รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 179 “เข็มผิดทิศ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 179 “เข็มผิดทิศ”

ผิวทะเลสาบกว้างใหญ่สุดสายตาทางด้านซ้ายของรถถูกลมพัดจนเกิดคลื่นเป็นระลอก ด้านข้างมีอาคารจากโลกเก่าตั้งอยู่เรียงราย

อาคารเหล่านั้นบ้างก็พังถล่มลงมา บ้างก็ชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก บ้างก็ถูกปกคลุมไปด้วยพืชที่เหี่ยวเฉา บางครั้งบางคราวก็เอนล้มลง

“ที่นี่คือชุมชนศิลาแดงงั้นเหรอ” หลงเยว่หงที่กำลังขับรถอยู่ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

พวกเขาขับรถออกจากเมืองหญ้าไพรมุ่งหน้าลงใต้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จากตำแหน่งพิกัดคร่าวๆ ที่ ‘ลุงซุน’ และหัวหน้าคาราวาน ‘คนไร้ราก’ เฟอร์ลิน ให้มารวมถึงเส้นทางที่พวกนักล่าซากอารยะสองสามกลุ่มที่เจอระหว่างทางบอกไว้ ในที่สุดก็ทำให้พวกเขาหาทะเลสาบพิโรธจนเจอได้ถึงแม้จะยากลำบากไปบ้าง จากนั้นก็ตั้งเป้าหมายมุ่งตรงมาที่พื้นที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

พวกเขาก็ติดตามร่องรอยของมนุษย์มาเรื่อยๆ จนพบกับซากเมืองริมทะเลสาบแห่งนี้

การที่ไม่มีดาวเทียมช่วยระบุพิกัดตำแหน่ง ไม่มีไกด์นำทาง พวกเขาจึงได้แต่ต้องอาศัยวิธีการงมไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ไป๋เฉินนั้นแม้จะรู้จักและเข้าใจรายละเอียดของชุมชนศิลาแดงอยู่บ้าง ทว่าไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้แม้แต่ครั้งเดียว ก่อนหน้านี้การเคลื่อนไหวของเธอจำกัดเขตอยู่เพียงแค่อาณาบริเวณ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ‘ปฐมนคร’ และ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ เท่านั้น

ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องปกติของนักล่าซากอารยะและคนเร่ร่อนแดนร้าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ลงหลักปักฐาน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อาศัยซากปรักเพื่อหาเลี้ยงชีพ ทว่าก็ยังจำกัดอยู่เพียงแค่ในบางพื้นที่ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากข้อมูล วัตถุปัจจัย สายสัมพันธ์ ความกล้าหาญ และประสบการณ์ของแต่ละคน

ไป๋เฉินซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับเองก็ยังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง

“ที่นี่เหมือนถูกทิ้งร้างมานานแล้ว”

“อึพวกนั้นยังใหม่อยู่ นี่หมายความว่ามีคนจำนวนมากที่ยังเคลื่อนไหวอยู่แถวนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ใช่คนจากชุมชนศิลาแดง แต่ก็น่าจะรู้ว่าชุมชนศิลาแดงอยู่ที่ไหน” ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังพูดด้วยความมั่นใจ

เขามีความมั่นใจในร่องรอยที่ตนเองพบเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อออกจากเมืองหญ้าไพร เจี่ยงไป๋เหมียนแนะนำให้ขายรถให้กับคาราวาน ‘คนไร้ราก’ เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการซื้อชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร

แต่เนื่องจากซางเจี้ยนเย่าเกาะรถจี๊ปเอาไว้แน่น เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือ บอกกับทุกคนว่าพวกเขาเป็นสหายกัน สหายย่อมไม่อาจทอดทิ้งไม่อาจสละทิ้งได้ ดังนั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงทำได้เพียงต้องขายรถออฟโรดกันกระสุนที่สวี่ลี่เหยียนให้มา

และเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพรถจี๊ปให้แข็งแกร่งพอที่จะอยู่รอดและเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เจี่ยงไป๋เหมียนจึงต้องใช้วัตถุปัจจัยไปเกือบครึ่งหนึ่งเพื่อการนี้ เธอขอให้พวกเฟอร์ลินเพิ่มกระจกกันกระสุน เสริมเกราะให้หนาขึ้น และดัดแปลงเครื่องยนต์ไฟฟ้าให้ด้วย

แน่นอนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเตรียมอาหารและกระสุนที่จำเป็นสำหรับการเดินทางด้วยตัวเอง ทำเพียงแค่รายงานกลับไปยังบริษัทโดยตรงก็ได้รับวัตถุปัจจัยชุดใหญ่มาจากทางเฉินซวี่เฟิงแล้ว

งานหลวงก็ต้องใช้งบหลวงสิ!

เมื่อได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือขึ้นมาบีบจมูก

“เข้าไปในซากเมืองกันก่อนก็แล้วกัน ลองดูรอบๆ ว่าจะเจออะไรบ้างหรือเปล่า”

พูดจบเธอก็เหลือบมองหนังสือในมือซางเจี้ยนเย่า

“อ่านแล้วได้อะไรบ้างไหม”

ก่อนออกเดินทาง เธอใช้ ‘สิทธิพิเศษ’ ของซางเจี้ยนเย่าเพื่อขอยืมหนังสือที่ไม่ค่อยมีคนสนใจมาจำนวนหนึ่งจากห้องสมุดสาธารณะเมืองหญ้าไพร เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บ

“ได้มาเยอะเลยล่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามองหลงเยว่หงขับรถตรงเข้าไปในซากเมือง

“โอ้” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความอยากรู้ออกมาในน้ำเสียง

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“การแพทย์ไม่ใช่ว่าจะสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ทุกเรื่อง”

เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับงุนงง

“หมายความว่ายังไง”

“ต้องมีองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีจิตวิญญาณแห่งการแสวงหา มีความกล้าหาญในการทดลอง มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการถ่ายทอดความรู้ พวกนี้ถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิทยาการแพทย์นั้นเป็นเพียงแค่ด้านหนึ่งเท่านั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมาด้วยความมั่นใจ

“งั้นนายมีวิธีใหม่ในการรับมือกับ ‘เกาะโรคภัย’ หรือยัง”

ช่วงระหว่างนี้ซางเจี้ยนเย่ามักจะปรึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ‘เกาะโรคภัย’ กับเธออย่างเปิดเผย ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องช่วยเขาปิดบังเรื่องนี้จากไป๋เฉินกับหลงเยว่หง

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างเคร่งขรึม

“ยังไม่มี

“สำหรับแนวทางนี้ ในตอนนี้ทำได้เพียงแค่ต้องพยายามให้มากขึ้น”

“ไม่เลว ถึงแม้จะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังรักษาจิตวิญญาณความมุ่งมั่นเอาไว้อย่างไม่ย่อท้อ” เจี่ยงไป๋เหมียนให้กำลังใจออกมาหนึ่งประโยค

ไป๋เฉินมองดูซากอาคารซึ่งผนังคอนกรีตแตกร้าวจนเห็นเหล็กเส้นที่อยู่ข้างใน เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสนอความคิดเห็นของตนเองออกมา

“นายลองป่วยเป็นไข้หน่อยๆ ดูไหม เผื่อจะได้มีประสบการณ์ตรงของการเจ็บป่วยบ้าง”

“ที่จริงฉันก็เคยคิดเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน” ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเคยปฏิเสธแนวคิดอะไรแบบนี้ของซางเจี้ยนเย่ามาก่อน แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ถึงกับละทิ้งไปโดยสิ้นเชิง “แต่สาเหตุหลักคือเจ้าหมอนี่น่ะถึกเป็นวัว ไม่มีทางป่วยด้วยโรคเล็กๆ น้อยๆ ได้หรอก แต่ถ้าฉีดเชื้อโรคเข้าตัวตรงๆ ก็อาจจะเกิดเหตุนอกเหนือการควบคุมได้ง่ายๆ เฮ้อ… ถ้าหาวิธีไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องรอกลับไปถึงบริษัทก่อนถึงค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่”

หลงเยว่หงอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากไม่พูดอะไรเลย

ซางเจี้ยนเย่าพูดขึ้นในวินาทีถัดมา

“งั้นก็ให้หลงเยว่หงเป็นหวัดก่อน จากนั้นค่อยให้เขาแพร่เชื้อใส่ผม”

“แล้วมันต่างกันตรงไหนยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาไปคำหนึ่ง “เอาละ ใส่ใจสภาพแวดล้อมเข้าไว้”

ในเวลานี้รถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าที่ดูเก่าและมีรอยถลอกเล็กน้อยก็ขับเข้าไปในซากเมืองซึ่งทอดยาวไปตามริมฝั่งทะเลสาบ

ซากปรักหักพังของโลกเก่านั้นมักจะยาวไปจนสุดสายตา กว้างใหญ่เกินจะจินตนาการถึง

สถานที่แห่งนี้คล้ายคลึงกับซากเมืองที่อยู่ใกล้กับค่าย ‘คนไร้ราก’ อาคารมากมายหลายหลังพังถล่มลงมา ถนนทรุดตัว ไม่มีสิ่งมีค่าหลงเหลือ เป็นที่รกร้างและเงียบเชียบวังเวง

“ในตอนที่โลกเก่ายังอยู่ ที่นี่คงเป็นสถานที่คึกคักมีชีวิตชีวามาก…” หลงเยว่หงหวนรำลึกถึงภาพของซากปรักบึงหมายเลข 1 หลังจากที่ ‘ไฟฟ้าสว่าง’ ขึ้น

ที่นั่นยังเป็นภาพจำลองของเมืองในโลกเก่าไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ

“อารยธรรมของมนุษยชาติน่ะ บางครั้งก็เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว สูญสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงเกินกว่าที่พวกเราจะคาดคิด” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างมองดูเมืองที่ไม่รู้ว่าตายไปนานแค่ไหนแล้ว ทอดถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์

ไป๋เฉินคอยสังเกตอย่างระมัดระวัง

“อาคารพวกนี้พังถล่มลงมาหลายปีแล้ว ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น”

แต่เนื่องจากเธอไม่ใช่มืออาชีพ จึงไม่อาจทราบว่าหลายปีนั้นคือกี่ปีกันแน่

“อย่างน้อยก็ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าชุมชนศิลาแดงเพิ่งถูกบุกทำลาย อืม ข้อสันนิษฐานตอนนี้ก็คือที่นี่เป็นชุมชนศิลาแดงจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูคอนกรีตสีควันบุหรี่อันไร้ซึ่งชีวิต แท่งเหล็กเส้นที่ระเกะระกะ เศษกระจกที่อยู่ในกอวัชพืช และกรอบหน้าต่างโล่งๆ ที่ขึ้นสนิม

พวกเขาขับอ้อมซากเมืองที่ตายแล้วนี้ไปร่วมสิบยี่สิบนาที แต่ก็ไม่พบร่องรอยของการตั้งนิคมของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย

“หรือว่าพวกเราจะมาผิดทาง ที่จริงแล้วชุมชนศิลาแดงอยู่ที่อื่นที่ไม่ไกลจากแถวๆ นี้” หลงเยว่หงซึ่งกำลังขับรถอยู่พูดถึงการตัดสินใจของตนเองออกมา “ซากเมืองนี่มันใหญ่มาก ดูไม่เหมือนเป็นชุมชนเท่าไหร่ บางทีพวกเขาอาจจะมาหาข้าวของมีค่าที่นี่บ่อยๆ ถึงได้มีร่องรอยเหลือทิ้งไว้แบบนี้”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินประโยคนี้ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นกระปรี้กระเปร่าราวกับว่าสุดท้ายก็ยืนยันได้แล้วว่าที่นี่คือชุมชนศิลาแดงจริงๆ

“เฮ้!” หลงเยว่หงรู้ว่าความหมายของเจ้าหมอนี่คืออะไร จึงอดบ่นออกมาคำหนึ่งไม่ได้

เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจการ ‘อนุมาน’ ของซางเจี้ยนเย่าได้ว่าทำไมเขาถึงคิดเช่นนี้

หลงเยว่หงนั้นมีชะตาชีวิตไม่ดี โชคก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นเส้นทางที่เขาเลือกและคำพูดของเขาจึงมักจะเป็นตามปากเสมอ แต่เป็นในทางตรงกันข้ามนะ

และในกรณีนี้ เมื่อเขาบอกว่าสถานที่นี้ดูไม่เหมือนว่าจะเป็นชุมชนศิลาแดง ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าที่นี่นั่นแหละคือชุมชนศิลาแดง!

ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตำหนิซางเจี้ยนเย่าเพื่อปกป้องความภูมิใจในตัวเองของหลงเยว่หง สีหน้าเธอก็พลันแปลกไปเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก

เธอกระแอมออกมาคำหนึ่งแล้วชี้ไปที่อาคารสูงริมถนนหลังหนึ่งซึ่งยังไม่ถึงกับพังถล่มลงมาจนหมด แต่ก็อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมขนาดหนัก เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการถูกยิงถล่ม

“ข้างในนั้นมีคนอยู่”

“ใช่!” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นด้วยอย่างออกนอกหน้า

พวกเขาต่างก็ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าและรับรู้จิตสำนึกของมนุษย์จากภายในอาคารนั้นได้พร้อมๆ กัน นั่นเป็นระยะห่างแนวตรงไม่เกิน 15 เมตร

สีหน้าหลงเยว่หงก็พลันกลายเป็นพูดไม่ออกบอกไม่ถูกทันที

“บังเอิญ เป็นเรื่องบังเอิญ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแห้งๆ ปลอบใจเขาออกมาคำหนึ่ง “หยุดรถก่อน ฉันกับซางเจี้ยนเย่าจะเข้าไปหาเขาเพื่อถามทาง”

ซางเจี้ยนเย่าเองก็ปลอบใจหลงเยว่หงเช่นกัน

“ตอนนี้ฉันก็ยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกว่านายมีความสำคัญต่อทีมเรามากขนาดไหน

“นายเป็นเข็มผิดทิศของพวกเรา!”

เข็มผิดทิศอะไรของนาย มันมีแต่เข็มทิศไม่ใช่เหรอ! ในห้วงความคิดของหลงเยว่หงปรากฏคำถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

แต่ในทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที ในฐานะเพื่อนสนิทของซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หงเข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร

เข็มทิศมีไว้เพื่อชี้ทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนเข็มผิดทิศนั้นจะชี้ทิศทางตรงกันข้าม!

หลงเยว่หงพลันรู้สึกคันฟันขึ้นมาทันที

“นายต้องระวังตัวไว้หน่อยนะ ไม่แน่ว่าวันดีคืนดีเสี่ยวหงอาจจะแอบยิงนายข้างหลังก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนผลักประตูเปิดแล้วลงจากรถไปพลางพูดกับซางเจี้ยนเย่าไปด้วย

ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่หน้าต่างฝั่งคนขับรถ พูดออกมาจากใจจริง

“ถ้านายไม่อยากให้ฉันเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นก็บอกกันตรงๆ ก็ได้นะ”

พูดจบเขาก็ยิ้มออกมา

“แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่านายสามารถเอาชนะฉันได้สักครั้งตอนที่ฝึกต่อสู้ประชิดกัน”

“นายเป็นพวกอันธพาลชั้นประถมสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินผ่าน แล้วแสดงความเห็นออกมาประโยคหนึ่ง

หลงเยว่หงนิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะมองมาที่ซางเจี้ยนเย่า

“ฉันจะฝึกให้หนักขึ้น”

ในการฝึกฝนต่อสู้ระยะประชิดครั้งก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนัก แต่จากการรู้จักตัวเองมาเนิ่นนาน ทำให้เขายอมรับความเป็นคน ‘ระดับปานกลาง’ ของตัวเอง ไม่ได้มีความปรารถนาที่อยากจะชนะใคร

ครั้นเมื่อได้เห็นซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้าไปในอาคารริมถนนแล้ว ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็ถืออาวุธตนเองเดินลงจากรถเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ รวมถึงหลังคาที่อาจมีพลซุ่มยิงซ่อนตัวอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อคนทั้งสองสลับตำแหน่งกัน ไป๋เฉินก็กระซิบกับเขา

“แต่ละคนก็ต้องมีเวลาที่โชคดีกันบ้างล่ะ”

หลงเยว่หงอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะยิ้มออกมา

“ขอบใจ”

ภายในอาคาร เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าล็อคเป้าอย่างรวดเร็ว เป็นห้องซึ่งอยู่ริมโถง

จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องเข้าไป ข้ามพื้นที่ซึ่งมีก้อนหินสีเทาและเศษกระจกเกลื่อนกลาดไปจนถึงที่นั่น

หลังจากสบสายตากัน ซางเจี้ยนเย่าก็อ้อมไปเฝ้าที่ทางออกอีกทางของห้อง

รอจนกระทั่งเขาเข้าประจำที่แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าไปในตำแหน่งที่คนในห้องไม่สามารถยิงออกมาโดนได้ แล้วตะโกนเสียงดัง

“ออกมาเถอะ พวกเราเจอตัวคุณแล้ว”

ห้องซึ่งอยู่ด้านหลังบานประตูไม้ที่ปิดสนิทนั้นเงียบกริบราวกับไม่มีอะไรในนั้น

ผ่านไปสิบกว่าวินาที ประตูด้านข้างของห้องซึ่งอยู่ด้านหน้าซางเจี้ยนเย่าก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างเงียบเชียบ

จากนั้นชายคนหนึ่งในวัยยี่สิบกว่า กำลังก้มตัวเหมือนเป็นแมว ค่อยๆ คลานออกมาอย่างช้าๆ

แล้วเขาก็พลันชะงัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส

“เจอตัวคุณแล้ว!”

‘มอสน้ำแข็ง’ ในมือของซางเจี้ยนเย่าจ่ออยู่ที่หน้าผากของชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว

ผู้ชายคนนั้นรีบยกสองมือขึ้นทันที แสดงท่าทียอมจำนนอย่างไม่บิดพลิ้ว

“ผมแพ้แล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกแปลกใจ

“ทำไมคุณถึงพูดว่าแพ้แล้วล่ะ

“พวกเราไม่ได้แข่งอะไรกันเสียหน่อย”

ชายคนที่ถูกเขาใช้ปืนจ่อหน้าผากอยู่ก็ตอบออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“นี่เป็นกฎของพวกเราชุมชนศิลาแดง แล้วก็เป็นคำสอนของนิกายด้วย”

“นิกายเหรอ” ดวงตาซางเจี้ยนเย่าเป็นประกายขึ้นมาทันที “คำสอนของนิกายคุณก็คือให้เล่นซ่อนหางั้นเหรอ”

ชายคนนั้นนิ่งอึ้งไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบ

“ไม่ใช่สักหน่อย ให้ ‘ตื่นตัวอยู่ตลอด ซ่อนตัวอยู่เสมอ’ ต่างหาก”

ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถามออกมา

“แล้วมันต่างจากที่ผมพูดตรงไหน”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท