รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 181 ภารกิจ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 181 ภารกิจ

พนักงานที่สวมหน้ากากเสือไม่ได้พูดอะไรมากและพูดอย่างเร็วปรื๋อราวกับต้องการรีบจบการแนะนำให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้คนจำน้ำเสียงของตนได้

“พอเลือกภารกิจแล้ว ก็เอาตรานักล่ามายื่นให้นะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เธอค่อนข้างประทับใจในธรรมเนียมของชุมชนศิลาแดงเป็นอย่างมาก จึงไม่รู้สึกขุ่นข้องหมองใจที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่แยแส

“ถูกต้อง” พนักงานสวมหน้ากากเสือผงกศีรษะอย่างแรง

ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ เดินย้อนกลับไปที่หน้าจอแขวนขนาดใหญ่ เกาดี้ที่สวมหน้ากากผ้าก็ถามขึ้น

“ผมไปได้หรือยัง”

“ได้สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

เกาดี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเน้นสองสามประโยค

“หลังจากที่พวกคุณออกจากชุมชนศิลาแดงไปแล้ว ห้ามบอกใครเรื่องทางเข้าใต้ดินเด็ดขาด บอกได้เพียงแค่ตำแหน่งคร่าวๆ เท่านั้น

“คนที่เข้ามาที่นี่ได้จะต้องหาตัวชาวชุมชนศิลาแดงที่ซากเมืองด้านนอกให้เจอเสียก่อน แล้วให้เขาเป็นคนนำทางเข้ามา”

ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย

“แล้วถ้าหาเจอได้เองโดยไม่มีคนนำทางมาล่ะ”

“ยามจะกักตัวคุณไว้แล้วสอบปากคำว่าคุณรู้ตำแหน่งของทางเข้าใต้ดินมาจากไหน จากนั้นก็จะขึ้นบัญชีดำสำหรับคนและกองกำลังที่ทำข้อมูลรั่วไหล” ราวกับว่าเกาดี้พูดเรื่องนี้มาหลายครั้งจึงพูดได้อย่างคล่องปากไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย “ถ้าหากว่าโชคดีจริงๆ ก็จะให้คุณกลับไปก่อน ไปหาชาวชุมชนศิลาแดงให้เจอสักคนแล้วค่อยกลับมาใหม่”

“ดูเป็นพิธีกรรมจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่าชื่นชม

เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยกับเขาในแง่นี้ เพราะเธอดูยังไงก็มองไม่เห็นว่าวิธีการแบบนี้มันจะลดอันตรายจากภายนอกได้ยังไง

มันใกล้เคียงกับความเป็นพิธีกรรมทางศาสนามากกว่า

ในตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่น้องร่วมสาบานของซางเจี้ยนเย่า หัวหน้าคาราวานการค้า ‘คนไร้ราก’ เฟอร์ลิน ถึงไม่ได้บอกตำแหน่งอย่างเฉพาะเจาะจง

เกาดี้ผงกศีรษะอย่างภาคภูมิใจเมื่อได้ยินคำชมจากซางเจี้ยนเย่า

“นี่สามารถสร้างความชื่นชมให้ผู้ครองกาล ‘ธชียมโลก’ ได้”

เขายอมรับออกมาตามตรงว่านี่คือพิธีกรรม

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาอีกคำถามหนึ่ง

“แล้วถ้าหากว่าชาวชุมชนทุกคนมีทักษะการซ่อนตัวในระดับวีล คนนอกหายังไงก็ไม่เจอ แบบนั้นแล้วก็เท่ากับว่าจะไม่มีนักล่าคนใหม่หรือพ่อค้าของเถื่อนคนใหม่เข้ามาในชุมชนศิลาแดงนะสิ

“ถ้าเป็นแบบนี้ พลังชีวิตของชุมชนศิลาแดงจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลง สุดท้ายก็ถูกทอดทิ้ง”

ถึงขนาดจำชื่อได้แม่นขนาดนี้… นี่นายคิดจะแข่งเล่นซ่อนหากับคนชื่อวีลนั่นหรือไง… เจี่ยงไป๋เหมียนอดค่อนแคะในใจไม่ได้

เกาดี้เงียบไปสองสามวินาที เหมือนกับว่าไม่เคยคิดถึงปัญหาในแง่นี้มาก่อน

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาถึงจะพูดออกมา

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะไปถึงระดับของวีลได้

“นอกจากนั้น… นอกจากนั้น ถ้าทุกคนลืมชุมชนศิลาแดงไปจริงๆ งั้นก็แสดงว่าพวกเราซ่อนตัวกันได้ดี จะต้องได้รับรางวัลจากองค์ ‘ธชียมโลก’ แน่นอน

“พวกเรามีพื้นที่เพาะปลูกอยู่รอบๆ ที่ซ่อน ในทะเลสาบก็มีปลาอยู่มาก ถึงจะถูกคนอื่นลืมก็ไม่อดตายหรอก”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ

“แต่พวกคุณจะไม่มีน้ำมันเชื้อเพลงและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่นๆ พวกคุณอยากย้อนเวลากลับไปยุคเกษตรกรรมของโลกเก่าหรือไง

“คนที่เคยมีความสุขจากความสะดวกสบายของอารยธรรมคงยากจะปรับตัวได้”

“ในภายภาคหน้า องค์เทพี ‘ธชียมโลก’ จะชี้นำเราไปสู่โลกใหม่ ที่ซึ่งไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ต้องคอยตื่นตัวระแวดระวังอะไรอีกต่อไป” เกาดี้ตอบอย่างหนักแน่น

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจเกลี้ยกล่อมเกาดี้ได้ อีกทั้งก็ไม่ได้อยากทำด้วย เธอจึงโบกมือให้

“คุณไปได้แล้วล่ะ”

“ขอบคุณ” เกาดี้ที่สวมหน้ากากผ้ามองดูพวกเขาแล้วค่อยๆ เดินถอยหลังไปทีละก้าวจนออกจากสมาคมนักล่าไป

หลังจากที่ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไกลมากพอ เขาก็หันขวับ หมุนตัวกลับหลังหันวิ่งเข้าไปที่ทางหนีไฟด้านข้าง

“นายคิดว่าไง” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาแล้วถามขึ้นหนึ่งประโยค

ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับมาทันที

“ยึดมั่นถือมั่นตายตัวเกินไป

“ห่วงหัวไม่ห่วงหาง เอาแต่คอยระวังพวกเรา แต่ไม่คิดให้ถี่ถ้วนว่าอาจเกิดอันตรายจากด้านหลังหรือเปล่า

“ถ้ารู้ก่อนนะ ผมจะทิ้งเปลือกกล้วยเอาไว้ พอเขาเหยียบลื่นล้มกระแทกพื้น จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”

เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“แต่นายต้องมีกล้วยก่อนนะ”

ในฤดูกาลนี้ ด้วยสภาพภูมิอากาศย่านทะเลสาบพิโรธ ไม่มีทางที่จะมีผลไม้ชนิดนี้ได้

เธอไม่ได้ถกเถียงเอาชนะซางเจี้ยนเย่า แต่กลับผงกศีรษะเห็นด้วย

“ถึงแม้จะเป็นไปได้ว่าเกาดี้สังเกตสภาพแวดล้อมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยไม่กลัวว่าจะไปเหยียบอะไรที่ไม่ควรเหยียบ แต่การคิดเผื่อเรื่องนี้ไว้ก็ไม่เสียหลาย”

ระหว่างที่พูดก็มองไปยังหลงเยว่หง

“แล้วนายล่ะ คิดว่าไง”

หลงเยว่หงขบคิดก่อนตอบ

“แนวคิดของพวกเขาเนี่ย ตอนแรกที่ฟังก็เหมือนว่าสมเหตุสมผลอยู่นะ แต่พอยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามันสุดโต่งเกินไปหน่อย”

“อะไรที่เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นไปอย่างสุดโต่งก็จะกลายเป็นไม่ดีไป” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “นี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมนิกายต่างๆ ถึงเผยแพร่ไปในแดนธุลีได้ พวกเขาใช้สิ่งที่เป็นหลักเหตุผลของโลกเก่ามาใส่ในบรรจุภัณฑ์แบบที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็เสริมสินค้าของตัวเองจับยัดพ่วงลงไปด้วย”

หลังจากประเมินผลความคิดเห็นของหลงเยว่หงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองไป๋เฉินแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“เธอก็พูดออกมาได้นะ”

“ฉันรู้สึกว่าหลักแนวคิดของพวกเขาคล้ายๆ กับปรัชญาบางอย่างของโลกเก่าที่คุณเคยเล่าให้พวกฟัง อืม… ที่บอกว่า ประเทศไม่ต้องใหญ่ ประชากรไม่ต้องเยอะ[1]” ไป๋เฉินครุ่นคิดแล้วพูดออกมา

หลังจากได้ร่วมมือกันในเมืองหญ้าไพรกันไป ในระหว่างทางมายังชุมชนศิลาแดง สมาชิกทั้งสามของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ผ่อนคลายกันมากขึ้นกว่าเดิม เจี่ยงไป๋เหมียนจึงถือโอกาสเล่าความรู้บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับโลกเก่าให้ลูกทีมฟัง

“ใช่แล้ว แต่นั่นก็สุดโต่งเหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วมองดูทุกคน “จำไว้นะว่ามนุษย์น่ะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวอันเล็กจ้อย จะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน จะต้องรวมตัวกัน ถึงจะเรียกว่าเป็นอารยธรรมได้”

แปะ! แปะ! แปะ!

เสียงตบมือของซางเจี้ยนเย่าดังขึ้นตามกำหนดการเป๊ะ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เหลือบแลเขาแม้แต่น้อย

“เอาละ ไปหาภารกิจที่คุ้มค่าให้ลงมือกันเถอะ”

เธอรู้ดีว่าถ้าไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าสร้าง ‘เพื่อน’ ละก็ ด้วยวัตถุปัจจัยของพวกเขาที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนรถออฟโรดกันกระสุนที่สวี่ลี่เหยียนให้มา ซึ่งตอนนี้มีเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว คงไม่มีทางซื้อชุดเกราะเสริมแรงทางทหารมาได้ ต่อให้เป็นชุดเกราะรุ่นเก่าก็ตามที

ดังนั้นแผนของเธอก็คือไปรับภารกิจของสมาคมนักล่าเพื่อเก็บเงินสกุลแข็งสักจำนวนหนึ่ง

ในฐานะหัวหน้าทีม เธอต้องรีดเร้นพลังสมองไปไม่น้อย เพื่อที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความอยู่รอดของสมาชิกทีมทุกคน

ด้วยเหตุนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงแยกกันออกเป็นสองกลุ่ม

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่ายังคงอยู่ที่เดิม มองดูหน้าจอขนาดใหญ่ที่แสดงรายการภารกิจ ส่วนไป๋เฉินกับหลงเยว่หงเดินไปดูที่โต๊ะรอบๆ เพื่อตรวจสอบบันทึกในกระดาษ

“ที่จริงแล้วพวกเราน่าจะให้สวี่ลี่เหยียนที่เป็นพี่น้องของนายช่วยสนับสนุนให้พวกเราสักชุด เขาก็บอกไว้แล้วนี่นาว่าจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็จะจัดหามาให้ยามกับกองกำลังป้องกันเมืองสักสองสามชุด” เจี่ยงไป๋เหมียนจงใจยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

เหตุการณ์ในตอนนั้น มีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารหายไปที่ถนนใต้ จึงแทบจะไม่ได้นำออกมาใช้เลย

โชคยังดีที่พวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่ก่อจลาจลนั่นใช้ของพวกนี้ไม่เป็น

ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ

“ต่อให้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด บัญชีก็ต้องชัดเจน”

“ได้ยินแบบนี้ฉันก็วางใจได้” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

“ถึงแม้ผมจะใจหินกว่าคุณ แต่ก็ยังมีมโนธรรมขั้นพื้นฐานอยู่” ซางเจี้ยนเย่าตอบ

“หือ นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแกล้งแตะหู ไม่คิดจะสนทนาหัวข้อนี้ต่ออีก

เธอรู้ว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังพูดถึงเหตุการณ์จลาจลในเมืองหญ้าไพร ในตอนนั้นตนเองไม่ยอมตัดสินใจให้เด็ดขาดในการลงมือสังหารชายคนที่ฆ่าเถ้าแก่ ‘ร้านบะหมี่เจ้าเก่า’ เพื่อไม่ให้ตัวเองอดตาย

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองแขนซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียน รู้ตัวว่าควรหยุดก่อนจะโดนอะไร

ในระหว่างที่พูดคุยกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นภารกิจที่น่าสนใจ

‘สืบสวนโรคไร้ใจในชุมชนศิลาแดงและพื้นที่โดยรอบ’

“รางวัลคือในระหว่างการทำภารกิจจะได้รับการป้องกันขั้นพื้นฐาน หลังจากนั้นจะได้รับอาหารเพียงพอสำหรับครึ่งเดือน จะเลือกอาหารแบบไหนก็ได้แต่ต้องรับผิดชอบดูแลอาหารกันเอง ฮ่า ฮ่า มันไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว พวกกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้าแบบนายเนี่ย ไม่แน่นะ เขาอาจจะต้องจ่ายเพิ่มอีกเท่าตัวเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างขบขันในขณะที่อ่านเนื้อหาภารกิจ

ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างจริงจัง

“ผมกลัวแค่ว่าพวกเขาอาจจะหาอาหารที่ผมเลือกไม่ได้นะสิ”

“ไหนดูหน่อยสิว่าใครเป็นคนแจ้งภารกิจ… ‘เนตรเพลิง’ ภารกิจพวกนี้ใช้รหัสในการแจ้งภารกิจทั้งหมดเลยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะของชุมชนศิลาแดงเพิ่มขึ้นมาอีกขั้น

แน่นอนว่าภารกิจพวกนี้ได้รับการตรวจสอบจากสมาคมนักล่าแล้ว ดังนั้นความน่าเชื่อถือจึงรับประกันได้

เวลานี้หลงเยว่หงเดินกลับมาพร้อมกับไป๋เฉินแล้ว ในมือถือโน้ตบันทึกมาด้วย

“หัวหน้า งานนี้ก็ไม่เลวนะ” เขายื่นกระดาษในมือให้เจี่ยงไป๋เหมียน

เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบขึ้นมาด้วยความสงสัย รีบกวาดสายตาดูเนื้อหาอย่างรวดเร็ว

‘ภารกิจ: ช่วยเฮลเว็กนำอาวุธที่ถูกปล้นกลับคืนมา

‘คำอธิบายภารกิจ: เฮลเว็ก เจ้าของร้าน ‘ปืน’ มีอาวุธปืนจำนวนหนึ่งซึ่งเพียงพอสำหรับคนหลายร้อย ถูกปล้นที่บริเวณทะเลสาบ อ้างว่ามีโจรเกือบสิบคน

‘ค่าตอบแทน: อาวุธจำนวนหนึ่งในห้า

‘ระดับภารกิจ: ระดับ C แต้มนักล่า 100

‘คำแนะนำ: มีอันตรายในระดับหนึ่ง พยายามรับงานเป็นทีม

‘เงื่อนไขการรับภารกิจ: ระดับนักล่าทางการขึ้นไป

‘ผู้แจ้งภารกิจ: เฮลเว็ก’

“จำนวนหนึ่งในห้าของอาวุธนั่นเลยเหรอ ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะนั่น” ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นประกายเล็กน้อย

“จำนวนคนก็ค่อนข้างเหมาะสมด้วยล่ะ” หลงเยว่หงเสริมขึ้นอย่างยินดี

เขารู้สึกว่าด้วยความแข็งแกร่งของทีมในตอนนี้ การจะสู้แบบหนึ่งต่อสาม หรือหนึ่งต่อสี่ก็ไม่ใช่ปัญหา

ซางเจี้ยนเย่า ‘วิเคราะห์’ ออกมาทันที

“บางทีตอนที่ปล้นนั่น อาจจะยังมีคนแอบซุ่มอีกเป็นร้อยก็ได้”

หลงเยว่หงนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความท้อแท้ปรากฏบนใบหน้าเพียงชั่วแว่บแล้วหายไปทันที เขาถามออกมาอย่างขบขัน

“จะมีคนแอบซุ่มเป็นร้อยได้ไง ในเมื่อมีแค่ 7-8 คนที่ลงมือ”

ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่ลงมือก็ต้องมีขั้นต่ำ 40-50 คนแล้วล่ะ ถึงจะเป็นตรรกะตามปกติของมนุษย์!

“หัวหน้าของพวกมันอาจจะป่วยทางจิตเหมือนฉันก็ได้” ซางเจี้ยนเย่ามั่นใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด ขัดจังหวะเขาขึ้นมา

“ในโลกเก่ามีคำพูดประโยคหนึ่งที่ใช้อธิบายสถานการณ์ลักษณะนี้ พูดว่าไงน้า… อ้อ… ‘หนึ่งคนทำ แปดคนดู’

“นอกจากนั้นนะ คนที่คอยคุ้มกันอาวุธพวกนั้นก็ไม่น่าจะมีน้อย พวกโจรก็ควรต้องแข็งแกร่งไม่แพ้กัน หรือไม่ก็ต้องมีจำนวนมากกว่า 7-8 คน”

เธอไม่รอให้หลงเยว่หงพูดอะไรก็พูดต่อด้วยรอยยิ้ม

“แต่ว่าภารกิจนี้สามารถรับได้ เพียงแต่ต้องตรวจสอบก่อน หากว่าอีกฝ่ายมีคนมากจริงๆ พวกเราก็ยังชวนนักล่าคนอื่นๆ มาร่วมทีมได้”

เธอไม่ได้กังวลว่าจะรับภารกิจไม่ได้ เพราะว่าไป๋เฉินนั้นเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’

หลังจากสื่อสารกันไปรอบหนึ่ง พวกเขาก็ใช้ชื่อ ‘ทีมเฉียนไป๋’ ในการรับภารกิจนี้ ได้รับภาพถ่ายของเฮลเว็ก และรู้ที่ตั้งของร้านเขา ซึ่งอยู่ที่ชั้นสามของอาคารใต้ดิน ใกล้กับทางหนีไฟ C1

และไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ร้าน ‘ปืน’ นั้นไม่มีปืน และไม่มีคน

“ดูท่าแล้วพวกเราคงต้องตามหาคนที่แจ้งภารกิจนี้ให้เจอเสียก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขวาขึ้นมาอย่างจนใจ เหลือบมองภาพถ่ายในมือ

เขาเป็นชายร่างท้วม อายุอานามอยู่ในช่วงสามสิบถึงสี่สิบปี ดวงตาสีเขียว โกนศีรษะล้าน

“ที่นี่ไม่มีคนอยู่” ซางเจี้ยนเย่าสรุปออกมาในทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาแล้วคลี่ยิ้มออกมา

“งั้นทำไมนายยังยืนทื่อเป็นตอไม้อยู่นี่ ไม่ไปหาที่อื่นอีกล่ะ”

“ยังต้องจัดการไปตามขั้นตอนที่ควรทำ อย่าพึ่งพาอาศัยแค่เพียงพลังพิเศษเท่านั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนชมเขาจากใจจริง

ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่ ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็แยกย้ายกันออกไปแล้ว คนหนึ่งมองดูที่ช่องระบายอากาศ ส่วนอีกคนเปิดฝาตู้เก็บของอย่างระวัง

“ที่นั่นมีบางอย่างผิดปกติ” สองสามวินาทีถัดมาไป๋เฉินก็ชี้ขึ้นไป

ที่ตะแกรงช่องระบายอากาศมีผ้าสีดำโผล่ออกมาเล็กน้อย

สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นอย่างฉับพลัน

ในเมื่อซางเจี้ยนเย่าไม่สามารถรับรู้จิตสำนึกของมนุษย์ได้ เธอเองก็ไม่สามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าของมนุษย์ได้เช่นกัน นั่นแสดงให้เห็นได้เพียงประการเดียวเท่านั้น

คนที่ซ่อนตัวอยู่ในช่องระบายอากาศนั้นเสียชีวิตไปแล้ว!

เสียชีวิตไปเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว

* * * * *

[1] ประเทศไม่ต้องใหญ่ ประชากรไม่ต้องเยอะ(小国寡民)เป็นแนวคิดของเหลาจื่อ ศาสดาของศาสนาเต๋า ซึ่งบันทึกอยู่ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 80

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท