รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 183 ผู้ว่าจ้าง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 183 ผู้ว่าจ้าง

เจี่ยงไป๋เหมียนราวกับคาดเอาไว้แล้วว่าเจ้าของโรงแรมจะต้องแย้งกลับมา เธอพูดต่ออย่างยิ้มแย้ม

“ฉันคิดว่าชุมชนศิลาแดงเป็นศูนย์กลางการลักลอบค้าของเถื่อน น่าจะนำเข้าของจำพวกหุ่นจักรกล ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร ชุดเกราะอัจฉริยะ เข้ามาได้ในราคาถูกเสียอีก”

เจ้าของโรงแรมพูดผ่านลำโพงที่ติดตั้งไว้ด้านบนของห้องออกมาอีกครั้ง

“ของพวกนั้นไม่ใช่สินค้าราคาถูก แล้วก็มีความต้องการสูง สำหรับฉันแล้ว ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายวัตถุปัจจัยมากนัก ช่างติดตั้งอุปกรณ์พวกนี้ก็หาได้ค่อนข้างยาก”

“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะด้วยความพอใจ

จากบทสนทนานี้ทำให้เธอมั่นใจได้สองเรื่อง

เรื่องแรกคือในชุมชนศิลาแดงนั้นสามารถหาชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารได้จริงๆ

เรื่องที่สองคือมันเป็นที่ต้องการสูงมาก หากไม่มีสายสัมพันธ์และไม่มีวัตถุปัจจัยมากพอ ก็ไม่มีทางได้รับมา

เมื่อครู่นี้เจี่ยงไป๋เหมียนเจตนาแสดงความคิดเห็นด้วย ‘เสียงดัง’ เพื่อจะได้รู้ข้อมูลนี้

เธอไม่ใช่พวกปากไม่มีหูรูดเหมือนซางเจี้ยนเย่าที่พูดเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้

เจ้าของโรงแรมค่อนข้างระวังตัว เธอไม่ได้พูดอะไรต่ออีก และถามซ้ำคำถามเดิม

“ต้องการกี่ห้อง พักนานกี่คืน”

“สองห้อง เตียงคู่ มีห้องน้ำในตัว ตอนนี้พักหนึ่งสัปดาห์ก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

เจ้าของโรงแรมถามผ่านลำโพงอีก

“คุณจะจ่ายด้วยวัตถุปัจจัยอะไร”

“อาหารกระป๋องทหาร” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล

ในระหว่างที่เดินทางลงใต้มานั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ กินอาหารกระป๋องกันจนเบื่อสุดๆ แล้ว

“ต้องเป็นกระป๋องที่ไม่เคยถูกเปิดมาก่อน” เจ้าของโรงแรมย้ำออกมาหนึ่งประโยค เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนอื่นวางยาพิษได้สำเร็จ

จากนั้นเธอก็พูดต่อ

“แต่ละห้องใช้อาหารหนึ่งกระป๋องต่อหนึ่งคืน รวมเป็น 14 กระป๋อง”

“พวกคุณเปิดประตูโลหะที่ผนังแล้วใส่อาหารกระป๋องลงไป จากนั้นก็ปิดประตู”

เจี่ยงไป๋เหมียนทำท่าบอกให้ซางเจี้ยนเย่าเปิดหน้าต่างบนผนังที่ดูเหมือนบานประตูโลหะ

ภายในนั้นเป็นแท่นโล่ง อีกฝั่งหนึ่งของแท่นก็เป็นประตูโลหะเช่นเดียวกัน

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รีบถอยกลับไป เขาพูดต่ออีก

“พวกเราต้องการหน้ากากด้วย”

“หน้ากากสี่ชุด ถือว่าเป็นของกำนัล” เจ้าของโรงแรมตอบ

ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกยินดี แล้วถามต่อด้วยความสงสัย

“ถ้าผมไม่ถาม คุณจะให้มาไหม”

“ไม่” เจ้าของโรงแรมตอบอย่างเยือกเย็น

ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หลงเยว่หงที่ได้รับสัญญาณจากเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกลังกระดาษเดินขึ้นหน้าสองสามก้าว เขานับจำนวน 14 กระป๋องวางลงบนถาดในแท่นนั้น

จากนั้นเขาก็ปิดประตูเหล็กด้านนอก

มีเสียงดังคลิก ประตูโลหะเหมือนว่าถูกล็อก

ซางเจี้ยนเย่าได้ยินเสียงเสียดสีดังออกมาจากด้านใน เขาถามขึ้นอย่างจริงจัง

“ถ้าหากว่าเธอรับอาหารกระป๋องแล้วเชิดหนีไปเลยล่ะ จะทำยังไง”

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มราวกับเป็นจอมวายร้าย

“งั้นก็เอาปืนบาซูก้าของเรามายิงถล่มผนังให้เป็นรูเลย!”

ผ่านไปหลายสิบวินาที ลำโพงที่ด้านบนของห้องก็ดังขึ้น

“พวกคุณเปิดประตูแล้วหยิบบัตรอิเล็กทรอนิกส์กับหน้ากากออกมาได้แล้ว”

ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังยืนเฝ้าผนัง เปิดประตูโลหะออกอย่างตื่นเต้น

ในถาดไม่มีอาหารกระป๋องแล้ว มีบัตรอิเล็กทรอนิกส์สองใบในซองพลาสติกสีขาวกับหน้ากากผ้าวางซ้อนกันอยู่

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ชายตามองบัตรอิเล็กทรอนิกส์แม้แต่น้อย เขาตรงเข้าไปหยิบหน้ากากขึ้นมาสะบัดคลี่ออก แล้วตั้งหน้าตั้งตาเลือกอย่างจริงจัง

หน้ากากทั้งสี่นั้นมีหลวงจีนรูปงาม วานรหน้าขนมีปากยื่น สุกรอ้วนรูจมูกใหญ่จนยัดหัวเข้าไปได้ และชายดุร้ายหนวดเคราเต็มหน้า

“ไม่ดี… ไม่ดี…” ซางเจี้ยนเย่าแยกเอาลายหลวงจีนกับผู้ชายออกมาก่อน

แน่นอน นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่ามันธรรมดาเกินไป

หลังจากมองเปรียบเทียบแล้ว เขาก็เลือกเอาภาพลิงที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาสวม

เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้าอย่างจนใจ

“นายไม่เคยเห็นลิงตัวเป็นๆ สักหน่อย ไม่มีทางเลียนแบบท่าทางมันได้หรอก”

“นั่นสินะ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้ามาใกล้แล้วเขี่ยหน้ากากหมูอ้วนออกเป็นอย่างแรกทันที

สุดท้ายเธอก็เลือกหน้ากากที่เป็นหลวงจีนรูปงาม

หลงเยว่หงพยายามสะกดความร้อนรน แล้วพูดกับไป๋เฉินอย่างเจียมตัว

“เธอก่อนเลย”

ไป๋เฉินไม่มัวเกรงใจ หยิบหน้ากากที่เป็นรูปชายดุร้ายขึ้นมา

หลงเยว่หงถอนหายใจเงียบๆ ทำได้เพียงแต่ยอมรับผลแต่โดยดี

“หน้ากากพวกนี้ทำให้ฉันนึกถึงบางเรื่องของโลกเก่าขึ้นมาได้[1]” เจี่ยงไป๋เหมียนเอื้อมมือไปหยิบบัตรอิเล็กทรอนิกส์พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้พวกนายฟัง”

บนบัตรอิเล็กทรอนิกส์สองใบนั้นมีป้ายกำกับไว้ ใบหนึ่งคือ ‘05’ ส่วนอีกใบคือ ‘06’

ฟังคำอธิบายของเจ้าของโรงแรมแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็ขับรถออกจากชั้นใต้ดินของชุมชนศิลาแดง แล้วอ้อมเนินเขาไปอีกฟากหนึ่ง

ที่นี่เป็นที่ราบซึ่งล้อมด้วยต้นไม้ มีห้องพักแบบง่ายๆ สีฟ้าขาวเรียงรายอยู่หลายแถว

ในขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว บริเวณโดยรอบนั้นเย็นเยียบเงียบสงัดประหนึ่งว่าไร้ซึ่งผู้คน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยงไป๋เหมียนหรือซางเจี้ยนเย่าต่างก็รู้ว่ามีคนกำลังซ่อนตัวอยู่ในละแวกนี้คอยจับตาดูพวกเขาอยู่

ห้อง ‘05’ และ ‘06’ อยู่ใกล้กับเนินเขา มันค่อนข้างกว้างขวาง นอกจากเตียงเดี่ยวสองเตียง โต๊ะ เก้าอี้ โซฟาแล้ว ก็ยังมีห้องน้ำส่วนตัวไว้อาบน้ำอีกด้วย

“พักผ่อนกันเสียหน่อย แล้วค่อยไปจัดการเรื่องปากท้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนข้างพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมอันเรียบง่ายของห้องพักโรงแรม ยังไม่อยากเข้าไปในชุมชนศิลาแดงเพื่อไปตามหาเถ้าแก่ร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่

“รับทราบ หัวหน้า!” หลงเยว่หงกับไป๋เฉินตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ส่วนซางเจี้ยนเย่ามีท่าทีเศร้าใจเล็กน้อย

* * * * *

จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท อากาศเย็นชื้นก็ไหลเข้ามาในห้อง ทำให้หลงเยว่หงที่กำลังนั่งฟังเรื่องเล่าจากโลกเก่าเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา

เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยว่าทำไมถึงไม่เอาชุดมาเพิ่มให้มากกว่านี้

แล้วในตอนนี้ประตูห้อง ‘05’ ก็ถูกคนเคาะ

ซางเจี้ยนเย่าซึ่งรับรู้บางอย่างได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วจึงสวมหน้ากากลิงรอไว้พร้อม เขาเดินมาที่หน้าประตูห้องแล้วถามขึ้น

“เจี๊ยกๆๆ”

“…” คนที่อยู่นอกประตูห้องตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจอย่างจนใจ

“พูดภาษาคนสิ”

นายจะพูดภาษาลิงทำไมยะ!

ซางเจี้ยนเย่ากลับมาเป็นสภาวะปกติทันที

“ใคร”

“เฉียนไป๋อยู่ไหม” ชายที่อยู่ด้านนอกถามด้วยภาษาแดนธุลี

เฉียนไป๋ก็คือชื่อที่ไป๋เฉินลงทะเบียนไว้กับสมาคมนักล่า

“มาหาฉันมีธุระอะไร” ไป๋เฉินลุกขึ้นยืนแล้วสวมหน้ากาก

ชายข้างนอกลดเสียงลง

“มีภารกิจที่อยากให้คุณรับ”

“ทำไมล่ะ” ไป๋เฉินถาม

“เพราะคุณเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’ กำลังจะกลายเป็น ‘นักล่าอาวุโส’” ชายที่อยู่นอกประตูอธิบายอย่างคร่าวๆ

ไป๋เฉินเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียน เห็นเธอผงกศีรษะเล็กน้อย จึงหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“เปิดประตูเถอะ”

ซางเจี้ยนเย่าเปิดประตูผางออกมาแล้วยื่นใบหน้าซึ่งสวมหน้ากากลิงชะโงกออกไป

ชายด้านนอกนั้นสูงประมาณ 170 เซนติเมตร สวมเสื้อคลุมสีดำ หน้ากากที่มีแถบสีดำบนพื้นสีขาว เมื่อเห็น ‘ลิง’ ที่ดูน่ากลัว เขากลับไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย

ที่ชุมชนศิลาแดงนั้น นี่คือ ‘มารยาท’ ขั้นพื้นฐาน

มีหน้ากากอะไรบ้างที่เขาไม่เคยเห็น

หลังจากเข้าประตูมาแล้ว ชายคนนี้ก็ยกสองมือไขว้กันไว้ด้านหน้า ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วพูด

“ใจที่ระวังจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์”

“คุณเป็นคน ‘นิกายตื่นตัว’ เหรอ” ไป๋เฉินเป็นคนเริ่มการสนทนา ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนทำตัวเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ

ชายสวมเสื้อคลุมและหน้ากากผงกศีรษะ

“ผมชื่อเรนาโต้ เป็นมุขนายกของนิกายตื่นตัวในชุมชนศิลาแดง”

“เชิญนั่งก่อน” ไป๋เฉินชี้ไปที่โซฟาที่ว่างอยู่

ซางเจี้ยนเย่ายังคงเฝ้าอยู่ที่ประตู เขายืนกอดอกทำท่าเหมือนกับว่าฉันเป็นอันธพาลเฝ้ายามที่ถูกจ้างมา

เมื่อเรนาโต้นั่งลงเรียบร้อย ไป๋เฉินก็เอ่ยปากถาม

“ในฐานะที่เป็นนิกายหลักของชุมชนศิลาแดง พวกคุณก็น่าจะมีความแข็งแกร่งไม่น้อย แล้วทำไมยังมาจ้างฉันกับทีมอีกล่ะ”

เรนาโต้เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ

“มีบางเรื่องไม่สะดวกให้คนในนิกายรู้ ดังนั้นเรื่องนี้ผมก็เลยไม่ได้ทำผ่านสมาคมนักล่าด้วย”

“ถ้ายากเกินไป งั้นก็เลิกพูดได้เลย” ไป๋เฉินสื่อสารออกมาตามลักษณะของตัวเอง

เรนาโต้พูดอย่างตรงไปตรงมา

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยากหรือไม่ยาก อันตรายหรือไม่อันตราย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองอธิบายมาคร่าวๆ ก่อน” ไป๋เฉินผงกศีรษะ

เรนาโต้เหลือบมองดูทุกคนในห้อง

“พวกคุณน่าจะเคยได้ยินเกาดี้พูดถึงนิกายของพวกเรามาบ้างแล้ว

“เราเพิ่งจะจัดพิธีมิสซาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หัวข้อคือ ‘ซ่อนตัว’ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้องค์เทพี ซึ่งก็คือผู้ครองกาล ‘ธชียมโลก’ ของพวกเรานั่นเอง

“ในการแข่งขันซ่อนหาครั้งนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังหาคนหนึ่งไม่เจอ”

ซางเจี้ยนเย่าได้ฟังจนถึงจุดนี้ก็รีบตอบออกมา

“วีล!”

“ถูกต้อง” เรนาโต้ยืนยัน “เขาซ่อนตัวมาเกือบสามวันแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ ก็หาตัวเจอหมดทุกคนแล้ว ผมจึงตัดสินใจจะยุติพิธีมิสซาเพื่อให้เขาออกมา แต่ว่า…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเรนาโต้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนสีหน้าเขานั้น เนื่องจากเขาใส่หน้ากากจึงไม่อาจมองเห็นได้

“แต่ว่า ผมเองก็หาเขาไม่เจอ

“และเขาก็ไม่ยอมออกมาด้วย”

อะไรคือ ‘ผมเองก็’ พูดเหมือนกับว่าคุณหาได้เก่งกว่าคนอื่นๆ ในนิกายอย่างงั้นแหละ หรือเป็นเพราะว่าเป็นผู้ตื่นรู้ ก็เลยสามารถรับรู้การมีอยู่ของจิตสำนึกได้ หรือเป็นเพราะวีลตายแล้ว ไม่ก็เป็นผู้ตื่นรู้ที่สามารถซ่อนจิตสำนึกของตัวเองได้… เจี่ยงไป๋เหมียนจับคำที่เรนาโต้ใช้แล้ววิเคราะห์ในใจ

ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อย

“คุณหวังจะให้พวกเราช่วยตามหาวีลสินะ”

“ใช่” เรนาโต้ถอนใจ “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในพิธีมิสซา เหล่าสาวกจะตั้งคำถามเรื่องความศรัทธาของผม คิดว่าผมสร้างความอัปยศให้กับองค์เทพี”

ไป๋เฉินแสร้งทำทีเป็นว่าจะขอปรึกษากับสมาชิกในทีมก่อน เธอเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าก่อน ตามด้วยหลงเยว่หง สุดท้ายจึงมาจบที่เจี่ยงไป๋เหมียน

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย

จากนั้นไป๋เฉินจึงผงกศีรษะตอบรับเรนาโต้

“พวกเราจะรับภารกิจนี้ และเชื่อในความน่าเชื่อถือของคุณ แต่ถ้าไม่รู้รายละเอียดของสถานการณ์ ฉันก็ไม่รับประกันความสำเร็จนะ”

“ผมรู้แล้ว” สีหน้าของเรนาโต้แสดงความเข้าใจในเรื่องนี้ “พวกคุณต้องการให้จ่ายค่าตอบแทนด้วยอะไร”

“ช่วยแนะนำพ่อค้าอาวุธที่สามารถขายพวกอาวุธหนักกับอุปกรณ์ทางทหารระดับสูงให้พวกเรา” ไป๋เฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง พอไว้ให้พวกเราไปสำรวจพื้นที่กันก่อนค่อยมาหารือส่วนที่เหลือกัน และรอจนเจอตัววีลก่อนถึงค่อยชำระ”

สำหรับเรนาโต้แล้ว เพียงแค่การแนะนำก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เขาจึงตอบโดยไม่ลังเล

“ไม่มีปัญหา

“แล้วพวกคุณจะไปสำรวจพื้นที่กันเมื่อไหร่”

“ตอนนี้มืดแล้ว ไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” ไป๋เฉินไม่ได้รีบร้อน

“ดีมาก มีการระวังตัวกันดี” เรนาโต้กล่าวชมเชยออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ยืนขึ้น พรุ่งนี้เช้าพวกคุณขับรถออกจากสวนสาธารณะไปที่ทะเลสาบ จะมีคนรออยู่ที่นั่น”

“ได้” ไป๋เฉินลุกขึ้นตาม “ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”

เรนาโต้ยกมือขึ้นมาไขว้ไว้หน้าอกอีกครั้งแล้วถอยไปก้าวหนึ่ง

“การตื่นตัวคือวิวรณ์จากองค์เทพี”

หลังจากมองดูเขาเดินจากไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ปิดประตูลงแล้วประกาศด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ในที่สุดก็จะได้สู้กันแล้ว”

เจี่ยงไป๋เหมียนถอดหน้ากาก หัวเราะ ‘ฮ่า’ ออกมาคำหนึ่ง

“ถ้านายกล้าไปซ่อนจนฉันหาไม่เจอละก็ จะปล่อยนายทิ้งไว้ที่ชุมชนศิลาแดงนี่แหละ!”

“ผมเป็นหอก” ซางเจี้ยนเย่าเน้นว่าเขานั้นไม่ต้องการซ่อน แต่ต้องการจะเป็นฝ่ายหาเพื่อทำลาย ‘โล่’ ของคู่ต่อสู้

[1] เป็นหน้ากากของคณะเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีปในนิยายเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งประกอบด้วยหลวงจีนหนุ่มพระถังซัมจั๋ง ปีศาจลิงซุนหงอคง ปีศาจหมูตือโป๊ยก่าย และปีศาจปลาซัวเจ๋ง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท