รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 188 ข่มขู่

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 188 ข่มขู่

คำเตือนของเลห์แมนไม่ได้ทำให้ซางเจี้ยนเย่าอับอายหรือเกิดโทสะแต่อย่างใด เขากลับให้คำแนะนำกลับไปอย่างจริงจัง

“ถ้าพวกคุณเข้าร่วมด้วย พวกเราก็จะไม่ได้มีแค่สี่คนแล้ว”

เมื่อเขาพูดมาจนถึงประโยคนี้ก็หันหน้ากลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความกระหายใคร่อยากลองอย่างเต็มเปี่ยม

เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจดีว่าเขาต้องการถามว่าอยากจะให้ ‘สร้างเพื่อน’ หรือเปล่า เธอคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะส่ายหน้าสั่นศีรษะ

ตอนนี้ยังไม่จำเป็น

หลังจากที่ออกมาจากบริเวณที่เลห์แมนและลูกน้องพักอยู่ คณะ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็เตรียมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป

นั่นคือ ‘เขตตึกเตี้ย’ ที่อยู่ใกล้ซากเมืองริมทะเลสาบ

บัซ หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็กพักอยู่แถวนั้น เขาอยู่ในเหตุการณ์การปล้นอาวุธตั้งแต่ต้นจนจบ

ทว่าก่อนที่พวกเขาจะออกจากย่านที่พักของโรงแรม ซางเจี้ยนเย่าก็เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา พวกเขาจึงต้องกลับไปยังห้อง ‘05’ และ ‘06’ ก่อน

แต่พอเปิดประตูออก เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวอยู่บนพื้น

มันมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย บนนั้นเขียนตัวหนังสือภาษาแดนธุลีไว้หนึ่งแถว

‘อย่าหาเรื่องใส่ตัว!’

“ไม่มีคำไหนสะกดผิด” ซางเจี้ยนเย่าหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา มองดูอย่างประหลาดใจ

“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นคนของนิกายทอนปัญญาสักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนคว้ากระดาษมาแล้วเอามาส่องดูกับแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว

หลังจากที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจัดการปัญหาด้านกายภาพในห้องตนเองเสร็จแล้วเดินออกมา เธอก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้พวกเขา จากนั้นถามด้วยรอยยิ้ม

“มีความเห็นอะไรบ้างไหม”

“นี่ทำเพื่อไม่ให้เราสืบหาสาเหตุการตายของเฮลเว็ก หรือว่าเพื่อไม่ให้พวกเราตามหาอาวุธที่ถูกปล้นไปกันแน่” หลงเยว่หงทำตามวิธีการที่หัวหน้าทีมเคยสอนไว้ ค่อยๆ วิเคราะห์ไปทีละขั้นทีละขั้น

“ถ้าหากเป็นประเด็นหลัง ก็หมายความว่าพวกโจรน่าจะอยู่ในชุมชนศิลาแดง ไม่อย่างนั้นพวกมันก็คงจะถอนตัวออกไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว จากนั้นก็ค่อยส่งคนมาสักคนสองคนเพื่อหารือเรื่องการค้า ไม่จำเป็นต้องข่มขู่พวกเราเลยสักนิด

“แต่ถ้าเป็นประเด็นแรก ผมก็รู้สึกว่ามันจะเร็วเกินไปหน่อยไหม พวกเรายังไม่ทันจะได้พบเบาะแสอะไรสักอย่าง ควรจะไปเตือนหานวั่งฮั่วสำนักงานรักษาความสงบฯ มากกว่าจะมาขู่เรา”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ ตบมือให้อย่างตื่นเต้นพร้อมแสดงสีหน้ายกย่องชื่นชม

เสียงตบมือนี้ทำให้หลงเยว่หงทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยด้วย

“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มและกล่าวชมเชย “ในที่สุดนายก็เริ่มวิเคราะห์ปัญหาขึ้นมาได้บ้างแล้ว”

พูดจบเธอก็หันไปมองไป๋เฉิน

“เธอคิดว่าไง”

ไป๋เฉินเพิ่งจะล้างหน้ามาจึงยังไม่ได้สวมหน้ากาก เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ฉันรู้สึกว่ามันดูแปลกๆ

“มันเร็วเกินไป… ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้”

ความหมายของเธอก็คือยังไม่มีความจำเป็นที่จะส่งคำเตือนมาให้พวกตนในตอนนี้

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มออกมา

“ใช่แล้ว

“พวกเรามีกันทั้งหมดแค่สี่คน และมีเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’ แถมยังไม่ได้เจอเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์แม้แต่นิดเดียว ทำไมถึงรีบมาขู่พวกเราขนาดนี้

“เมื่อกี้พ่อค้าอาวุธเลห์แมนก็เพิ่งจะพูดไปไม่ใช่เหรอ ด้วย ‘ความแข็งแกร่ง’ ของพวกเรา ควรรีบยกเลิกภารกิจตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วไปหาภารกิจอื่นทำแทนดีกว่า”

เพียะ!

ซางเจี้ยนเย่าใช้กำปั้นขวาทุบลงไปบนฝ่ามือซ้าย

“ผมเข้าใจแล้ว!”

“เข้าใจอะไรของนายกันยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งฉุนทั้งขบขัน

ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“พวกมันมองการปลอมตัวของเราออก รู้ว่าพวกเราคือ ‘ทีมกอบกู้โลก’ ที่ถูกส่งมาจากสุดยอดจอมวายร้าย ‘ผานกู่ชีวภาพ’

“พวกมันหวั่นเกรงความแข็งแกร่งของพวกเรา ไม่กล้าต่อสู้เผชิญหน้ากับพวกเรา ก็เลยทำได้เพียงแค่ส่งคำเตือนมาเท่านั้น”

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจยาว

“ท่านประเมินฝีมือพวกเราสูงส่งเกินไปแล้ว”

เธอเจตนาใช้คำพูดยกย่องให้เกียรติ

จากนั้นเธอก็พูดต่ออย่างไม่ได้จริงจัง

“ถึงแม้ว่าแต่ละสาขาของสมาคมนักล่านั้นจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นระยะก็จริง แต่กว่าวีรกรรมที่พวกเราสร้างไว้ที่เมืองหญ้าไพรจะเดินทางมาถึงนี่ก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่แหละ

“และนอกจากนั้น ภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่าสาขาเมืองหญ้าไพรก็น่าจะยังทำงานเป็นปกติดีอยู่ จึงย่อมไม่มีใครรู้ว่าพวกเราทำอะไรลงไป”

ในฐานะคนที่ดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งสามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าภายในห้อง ‘05’ ‘06’ และบริเวณใกล้เคียงนั้นไม่มีสิ่งของจำพวกเครื่องดักฟังติดตั้งอยู่

“และสุดยอดจอมวายร้ายก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องการกอบกู้โลกตรงไหนด้วย…” หลงเยว่หงบ่นพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่ามีโอกาสเถียง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ ‘บ่น’ ต่อทันที

“ใช่แล้ว นายนี่ทำเอาความคิดฉันสะดุดกึกไปเลย

“อืม… พวกเราถูกเตือนทั้งๆ ที่ยังไม่จำเป็นต้องมาขู่เราในตอนนี้ นี่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเหมือนเป็นการปกป้องพวกเราอยู่เหมือนกัน”

“ปกป้องเหรอ…” หลงเยว่หงผงะไป

เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างยิ้มแย้ม

“คำอธิบายโดยละเอียดก็คือ เห็นว่าพวกเราอ่อนแอเกินไป เกรงว่าหลังจากที่พวกเราเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในวังวนนี้แล้วอาจจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว ก็เลยเตือนเราล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เราเข้าไปข้องแวะด้วย

“อ้อ… นอกจากนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้อีกสองอย่าง อย่างแรก ความขัดแย้งได้ทวีความรุนแรงมากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว หากมีกองกำลังจากภายนอกเข้ามาร่วมด้วยก็จะทำให้ความสมดุลเสียไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระวังไว้ก่อน แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของเทเรซ่าและการตัดสินใจเลือกของเธอ ความเป็นไปได้ในประเด็นนี้จึงค่อนข้างต่ำ

“อย่างที่สอง คนที่ส่งจดหมายเตือนฉบับนี้มาก็เพื่อใส่ร้ายใครบางคน หากว่าเกิดอะไรขึ้นมา ต่อให้เราไม่ได้เปิดเผยว่าถูกข่มขู่ก็ตาม แต่ก็ต้องมีคนมาสอบถามและสืบสวนอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้นเบาะแสก็จะถูกส่งไปถึงหน้าประตูด้วยตัวมันเอง”

หลงเยว่หงฟังแล้วรู้สึกประทับใจมากจนอดถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้

เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วก็ยังสูงแค่ 175 สมองฉันกับสมองหัวหน้าก็ต่างระดับราวฟ้ากับเหว อ้อ เธอได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมมานี่นา งั้นไม่ต้องเทียบแล้ว เอามาเทียบกันไม่ได้…

“ถ้าเป็นอย่างแรก งั้นทำไมต้องปกป้องพวกเราด้วยล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบอย่างจริงจังตัดหน้าเจี่ยงไป๋เหมียน

“เพราะว่าฉันสูง 185 หน้าตาก็ดูดี…”

“พอเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหยุดการพล่ามของอีกฝ่ายทันที

เธอยิ้มแล้วพูดมาหนึ่งประโยค

“อาจเป็นเพราะว่าครั้งแรกตอนที่พวกเราเข้าไปที่ชุมชนศิลาแดงนั้นพวกเราไม่ได้ปลอมตัว พอมองก็รู้เลยว่าเราเป็นคนแดนธุลี ไม่สิ… เป็นคนภาษาธุลี”

หลงเยว่หงมองดู ‘จดหมายเตือน’ ในมือตนเองด้วยความประหลาดใจ แล้วในตอนนี้ก็เพิ่งตระหนักว่าบนนั้นมีเพียงแค่ภาษาแดนธุลีเท่านั้น ไม่มีภาษาแม่น้ำแดงเขียนไว้

เขาพยักหน้าครุ่นคิด

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…”

* * * * *

‘เขตตึกเตี้ย’ ในซากเมืองที่ชุมชนศิลาแดงตั้งอยู่นั้นเป็นลานที่มีอาคารตั้งอยู่เรียงราย เป็นอาคารสามชั้นสี่ชั้นที่มีสนามและรั้วล้อมรอบ

ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลงไป ที่นี่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ทว่ามันถูกลืมเลือนไปนานมากแล้ว ไม่มีใครเรียกด้วยชื่อนั้นอีกแล้ว

ทั่วทั้งชุมชนศิลาแดงเกรงว่าคงมีเพียงแค่ดิมาร์โก้ที่อยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ เท่านั้นที่ยังคงจำได้ หรือไม่ก็เป็นข้อมูลที่มีอยู่ในบันทึกของตระกูลเขา

จากคำอธิบายของเทเรซ่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงได้พบกับต้นไม้โบราณที่ผ่านกาลเวลาแห่งประวัติศาสตร์มาหลายร้อยปีและถูกฟ้าผ่าใส่อย่างน้อยสองครั้ง

ด้านหลังของต้นไม้โบราณมีอาคารสูงสามสี่ชั้น มีสนามและรั้วเช่นกัน

เจี่ยงไป๋เหมียนลงจากรถ เดินมาที่ประตูแล้วกดกริ่ง

ผ่านไปเกือบนาทีเต็ม เสียงของผู้ชายก็ดังออกมาจากลำต้นของต้นไม้โบราณซึ่งดูเหมือนว่าตายไปนานแล้ว

“พวกคุณมาหาใคร”

สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าจับจ้องตำแหน่งนั้นไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

“พวกเราเป็นนักล่าซากอารยะที่รับภารกิจตามหาอาวุธที่ถูกปล้น” ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับรถหันหน้าไปทางต้นไม้โบราณตอบด้วยเสียงดัง “คุณนายเทเรซ่าให้พวกเรามา”

“รอสักครู่” เสียงของผู้ชายในต้นไม้เงียบไปครู่หนึ่ง

รออีกสองสามนาทีถัดมา เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็มองไปยังอาคารอีกหลังซึ่งมีสนามและรั้วกั้น

ทันใดนั้นแผ่นไม้ที่รั้วก็ยกตัวขึ้น เผยให้เห็นรูขนาดใหญ่

ด้านหลังของรูนั้นไม่ใช่สวน ทว่าเป็นทางเดินสายหนึ่งซึ่งลึกเข้าไป

วินาทีถัดมา ชายคนหนึ่งก็คลานออกมาจากรูใหญ่นั้น

เขาสวมหน้ากากเหล็กสีดำที่สะท้อนประกายโลหะ ผมสีป่านของเขายุ่งเหยิงเป็นกระเซิงประหนึ่งว่าไม่ได้หวีมาเป็นเวลาเนิ่นนาน

เขาเพิ่งจะลุกขึ้นมายืนตั้งหลักได้ก็พลันเห็นหน้ากากวานรแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่ารีบพุ่งเข้าไปหาทันที

“หยุดก่อน! ห่างกันไว้คือสหายที่ดี!” ชายในหน้ากากเหล็กสะดุ้งเฮือก รีบกระโดดถอยไปด้านข้างสองสามก้าว

“หน้ากากคุณกันกระสุนได้ไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย

“ไม่ได้” ชายในหน้ากากเหล็กตอบคำอย่างงุนงง

“อ้อ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขยับเข้ามาใกล้

“คุณคือบัซใช่ไหม”

“ใช่” บัซผงกศีรษะ

“เมื่อกี้คุณเป็นคนพูดเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ

“ใช่” บัซเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นมีปัญหาเรื่องหูหรือไง

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกทึ่งขึ้นมา

“คุณขุดโพรงเอาไว้หลายโพรงแล้วก็เชื่อมต่อเส้นทางพวกนี้เข้าด้วยกันนะเหรอ”

“ผมเรียนรู้มาจากพวกคนภาษาธุลีน่ะ” บัซพูดอย่างภาคภูมิใจ “มีโพรงอยู่ที่ไหนก็มีทางออกอยู่ที่นั่น ไม่มีใครจะขังผมได้! แถมยังทำให้ผมมุดไปโผล่หลังศัตรูแล้วยิงมาจากจุดที่พวกเขาคาดไม่ถึงได้ด้วย”

“ยอดเยี่ยมมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนชื่นชมออกมาหนึ่งประโยค “ดูจากโครงสร้างทางธรณีวิทยากับสภาพดินของที่นี่ การขุดรูน่าจะไม่ง่ายเท่าไหร่”

“พวกเรามีเครื่องมือที่ได้มาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ น่ะ” บัซถือโอกาสถามขึ้น “สนใจไหมล่ะ ถ้าเอาไปขุดหลุมในเขตสงครามเนี่ย จะเก็บของมาได้ไม่น้อยเลยนะ”

“ก็ต้องรอให้พวกเราเอาอาวุธชุดนั้นกลับคืนมาและได้รับค่าตอบแทนก่อนน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม “และนอกจากนี้นะ ในสงครามของจริงเนี่ย อาจจะเจอพวกบังเกอร์บัสเตอร์[1] หรือระเบิดเทอร์โมบาริกตอนไหนก็ได้ การซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการใต้ดินตลอดเวลาอาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”

เธอเลิกพูดคุยสัพเพเหระ กลับมาเข้าเรื่องอย่างจริงจัง

“คุณได้เห็นหรือเปล่าว่าพวกโจรหน้าตาเป็นไง รู้ที่มาที่ไปพวกมันหรือเปล่า”

บัซส่ายหน้า

“พวกนั้นสวมหน้ากากกันทุกคน มีทั้งโม่งคลุมหัว ทั้งแว่นกันแดด”

พูดถึงตรงนี้เขาก็แค่นเสียง

“นี่น่ะทำให้เห็นได้ว่ามีปัญหา

“ถ้าเป็นโจรมาจากข้างนอก พอปล้นเสร็จก็เผ่นหนีไปแล้ว ทำไมต้องปลอมตัวซะเยอะแยะขนาดนั้นด้วย

“แถมยังถึงขนาดสวมโม่งคลุมหัวเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นว่าสีผมเป็นยังไง…”

ซางเจี้ยนเย่าขัดจังหวะขึ้นมา

“ที่จริงแล้วใช้วิธีย้อมผมเอาก็ได้ ผมแนะนำมืออาชีพให้พวกคุณได้นะ แต่เขาอยู่ค่อนข้างไกลสักหน่อย…”

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตัดบทเขาทันที

“ดูเหมือนว่าคุณมีเป้าหมายแล้วสินะว่าใครน่าสงสัย”

“ต้องเป็นพวกคนภาษาธุลีนั่นแน่ๆ!” บัซพูดอย่างโมโห “ตอนนั้นผมกับพวกอีกสองสามคนตามรอยล้อรถไป เห็นพวกมันไปทางใต้ พอออกจากซากเมืองก็อ้อมกลับไปทางตะวันออกอีกที!”

พอพูดจบเขาก็อธิบายให้ฟังคร่าวๆ ว่าทางตะวันออกนั้นหมายถึงอะไร

‘นาวาบาดาล’ ของตระกูลดิมาร์โก้และโบสถ์ของนิกายตื่นตัวนั้นอยู่ทางเหนือของซากเมือง คนแม่น้ำแดงส่วนมากจะอยู่แถวๆ ทะเลสาบด้านตะวันตก พวกคนภาษาธุลีก็มักจะซ่อนอยู่ในอาคารฝั่งตะวันออกของซากเมือง ส่วนทิศใต้นั้นเป็นพวกลูกครึ่งอาศัยอยู่

สวนสาธารณะของชุมชนศิลาแดงนั้นอยู่กึ่งกลางค่อนไปทางตะวันตก

“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร “นอกจากเรื่องนี้แล้วคุณยังพบอะไรอีกไหม”

“ไม่มีแล้ว” บัซส่ายหน้าอีกครั้ง “อ้อ… มีเก้าคนที่ลงมือปล้น ความสูงพวกมันไม่มีอะไรสะดุดตา แต่ว่ามีคนเจ็ดแปดคนคอยซุ่มอยู่รอบด้าน…”

หลังจากถามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

“เราจะไปหาคนภาษาธุลีเพื่อตรวจสอบ”

หลังจากบอกลาบัซและขึ้นรถจี๊ปแล้ว หลงเยว่หงก็ถอนใจ

“ดูท่าแล้ว อาวุธพวกนั้นเหมือนจะถูกปล้นโดยพวกคนภาษาธุลีจริงๆ สินะ…”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองทางข้างหน้า หัวเราะออกมาเบาๆ

“การปลอมตัวมากขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำเพื่อปกปิดลักษณะของคนภาษาธุลีซักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะทำเพื่อปิดบังสีผมสีตาของคนแม่น้ำแดงก็ได้”

[1] บังเกอร์บัสเตอร์ (钻地弹) bunker buster เป็นระเบิดที่ออกแบบมาสำหรับเจาะทะลวงเป้าหมายที่ค่อนข้างแข็งหรือเป้าหมายที่อยู่ใต้ดินอย่างเช่นบังเกอร์ทหาร

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท