รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 177 คำแนะนำอย่างจริงใจ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 177 คำแนะนำอย่างจริงใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกโล่งใจ แล้วถามด้วยความสงสัย

“นายทำยังไงเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าอธิบายให้ฟังว่าตนเองแปลงร่างเป็น ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ได้อย่างไร ‘สร้าง’ โรงพยาบาลได้อย่างไร ‘ผลิต’ ห้องผู้ป่วยจำนวนมาก แพทย์จำนวนมาก และยาจำนวนมากขึ้นมาได้อย่างไร

ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าตัวเองเคยพบเคยเห็นเรื่องราวมาไม่น้อย แต่นี่ก็ยังเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธออยู่ดี

เธอนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“จินตนาการนายนี่มันช่างบรรเจิดเสียจริงเชียว…”

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์พวกนั้นก็ทำให้เธอทั้งรู้สึกขบขัน เหลวไหล และบ้าคลั่งอย่างยากจะปกปิดซุกซ่อนไว้ได้

นี่ขนาดว่าเป็นแค่เพียงจินตนาการเท่านั้น หากว่าเธอเห็นด้วยตาตนเองจริงๆ เกรงว่าจิตใจเธอคงถูกมลพิษปนเปื้อนเข้าให้แล้วล่ะ

“ถ้า ‘คนป่วย’ พวกนั้นมีสติรับรู้ละก็ น่าจะกลัวนายจนเผ่นเตลิดกันไปหมดแล้ว…” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นของตนออกมาประโยคหนึ่ง และอดถามคำถามไร้สาระออกมาไม่ได้ “ไหงนายถึงมีความคิดแบบนี้ออกมาได้ล่ะ”

“ก็หัวหน้าบอกว่าต้องมีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็ง ต้องมีการประสานงานและความร่วมมือกันในแต่ละด้านที่จำเป็น เหมือนกับที่บริษัทมี

“โลกแห่งจิตวิญญาณน่าจะคล้ายกับโลกแห่งความฝัน สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้โดยอาศัยความมุ่งมั่นพลังใจของตัวเองได้ อืม… นั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิด” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์

โลกแห่งจิตวิญญาณจะแปลกประหลาดอัศจรรย์ไปบ้างก็เป็นเรื่องปกตินี่

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะทั้งน้ำตา

“ที่ฉันพูดแบบนั้น ด้านหนึ่งก็เพื่อให้นายมีความมั่นใจขึ้น อีกด้านก็เพื่อจะบอกว่ารอไว้ให้กลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ก็จะคิดหาวิธีส่งนายไปตามโรงพยาบาล ห้องวิจัย แล้วก็โรงงานยาน่ะ

“นี่จะทำให้นายได้พบได้เห็นผู้คนในแต่ละที่ ดูกรรมวิธีต่างๆ ที่ใช้ต่อสู้กับความเจ็บป่วย ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่รักษาให้หายได้ยังไง ให้เห็นว่าคนส่วนน้อยที่รักษาไม่หายนั่นเป็นเพราะอะไร

“เมื่อนายมีความเข้าใจมากพอเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ มีความเข้าใจโดยพื้นฐานว่าผู้คนในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเขาทำอะไรกันบ้าง รวมถึงพวกข้าวของอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ทำขึ้นมา ฉันคิดว่าแบบนี้ความกลัวในใจของนายน่าจะลดลงไปอีกมาก

“ความกลัวนั้นมาจากความไม่รู้”

แต่ผลก็คือหมอนี่กลับแปลงร่างเป็นบริษัท สร้างโรงพยาบาล และมีซางเจี้ยนเย่าจำนวนมหาศาลแสดงบทบาทเป็น ‘กองทัพ’ ของหมอและยาไปต่อสู้กับโรค ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่มีทางคิดแบบนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน

“แต่ก็ได้ผลอยู่นะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงทีท่าว่าเขายังจะทดลองตามแนวทางนี้ต่อ “อย่างน้อยผมก็ต้านทานได้นานกว่าก่อนหน้านี้”

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจอย่างจนใจ

“งั้นก็ทำไปพร้อมๆ กันก็แล้วกัน”

ตอนนี้เพิ่งจะเลยเที่ยงวัน เธอเหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกแล้วพูดขึ้น

“ในเมื่อตอนนี้ก็ว่างอยู่ งั้นไปห้องสมุดกันหน่อย จะได้ไปลองหาพวกหนังสือเกี่ยวกับโรคสักสองสามเล่ม เข้าใจให้มากขึ้นก็ไม่เสียหลาย”

เธอไม่ได้บอกว่าจะไปแจ้งผลการสอบปากคำกลับไปยังบริษัท ประการแรกก็คือต้องรอให้สวี่ลี่เหยียนพิจารณาว่าต้องการจะสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ ประการที่สองคือไป๋เฉินนั้นจ่ายเงินค่าเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายประกอบเองไปแล้ว รออีกสองสามวันพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรายงานผ่านทางเฉินซวี่เฟิงแล้ว

แต่แน่นอนว่าทรัพยากรบางอย่างก็ยังคงต้องได้รับผ่านทางผู้รับผิดชอบเครือข่ายข่าวกรองท้องถิ่นอยู่ดี

ส่วนปัญหาเรื่องที่ว่าการที่ไม่ได้เป็นพลเมืองของเมืองนี้ หรือเป็นนักล่าซากอารยะที่มีระดับชั้นยังไม่ถึงนักล่าทางการขึ้นไปแล้วจะไม่สามารถยืมหนังสือได้นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ในฐานะพี่น้องของเจ้าเมืองสวี่ลี่เหยียนนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ถือเป็นพลเมืองที่มีใบอนุญาตแล้ว!

* * * * *

เมืองหญ้าไพรนั้นยังคงให้ความสำคัญกับห้องสมุดสาธารณะเป็นอย่างยิ่ง กระจกที่แตกจากการระเบิดครั้งก่อนถูกเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว พื้นที่ไหม้เกรียมก็ทาสีขาวทับไว้ ผนังที่เสียหายก็กำลังซ่อมแซมอยู่

ศาลาว่าการเป็นผู้จัดการเรื่องนี้โดยตรงโดยออกเป็นภารกิจในสมาคมนักล่า ซึ่งนักล่าที่รับภารกิจนี้มาทำนั้นค่อนข้างมีประสิทธิภาพและเป็นมืออาชีพมาก

หลังจากสอบถามไปชุดหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยืนยันได้ว่านักล่าเหล่านี้คือกลุ่มช่างก่อสร้าง โดยปกติแล้วจะไม่รับภารกิจจำพวกการผจญภัยหรือสำรวจ ทำเพียงแค่ภารกิจภายในเมืองเท่านั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของชาวเมืองหญ้าไพรนั้นแตกต่างไปจากที่อื่น และไม่อาจแยกออกมาจากสมาคมนักล่าได้

ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนักล่าซากอารยะของเธออีกด้วย

นอกเหนือไปจากสายงานของนักผจญภัย นักโบราณวัตถุ นักวิจัย นักสืบจากกองกำลังใหญ่ พ่อค้าข่าว โจรแดนร้าง นักคุ้ยขยะ และทหารรับจ้างแล้ว นักล่าซากอารยะก็ยังมีสายงานใหม่ๆ อีกมากมาย อย่างเช่น ช่างก่อสร้าง คนทำความสะอาด นักสืบชั้นสาม พนักงานส่งของ และอาจารย์เฉพาะกิจ

“นี่มันแทบจะครอบคลุมไปทุกด้านแล้วนะเนี่ย สมาคมนักล่าในเมืองหญ้าไพรนี่เทียบเท่ากับตลาดแรงงาน สำนักงานจัดหางาน รวมไปถึงเวทีประมูลด้วย…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจกับซางเจี้ยนเย่า

ขณะที่พูดเธอก็ดึงหนังสือการต่อสู้กับโรคภัยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติออกมา แล้วก็แปลกใจที่เห็นคนคุ้นเคยอยู่อีกฝั่งของชั้นวางหนังสือโดยบังเอิญ

เขาคือ ‘นักล่าชั้นสูง’ โอดิค ที่ชอบสวมเสื้อขนสัตว์สีดำ

“คุณมายืมหนังสือเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าเดินอ้อมชั้นหนังสือไปแล้วพูดทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น

นี่คือพี่น้องกัน

โอดิคผงกศีรษะให้เล็กน้อย เหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนที่เดินตามมา

“ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองมีความรู้น้อยเกินไป”

จมูกเขายังแดงอยู่บ้างเล็กน้อย

“อ่านให้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี การ ‘ต่อต้านการศึกษา’ จะทำให้ง่ายที่จะหลงผิดจนติดคุก” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึง ‘บาทหลวง’ ปลอมที่กำลังติดคุกอยู่

เมื่อพูดถึง ‘นิกายทอนปัญญา’ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามด้วยความเป็นห่วงทันที

“คุณยังจามอยู่อีกเหรอ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็ทำให้โอดิครู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาสละไปนั้นกลับกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรง

และที่ทำให้เขาอับอายมากยิ่งขึ้นก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนตบบ่าซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดขยี้เข้าไปอีก

“พูดอะไรของนาย!

“การพูดถึงสิ่งที่ผู้ตื่นรู้ ‘สละ’ ไปต่อหน้าต่อตาเขาเนี่ย มันอันตรายขนาดไหนรู้ไหมยะ นี่เป็นเพราะโอดิคเป็นคนดีหรอกนะ นี่ถ้าหากว่าเป็นผู้ตื่นรู้คนอื่นละก็ พวกเขาคงวางแผนเชือดนายทิ้งไปแล้ว”

เธอคิดว่าพูดออกมาแบบนี้แล้วจะทำฉันเลิกล้มความอยากฆ่าคนได้หรือไง… โอดิคแอบเสียดสีอยู่ในใจ

แต่เขาก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าการแสดงเมื่อครู่ของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นมีนัยอะไรแฝงอยู่

“พวกเราเป็นพี่น้องกัน” ซางเจี้ยนเย่าย้ำ “ผมกำลังคิดว่าจะช่วยเขาได้ยังไง”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองโอดิคแล้วแกล้งทำเป็นครุ่นคิด

“ก็ไม่ถึงกับไม่มีวิธีหรอกนะ”

คุณคิดว่าฉันจะใช้คำพูดบีบบังคับให้คุณรู้สึกไม่พอใจจนเกิดจิตสังหารอยากจะฆ่าฉันขึ้นมางั้นเหรอ

ไม่มีทาง ฉันจะเป็นคนชักจูงหัวข้อสนทนาเอง!

โอดิคเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะถามออกมา

“วิธีอะไร”

“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ผู้ตื่นรู้ได้สละไปนั้นไม่ได้แก้กันง่ายๆ ต่อให้การดมกลิ่นของคุณผิดปกติใช้การไม่ได้ ดมอะไรก็ไม่ได้กลิ่น แต่เมื่อใดก็ตามที่กลิ่นของสิ่งของชนิดนั้นๆ เข้าสู่ร่างกายคุณ มันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงอยู่ดีนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม “แต่ว่าเราสามารถลดผลกระทบของเรื่องนี้ได้ อย่างเช่น การสกัดกั้นทางกายภาพโดยใช้ชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร หรือสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ แล้วใช้ออกซิเจนที่ผลิตจากเครื่องช่วยหายใจแทน ถ้าใช้วิธีนี้ แม้แต่แก๊สพิษก็ยังทำอันตรายคุณไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับกลิ่นฉุนธรรมดา”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าโอดิคยังคงเป็นเช่นเดิม แสดงให้เห็นว่าเขาเคยพิจารณาตัวเลือกแบบนี้ไว้นานแล้ว เธอจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม

“แต่นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบรักษาไปตามอาการเท่านั้น ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่สามารถสวมเกราะกระดูกเสริมแรงไว้ได้ตลอดเวลา

“วิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือเปลี่ยนจมูก เปลี่ยนไปใช้จมูกจักรกลแทน

“การทำงานหลักคือกรองแก๊สให้ได้ก็พอ ไม่ต้องมีฟังก์ชันอะไรมากมาย และถ้าคุณมีวิธีการมีช่องทาง ก็สั่งซื้อรุ่นที่มีความสามารถสูงขึ้นอีกก็ได้ อย่างเช่นเพิ่มฟังก์ชันการจดจำกลิ่นอัจฉริยะ พูดสั้นๆ คือ เป้าหมายเพื่อต้องการกรองโมเลกุลของกลิ่นเปรี้ยวไม่ให้เข้าไปในร่างกาย

“โดยพื้นฐานแล้ว นี่ก็คือการสกัดกั้นทางกายภาพชนิดหนึ่งนั่นเอง แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าหน้ากากกันแก๊ส ยิ่งกว่านั้นก็คือมันอาจทำให้รูปลักษณ์ของคุณเสียหายไปไม่น้อย”

โอดิคแปลกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ รู้สึกว่าหญิงสาวเบื้องหน้าเขานั้นพูดราวกับการดัดแปลงร่างกายมนุษย์เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้รู้สึกฝืนใจอะไรเลย

ถึงแม้จะเป็นแดนธุลีที่สับสนวุ่นวาย แต่เรื่องนี้ก็ยังคงฟังดูเสียสติมากอยู่ดี ราวกับแฟรงเกนสไตน์ในตำนานของโลกเก่า

“พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่ามองดูเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วแสดงความเห็นอย่างพอใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ

“นี่ก็คือพลังแห่งเทคโนโลยี

“อืม… สิ่งที่คุณสละไปนั้นหลีกเลี่ยงได้ค่อนข้างง่าย คุณสามารถใช้วิธีการพวกนี้เพื่อลดผลกระทบได้ แต่ว่าการสละของบางคนนั้น…”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้เธอก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า

“หมดทางช่วย”

โอดิคใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาอย่างช้าๆ

“ผมจะเก็บไว้พิจารณา”

ตอนนี้ในใจเขาเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเจอกับสถานการณ์ที่สูดกลิ่นเปรี้ยวเข้าไปแล้วจามจนทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ลดลง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกเปิดเผยสิ่งที่สละไปจนทำให้คนอื่นรู้เรื่องนี้กันหรอก แต่ด้วยพลัง ‘นิทรารมณ์’ อันน่าหวาดหวั่น เขาจึงไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา จึงทำให้เขาปฏิเสธวิธีดัดแปลงร่างกายโดยอัตโนมัติ ไม่เคยคิดถึงแนวทางนี้มาก่อน

ทว่าในตอนนี้ที่เขาถูก ‘บาทหลวง’ ปลอมหมายหัวเอาไว้ กลับถูกจัดการจนสิ้นท่าไปในพริบตาเดียว กลายเป็นบทเรียนที่แสนเจ็บปวด รู้สึกได้ว่าต้องรีบแก้ไขผลด้านลบของสิ่งที่สละไปโดยเร็วที่สุด

หลังจากตอบคำแล้ว โอดิคก็มองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดอย่างครุ่นคิด

“สิ่งที่คุณสละน่าจะเกี่ยวข้องกับความคิดหรือจิตใจสินะ

“ผมยังมองออกเลยว่าความคิดคุณกระโดดไปมามาก บางครั้งก็ควบคุมตัวเองไม่ได้

“เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่ แต่ในการต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นรู้ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ก็เหมือนตอนที่เจอกับการ ‘สะกดจิต’ ตอนนั้น ความคิดที่กระโดดไปมาของคุณไปขัดจังหวะขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือจะพูดว่าการ ‘สะกดจิต’ คุณนั้นยากกว่าการ ‘สะกดจิต’ ผู้ตื่นรู้คนอื่นในระดับเดียวกันหลายเท่าเลยก็ได้

“ก่อนหน้านี้ผมเคยเจอผู้ตื่นรู้บางคน พวกเขาพูดสิ่งที่ตัวเองสละออกมาในเชิงบวก อืม… ไม่ใช่ว่าสิ่งที่สละทุกอย่างนั้นจะสามารถใช้ในเชิงบวกได้หรอกนะ อย่างที่การสละของผมก็คือแพ้กลิ่นเปรี้ยวน่ะ”

ในเมื่อคนทั้งคู่ต่างก็รู้จุดอ่อนร้ายแรงของตัวเองไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาเรื่องนี้อีก

“ทำให้ผมยิ่งอยากเจอ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงมากขึ้นอีก” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการสละของตนแม้แต่น้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ และยุติการสนทนาในหัวข้อนี้

“คุณรู้ไหมว่าพวกเราจะหาอาวุธควบคุมได้จากที่ไหน อย่างเช่นชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่น่ะ”

โอดิคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ถ้าพวกคุณไปถึงปฐมนคร ผมก็พอจะให้รายชื่อคนที่จะติดต่อได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรอกนะ

“ส่วนในเมืองหญ้าไพรนี่ พวกคุณลองไปติดต่อเถ้าแก่ไนต์คลับ ‘วันนี้’ ที่ชื่อซุนเฟย เขาเป็นผู้นำของกลุ่มตลาดใต้ดินน่ะ

“อืม… เขาอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘นิกายจิตกระจ่าง’”

“ตกลง” เจี่ยงไป๋เหมียนเคยได้ยินไป๋เฉินพูดถึงคนที่มีฉายาว่า ‘ลุงซุน’ มาแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนยังคิดอยู่ว่าจะมีโอกาสเพิ่มความแข็งแกร่งให้หลงเยว่หงได้ไหม

หลังจากขอยืมหนังสือเสร็จเธอก็ออกจากห้องสมุด และมาถึงริมขอบของจัตุรัสกลาง ทันใดนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันตาค้างไปในทันที

หลงเยว่หงยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มคนชายหญิง บ้างผอมแห้งบ้างกำยำ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสาธิตการต่อสู้ประชิดตัวให้ดู

“ทำอะไรของเขากันเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาอย่างแปลกใจ

* * * * *

หลังจากสอนจบไปรอบหนึ่ง หลงเยว่หงก็เดินเข้าไปหาไป๋เฉิน หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก

“หลังจากการจลาจล ทุกคนก็กระตือรือร้นมีใจอยากฝึกฝนตนเอง พัฒนาทักษะการต่อสู้ของตัวเอง…” เขาถอนใจออกมาจากใจจริง

ไป๋เฉินเงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ทำไมนายถึงรับภารกิจเป็น ‘โค้ชเฉพาะกิจ’ นี่ล่ะ”

หลงเยว่หงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย

“ก็แบบว่า… ฉัน… ฉันก็แค่คิดว่า ทุกคนเป็น ‘นักล่าทางการ’ กันหมดแล้ว ส่วนฉันยังเป็นแค่ ‘นักล่ามือใหม่’ อยู่เลยน่ะ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ได้”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท