุ่นวายโกลาหลก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเกินไป ยังไม่ทันที่เครื่องรับส่งโทรเลขไร้สายแบบทำมือจะทำเสร็จ ภารกิจของพวกเขาก็จบลงเสียแล้ว ดังนั้นจึงต้องติดต่อให้เจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่รับผิดชอบในเมืองหญ้าไพร เฉินซวี่เฟิง ให้ช่วยรายงานสถานการณ์ทั่วไปกับทางบริษัท และช่วยเหลือทีมของเหลยอวิ๋นซงเรื่องวัตถุปัจจัยพื้นฐาน

ตอนท้ายสุดทางบริษัทให้เฉินซวี่เฟิงเตรียมพาหนะไว้สองคันสำหรับทีมของเหลยอวิ๋นซง อาหารสำหรับครึ่งเดือน อาวุธกับกระสุน และให้พวกเขาเดินทางกลับไปอาคารใต้ดินโดยด่วนเพื่อรายงานการปฏิบัติงาน และรับการประเมินทางจิตวิทยาและเยียวยาอาการ

เหลยอวิ๋นซงซึ่งดวงตาราวกับเปิดไม่เต็มที่ มือกดที่ประตูรถในขณะที่ตอบเจี่ยงไป๋เหมียน

“พวกคุณห้ามลืมติดต่อคนจาก ‘สวรรค์จักรกล’ เด็ดขาดนะ

“พวกเขาต้องรู้เรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับการทำลายโลกเก่าแน่ๆ!”

ในการสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลหลังจากพวกเขาฟื้นขึ้นมา เหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยได้อธิบายถึงสาเหตุที่พวกเขามาเมืองหญ้าไพรและเรื่องราวต่อจากนั้น

พวกเขาเจอชิปที่เสียหายสองสามชิ้นจากหุ่นสมองกลในนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างทางใต้แห่งหนึ่ง

หลังจากซ่อมแซม เจาะเข้าระบบ และกู้ข้อมูลได้ พวกเขาก็ดึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางส่วนออกมา

ข้อมูลนี้บอกให้พวกเขารู้ว่าชิปพวกนี้มาจากหุ่นคุ้มกันของ ‘สวรรค์จักรกล’ พวกเขาถูกกองกำลังศัตรูจู่โจมในระหว่างที่ทำการค้าบางอย่างและสูญเสียอย่างหนัก ส่งผลให้ชิ้นส่วนอะไหล่บางส่วนหายไป

นอกจากที่มาที่ไปแล้ว คำว่า ‘เมนเฟรม’ ก็ปรากฏขึ้นซ้ำๆ อยู่หลายแห่งในข้อมูลชุดนี้ด้วย ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันครอบงำอุตสาหกรรมทุกชนิดใน ‘สวรรค์จักรกล’ ไปจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะใช้ชีวิตในรูปแบบใดก็ไม่อาจหนีพ้นจากการควบคุมได้

นอกจากนี้ เวลาที่ประทับอยู่ในข้อมูลบางจุดก็บ่งชี้ให้รู้สึกว่า ‘เมนเฟรม’ นั้นมีมาตั้งแต่ก่อนโลกเก่าจะถูกทำลายลงไป และเดินเครื่องทำงานมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว

เพื่อที่จะตรวจสอบยืนยันในเรื่องนี้และได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ทีมของเหลยอวิ๋นซงจึงตัดสินใจเดินทางมายังเมืองหญ้าไพร และเริ่มสืบสวนจากสมาคมนักล่าท้องถิ่นเพราะพวกเขามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ ‘สวรรค์จักรกล’

เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าคนเร่ร่อนแดนร้างซึ่งมีถิ่นกำเนิดต่ำต้อยย่อมไม่มีทางได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ดังนั้นเพื่อให้การสืบสวนตรวจสอบเป็นไปอย่างราบรื่น เหลยอวิ๋นซงจึงเลือกโรงแรมที่ดีที่สุด ใช้การกระทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีกองกำลังใหญ่หนุนหลังอยู่

พวกเขาไม่รู้ว่าถูก ‘บาทหลวง’ จาก ‘นิกายทอนปัญญา’ หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนไหน แต่มั่นใจว่าหลังจากไปที่ถนนเหนือเพื่อเข้าพบเจ้าเมืองก็ได้พบคนที่มีท่าทางเหมือนป่วยคนหนึ่งเข้า

เจี่ยงไป๋เหมียนรับคำ “อืม” ต่อ ‘คำขอ’ ของเหลยอวิ๋นซง

“เรื่องนี้ต้องขึ้นกับการจัดการของบริษัทน่ะ

“พวกคุณเป็นคนสืบเสาะเรื่องนี้พบ ก็เป็นไปได้ว่าต้องให้พวกคุณรับผิดชอบต่อจนถึงที่สุด”

เหลยอวิ๋นซงได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจ

“พอกลับไปแล้ว พวกเราคงไม่มีโอกาสได้ออกมาปฏิบัติงานภายนอกอีกแล้วล่ะ

“เป็นไปได้ว่าทีมของเราน่าจะถูกยุบ”

หลังจากทำงานสำรวจโลกเก่ามาเป็นเวลายาวนาน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องมีความผูกพันและความหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงหวังให้ทีมของเจี่ยงไป๋เหมียนสามารถรับช่วงเบาะแสนี้ ทำการสืบสวนต่อไปและนำคำตอบกลับมาให้พวกเขา

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดปลอบ

“มันก็ขึ้นอยู่กับผลการประเมินครั้งสุดท้ายแหละ ยังมีโอกาสค่อนข้างสูงอยู่นะ”

เหลยอวิ๋นซงเหลียวมองดูลูกทีมของตนทุกคน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

“พวกเราล้วนแต่มีบ้านมีครอบครัว แต่ละครั้งที่ออกจากบริษัทมาที่พื้นโลกก็รู้สึกวิตกกังวล กลัวว่าออกมาแล้วจะไม่ได้กลับไปอีก ดูสิ ครั้งนี้พวกเราก็เกือบจะไม่ได้กลับไปแล้ว

“ในเมื่อมีโอกาสขอย้ายไปทำงานภายในได้ ถ้าไม่คว้าไว้ก็คงโง่เต็มที ไม่ต้องทำให้พ่อแม่พี่น้องลูกเมียต้องมาเป็นกังวลกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงยังไงก็ได้รอนแรมอยู่บนแดนธุลีมาหลายปีแล้ว ไปมาแล้วก็หลายที่ เทียบกับพนักงานทั่วไปส่วนใหญ่ของบริษัทก็ดีกว่ามาก อืม… แค่นี้ก็สมควรพอใจได้แล้วแหละ”

คุณพูดมาแบบนี้ ต่อให้ฉันใช้หัวแม่เท้าฟังก็ยังฟังออกเลยว่าไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่หรอก… เฮ้อ พนักงานที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตบนพื้นโลกน่ะ มีน้อยคนที่จะไม่อาลัยอาวรณ์โลกภายนอก ถึงแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยอันตรายก็เถอะ… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบเสียดสีออกไปสองประโยค จากนั้นก็โบกมือให้แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบไหนก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยก็ยังได้กลับมาแบบมีชีวิต

“เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”

“แล้วเจอกัน!” พวกเหลยอวิ๋นซงโบกมือให้ เปิดประตูแล้วขึ้นรถไป

หลังจากมองส่งพวกเขาจนกระทั่งพ้นไปจากถนนใต้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจแล้วหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่าด้านข้าง

“นายก็ได้ลองชิมมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมยังจะคิดว่ามันจะมีอะไรอีก”

ซางเจี้ยนเย่ากำลังกัดลูกบอลหิมะก้อนใหญ่ที่เขาปั้นอีกครั้ง

“ผมหิวน้ำน่ะ” เขาพูดเสียงอู้อี้

เจี่ยงไป๋เหมียนจุ๊ปากแล้วเดินไปที่รถออฟโรดกันกระสุนซึ่งสวี่ลี่เหยียนให้มา

“ถึงเวลาไปทำเรื่องที่ควรทำกันแล้ว”

ในขณะที่พูดเธอก็หันไปโบกไม้โบกมือให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงซึ่งอยู่ที่หน้าต่างชั้นสอง บอกให้ทำเรื่องของตัวเองไป

ถึงยังไงทีมล่าทาสของยูจีนก็ยังอยู่นอกเมือง และภารกิจตามล่า ‘ผู้ร้ายลักพาตัว’ ก็ยังคงดำเนินอยู่

ข่าวล่าสุดที่ไป๋เฉินได้ยินมาก็คือกลุ่มของยูจีนตัดสินใจเลือกหัวหน้าคนใหม่ เสร็จสิ้นการควบรวมกลุ่มของยูจีนได้ภายในเวลาอันสั้น รับสืบทอดใบอนุญาตจับทาสต่อ

และหัวหน้าคนใหม่นี้ก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตามตัวยูจีนกลับมา เขาเพียงแค่ต้องการจับตัว ‘ผู้ร้ายตัวจริง’ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองมีความจงรักภักดีเพื่อปลอบใจคนในกลุ่ม

ซางเจี้ยนเย่าโยนลูกบอลหิมะในมือทิ้ง เข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับแล้วสตาร์ทรถ

เนื่องจากหลงเยว่หงไม่ได้เปิดหน้าต่าง ซางเจี้ยนเย่าจึงเลิกล้มความคิดที่จะปาก้อนหิมะใส่เขาเพราะจะทำให้กระจกแตกแทน

“เรื่องที่จะทำต่อจากนี้มีสองเรื่อง” เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับเอนหลังหยิบเอา ‘จดหมายตอบกลับ’ จากเฉินซวี่เฟิงออกมา แล้วพูดแบบย่อๆ “เรื่องแรก ไปหาสวี่ลี่เหยียน แสดงให้เขารู้ว่าพวกเราเป็นคนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันกับเขา

เรื่องที่สอง ไปสอบปากคำ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมด้วยตัวเองอีกครั้งเพื่อรวบรวมข้อมูลของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ให้ได้มากที่สุด

นี่เป็นภารกิจใหม่ที่บริษัทมอบหมายให้กับพวกเขา

เป็นเพราะซางเจี้ยนเย่าหมกมุ่นอยู่กับการเล่นหิมะมาสองสามวันแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเกรงว่าในตอนนั้นเขาจะไม่ได้ตั้งใจฟัง จึงพูดซ้ำอีกครั้ง

“ตอนนี้มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันอยู่แล้วนี่” ซางเจี้ยนเย่าพูดราวกับว่าเขาและสวี่สี่เหยียนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันไปแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยรอยยิ้มไปหนึ่งคำ

“แบบนั้นจะเป็นได้นานซักแค่ไหนกันเชียว

“บริษัทเล็งเห็นว่าสวี่ลี่เหยียนกับ ‘ปฐมนคร’ นั้นมีความไม่ลงรอยกัน จึงอยากลองดูว่าจะแทรกเข้ามาได้หรือเปล่า

“ถ้าหากทำได้สำเร็จ พอถึงเวลานั้นพวกเราก็สามารถออกจากเมืองหญ้าไพรไปได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าตอนนั้น ‘ความผูกพันฉันท์น้องพี่’ ของพวกนายจะสลายไปหรือยัง”

ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์นั้นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายที่สุดและมีความมั่นคงที่สุดในคราวเดียวกัน

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม

“ความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันคืออะไรเหรอ”

“ก็หมายความว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานภาพระดับเดียวกัน แต่สามารถหาเงินด้วยกันได้ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วม… เอ่อ… นั่นต้องดูสถานการณ์กันอีกที สรุปก็คือลงเรือลำเดียวกัน จับมือกัน ทำให้ ‘ปฐมนคร’ เกิดความยุ่งยากปวดหัว แบบนี้พวกคณะกรรมการบริษัทจะต้องพอใจมากแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างไม่เป็นทางการ

“ทำตัวเป็นเด็กไปได้…” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็น

เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตา

* * * * *

ในฐานะพี่น้องร่วมสาบานของเจ้าเมือง ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนจึงเข้าพบสวี่ลี่เหยียนได้อย่างไม่ยุ่งยาก

ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนซึ่งยังคงสวมเสื้อคลุมยาวที่มีฮู้ด

ทันทีที่ได้เห็นจิ้งเนี่ยน ซางเจี้ยนเย่าก็โยกตัวเล็กน้อยด้วยจังหวะแปลกๆ ก่อนจะถูกเจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่

“เจ้าเมืองสวี่ มีบางเรื่องที่อยากจะหารือกับคุณหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนส่งสายตาเพื่อเป็นสัญญาณว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะให้อาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนได้ยิน

สวี่ลี่เหยียนยิ้มพลางสั่นศีรษะ

“ด้วยความสัมพันธ์ของผมกับเจี้ยนเย่า มีอะไรก็พูดมาเถอะ

“อ้อ ไม่ต้องกังวลกับอาจารย์เซนด้วย พวกเรามีข้อตกลงร่วมกันเรื่องมาตรการรักษาความลับ พวกหลวงจีนนั้นวางใจในเรื่องนี้ได้”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยืนกรานต่อ เธอดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านตรงข้ามมาแล้วนั่งลง

จากนั้นเธอคลี่ยิ้มออกมา

“เจ้าเมืองสวี่เคยใคร่ครวญเรื่องเสริมความแข็งแกร่งของตนเองบ้างหรือเปล่า”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็หันไปเหลือบมองหัวหน้าทีม ปิดปากเงียบสนิท

สีหน้าสวี่ลี่เหยียนเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”

สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนกวาดจากร่างสวี่ลี่เหยียนไปยังหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนก่อนจะละสายตากลับมา

“อย่างเรื่องที่ถูกโจมตีครั้งนี้ พอศัตรูฝ่าแนวป้องกันของผู้คุ้มกันเข้ามาได้และจำกัดการเคลื่อนไหวของอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนเอาไว้ คุณก็เหมือนลูกแกะรอถูกเชือด คนอื่นคิดจะทำอะไรก็ทำได้ตามต้องการ

“ฉันรู้ว่าคุณสามารถจ้างคนคุ้มกันมาได้มากมาย รวมถึง ‘นักล่าชั้นสูง’ ของสมาคมด้วย ว่ากันโดยปกติแล้วก็ยากที่จะมีคนลอบสังหารคุณได้ แต่หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น[1] ถ้าเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นมาได้ ในช่วงเวลาวิกฤตอาจเป็นฝ่ายกุมชัยไว้ก็ได้

“คุณน่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าในโลกนี้มีอาวุธที่เกินกว่าขีดจำกัดอยู่มากมายขนาดไหน อาวุธที่ว่านี่ก็รวมไปถึงมนุษย์ด้วย”

สำหรับสวี่ลี่เหยียนนั้น เรื่อง ‘บาทหลวง’ เป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยประสบมา เมื่อคิดถึงนาทีชีวิตในครั้งนั้นขึ้นมาคราใดก็จะตัวสั่นไปด้วยความกลัว โดดเดี่ยวอ้างว้าง และอับจนหนทาง เขาถึงกับขวัญเสียจนฝันร้ายไปหลายวันเลยทีเดียว

“งั้นควรทำยังไง” สวี่ลี่เหยียนพยายามทำให้ตนเองดูไม่ค่อยกระตือรือร้น

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

“บนแดนธุลี มีหลายวิธีที่จะเพิ่มความสามารถตนเองได้ แต่มีน้อยวิธีที่สามารถทำได้จนเกินกว่าขีดจำกัด

“หนึ่งคือกลายเป็นผู้ตื่นรู้ แต่นี่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าพยายามแล้วจะได้ ไม่ใช่ว่ามีอำนาจมีสถานะแล้วจะประสบความสำเร็จ

“สองคืออัปโหลดจิตสำนึก กลายเป็น ‘นิรันดร์กาล’ สำหรับคนที่อยู่ในวัยบั้นปลายชีวิตแล้วนี่นับว่าเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดไม่น้อย แต่ว่าเจ้าเมือง… คุณอายุยังน้อย ยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่เคยลิ้มลอง

“สามคือการดัดแปลงทางกลไก ด้วยความสัมพันธ์ของคุณกับ ‘ปฐมนคร’ แล้วนี่ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ไม่แน่ว่าจะได้รับชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ดีที่สุด ยิ่งกว่านั้นภาพลักษณ์ของคุณก็อาจดูไม่ดีนัก…”

เมื่อพูดแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“คุณดูสิ แขนเทียมชีวภาพของฉันเมื่อมองจากภายนอกแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติใช่ไหมล่ะ แต่มันมีความสามารถเกินขีดจำกัดของมนุษย์”

ประกายไฟฟ้าสีเงินวาบอยู่ระหว่างปลายนิ้วของเธอ

สวี่ลี่เหยียนนิ่งไปชั่วขณะ

“พวกคุณมาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ งั้นเหรอ”

“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับการดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่สมบูรณ์ เทคโนโลยีด้านอวัยวะชีวภาพนั้นมีความน่าเชื่อถือวางใจได้”

สวี่ลี่เหยียนมองดูเธออย่างเงียบงันราวสิบวินาที ในที่สุดก็เอ่ยปากถามขึ้น

“คุณต้องการอะไร”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา

“สิ่งที่เราต้องการนั้นน้อยมาก

“ขอเพียงแค่ให้คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณยังคงควบคุมเมืองหญ้าไพรอยู่ คุณยังรักษาความเป็นเอกราชเป็นอิสรภาพได้อยู่ นั่นก็เพียงพอแล้ว

“แต่ถ้าหากให้พวกเราสามารถซื้อข้าวของบางอย่างที่ไม่ได้อาจซื้อได้จากช่องทางปกติได้ด้วย อย่างงั้นพวกเราก็จะรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณมาก

“เจ้าเมืองสวี่ การถ่วงน้ำหนักไว้ที่ด้านเดียวของคันชั่งจะรักษาสมดุลย์ไว้ไม่ได้ แยกใส่ไข่ไว้หลายตระกร้าจะช่วยกระจายความเสี่ยงได้”

สวี่ลี่เหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ให้คำตอบออกมาทันที

“ผมจะพิจารณาดู”

[1] กลัวแต่หนึ่งในหมื่น (就是万一) มาจากประโยค ‘หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น’ (不怕一万,就怕万一) แปลว่า ‘ไม่กลัวหนึ่งหมื่น (เรื่องที่เกิดได้บ่อย) กลัวแต่หนึ่งในหมื่น (เรื่องที่ยากจะเกิดขึ้นแต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้)’ แฝงนัยว่าให้ดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท