หนึ่งนาทีต่อมา ห้องหมายเลข ‘06’
บัซกับซางเจี้ยนเย่านั่งกอดคอผูกพันกันราวกับเป็นพี่น้องสนิทชิดเชื้อที่จากกันไปเนิ่นนานได้มาพบเจอกันอีกครั้ง
นี่เป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนที่ว่า ‘ห่างกันไว้คือสหายที่แท้จริง’ ของนิกายตื่นตัวโดยสิ้นเชิง
“นายไม่ได้โกหกพวกฉันใช่ไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม
บัซแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที
“จะเป็นไปได้ไง
“ฉันจะโกหกใครก็ได้ แต่ไม่มีทางโกหกนายเด็ดขาด!
“เมื่อเช้าฉันเกือบตายไปแล้ว ไอ้สารเลวพวกนั้นมันมุดเข้ามาในโพรงที่ฉันขุดไว้ โชคยังดีที่ฉันเตรียมเอาไว้มากกว่าสามโพรง”
เมื่อได้ยินคำพูดของบัซ ภายในใจของหลงเยว่หงก็มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
‘กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง’[1]
ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ
“นายแน่ใจนะว่านี่เป็นฝีมือลูกน้องของอันเฮอบัส”
“แหงสิ!” บัซพูดอย่างมั่นใจมาก “ตัวหัวโจกของลูกน้องเขาเป็นอันธพาลฝีมือดีที่สุดที่มาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ทั้งสูงใหญ่ทั้งแข็งแรง ฉันไม่มีทางจำไม่ผิดแน่ แต่ว่าฉันไม่ได้ดูคนที่เหลือ ในตอนนั้นถ้าหากว่าฉันช้าไปอีกแค่นิดเดียวก็คงถูกจับได้ไปแล้ว!”
“สูงเท่าไหร่” ซางเจี้ยนเย่ามักจะสนใจผิดประเด็นอยู่เป็นประจำ
“สูงกว่านายนิดนึง พวกเราชาวชุมชนศิลาแดงที่สูงขนาดนี้น่ะ มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นแหละ” บัซอธิบาย “เขาชื่อโลเปซ สมัยก่อนเคยเป็นพนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหนีออกมาจากที่นั่น”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็ผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วถามต่อทันที
“ทำไมคุณถึงไม่ไปที่โบสถ์โดยตรงเลยล่ะ ไปหามุขนายกเรนาโต้ เขาน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ใช่เหรอ
“หรือไม่งั้นก็ไปหาหานวั่งฮั่วที่ชุมชนศิลาแดง”
บัซเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง
“ไปหาหานวั่งฮั่วก็เปล่าประโยชน์!
“นี่ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเขามีชื่อเสียงว่ามีความเที่ยงธรรม มีความยุติธรรม ไม่ทรยศพวกเรา แล้วก็จัดการให้คนภาษาธุลีกับคนแม่น้ำแดงสามารถรับมือกับเจ้าพวกปีศาจอัปลักษณ์นั่นกับพวกโจรที่มาป้วนเปี้ยนได้เป็นอย่างดีล่ะก็ คงไม่ใครยอมฟังเขาหรอก
“พวกเรื่องการจัดระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันน่ะ ทุกคนก็ยังพอไว้หน้าเขาบ้าง ถ้าหากว่าทำอะไรผิดก็ยังเต็มใจยอมรับโทษในระดับหนึ่ง แต่เรื่องใหญ่แบบนี้น่ะ อันเฮอบัสจะกลัวเฉพาะกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งกับคนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มพวกเขาเท่านั้นแหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนช่วยเขาเสริม
“อย่างเช่นพวก ‘นาวาบาดาล’ และก็พ่อบ้านคาร์ล ที่เป็นตัวแทน อย่างเช่นนิกายตื่นตัวและมุขนายกเรนาโต้ที่เป็นตัวแทน แบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่” บัซถอนใจ “ผมกลัวว่าระหว่างที่ผมกำลังเดินทางไปโบสถ์จะถูกโจมตีน่ะ พวกมันอาจจะแอบซุ่มอยู่รอบๆ โบสถ์ ผมถึงได้มาหาพวกคุณไง อยากให้พวกคุณช่วยแอบพาผมไปที่โบสถ์หน่อย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้บัซก็ยืนขึ้นมา
“ช่างมันเถอะ พวกคุณอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องดีกว่า พวกคุณมีกันแค่เพียงสี่คนเท่านั้น ไม่พอจะรับมืออันเฮอบัสกับลูกน้องของมันหรอก
“เดี๋ยวไว้ผมไปหาที่ซ่อนตัว รอให้พายุสงบลงแล้วค่อยหาวิธีแอบเข้าไปในโบสถ์เอง”
เขาพูดคำพูดพวกนี้ไปก็มองซางเจี้ยนเย่าไปด้วยเพราะไม่อยากจะดึงให้พี่น้องต้องเข้ามาพัวพันกับปัญหา
ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกซาบซึ้ง
“นายทำแบบนี้มันอันตรายมากไม่ใช่หรือไง”
เขาทำราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นพี่น้องกันจริงๆ
บัซรับรู้ถึงความจริงใจของเขาได้ จึงพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“ในพิธีมิสซาซ่อนกายสามครั้งล่าสุดเนี่ย ฉันติดห้าอันดับแรกได้ตั้งสองครั้งเชียวนะ
“หรือพูดอีกอย่างก็คือในชุมชนศิลาแดงนี้น่ะ คนที่ซ่อนตัวเก่งกว่าฉันก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น”
“สุดยอด!” ซางเจี้ยนเย่าตบมือ
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญเล็กน้อย
“อย่างนั้นพวกเราจะพาคุณไปที่โบสถ์เอง ถึงยังไงพวกเราก็คิดว่าจะไปหามุขนายกเรนาโต้อยู่แล้วล่ะ”
ดูเหมือนว่าในชุมชนศิลาแดงนั้นจะมีบางเรื่องเริ่มจะอยู่นอกเหนือการควบคุมแล้ว จึงควรต้องรีบไปติดต่อกับมุขนายกเรนาโต้ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตัวจริงโดยด่วน
ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้ประตูเมืองถูกไฟไหม้ ปลาในคูเมืองคงประสบเภทภัยกันหมด
ทั้งไป๋เฉินและหลงเยว่หงต่างก็ไม่ค้ดค้านการตัดสินของหัวหน้าทีม ซางเจี้ยนเย่าเองก็ยกสองมือสองเท้าเพื่อสนับสนุนอีกด้วย
ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นรถในครั้งนี้ก็หยิบเอาปืนยิงระเบิด ‘ทรราช’ กับปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ มาวางไว้ในตำแหน่งที่สามารถหยิบขึ้นมาใช้ได้สะดวกด้วย
“พลังยิงของพวกคุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” บัซที่ถูกขนาบไว้ระหว่างซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงรู้สึกถึงความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอีกพอสมควร “รถคันนี้ถูกดัดแปลงมาด้วยหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าเกราะมันค่อนข้างหนาทีเดียว กระจกรถก็ดูเหมือนว่าจะกันกระสุนได้ด้วย”
ในฐานะคนสนิทของพ่อค้าอาวุธเฮลเว็ก สายตาที่มีต่อเรื่องพวกนี้ของเขานับได้ว่าเฉียบคมมาก
“พวกเรามาที่ชุมชนศิลาแดงเพื่อจะซื้อชุดเกราะเสริมแรงทางทหารน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดคร่าวๆ
ในด้านหนึ่งนั้น การเปิดเผยวัตถุประสงค์ของ ‘ทีมเฉียนไป๋’ หรือก็คือ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาทางอ้อม ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือหวังว่าบัซซึ่งเป็นคนพื้นที่ที่คุ้นเคยกับผู้ค้าอาวุธในท้องถิ่นจะเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาให้รู้
“ยากอยู่นะ ของพวกนี้ถูกลูกค้ารายใหญ่จองไว้หมดแล้ว” บัซพูดขึ้น “ต่อให้เป็นลูกค้ารายใหญ่เองก็ยังไม่แน่เลยว่าจะสั่งได้ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ล่าสุด ขนาดพวกทีมชั้นนำของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เองก็ยังต้องรอคิวเหมือนกัน”
ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ ไป๋เฉินก็สตาร์ทรถแล้วขับตรงไปที่โบสถ์ของนิกายตื่นตัวซึ่งอยู่ทางเหนือของซากเมือง
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของบัซ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วพอจะมีช่องทางสำหรับรุ่นเก่าบ้างไหม”
“ที่ ‘นาวาบาดาล’ ก็พอจะมีบ้างแหละ แต่ไม่มีใครเข้าไปได้หรอก มิสเตอร์ดิมาร์โก้เองก็ไม่มีทางยอมขายให้ด้วย” บัซสั่นศีรษะ “ทั้งเจ้านายผม ทั้งอันเฮอบัสก็เคยลองกันมาบ้างแล้ว แต่คว้าน้ำเหลวตลอด”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็ลดเสียงลง
“ยามเมืองที่หานวั่งฮั่วจัดตั้งขึ้นมามีอยู่สองชุด เป็นรุ่นทั่วไป ‘AC-42’”
“นี่มันรุ่นเก่าสุดเลยไม่ใช่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเคยค้นคว้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารมาพอสมควร
“ก็ประมาณนั้นแหละ” บัซอธิบายสั้นๆ “เมื่อสองปีก่อน มนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขาร่วมมือกันบุกเข้ามาในชุมชมศิลาแดงเพื่อขับไล่พวกเรา สถานการณ์ในตอนนั้นเรียกได้ว่าวิกฤติมาก มิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่เต็มใจส่งยามของตัวเองออกมาข้างนอก ‘นาวาบาดาล’ ดังนั้นหานวั่งฮั่วจึงรวบรวมพวกเราเข้าด้วยกัน รวบรวมวัตถุปัจจัยไว้ที่เดียวกัน แล้วบังคับให้เจ้านายกับอันเฮอบัสเอา ‘คุณปู่’ สองชุดในโกดังของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ขายให้ในราคามนุษยธรรม
“บอกได้เลยว่ามันช่วยได้เยอะมาก!”
“อาจจะเป็น ‘คุณย่า’ ก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไป
เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะใส่ใจเขา มองดูกระจกมองหลังแล้วถอนใจ
“นี่มันเป็นอาวุธทรงพลังที่เอาไว้ใช้สำหรับป้องกันชุมชนศิลาแดงของพวกคุณ หานวั่งฮั่วคงไม่ขายให้หรอก”
“ถูกต้อง” ไม่ทราบว่าบัซกำลังบ่นหรือชื่นชมกันแน่ “นอกจากนั้นเขาไม่ใช่พวกโลภที่หาประโยชน์เข้าตัว แถมยังไม่รับสินบนอีกด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วผงกศีรษะ
“ทุกคนที่ฉันเจอในชุมชนศิลาแดง ต่างก็ยกย่องหานวั่งฮั่วกันทั้งนั้น”
แม้แต่คุณนายเทเรซ่าที่รู้สึกว่าหานวั่งฮั่วอาจจะลำเอียงเข้าข้างคนภาษาธุลีไปบ้างก็ยังไม่คิดว่าเขามีปัญหาอะไร
“ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็คงไม่ได้เป็นนายอำเภอ และหัวหน้ายามเมืองหรอก” บัซพูดอย่างไม่ได้ชื่นชมหรือเยาะเย้ย
“การเป็นคนนอกหัวเดียวกระเทียมลีบแบบนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
เพียงไม่นานนักรถจี๊ปก็มาถึงเขตทางเหนือของเมืองซึ่งใกล้กับโบสถ์ของนิกายตื่นตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตสภาพแวดล้อมภายนอก จากนั้นก็ชี้ไปที่แห่งหนึ่ง
“ไปจอดที่นั่น”
ไป๋เฉินไม่ได้ถามว่าทำไม เธอขับรถไปเงียบๆ แล้วจอดที่ข้างๆ ตึกสูงหลังหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้าง
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามาพูดกับหลงเยว่หง
“การสำรวจสภาพพื้นที่ของพวกเราก่อนหน้านี้ ยืนยันได้ว่าตรงนี้สามารถสอดส่องบริเวณรอบโบสถ์ได้
“นายกับไป๋เฉินขึ้นไปที่ดาดฟ้าตึก ใช้ปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ กับบาซูก้า ‘มัจจุราช’ คอยช่วยสอดส่องป้องกันให้พวกเรา”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงนั้นไม่ใช่พวกมือใหม่อ่อนหัดอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้ตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว
เจี่ยงไป๋เหมียนเตือน
“พวกนายต้องระวังตัวไว้ด้วยนะ”
สถานที่นี้อยู่ชานเมืองซึ่งมีอาคารสูงอยู่ไม่มากนัก ถ้าคนของอันเฮอบัสต้องการลอบโจมตีบัซ ก็น่าจะดักรออยู่ที่ดาดฟ้าอาคารเช่นกัน
“ได้เวลาทดสอบความอึดของนายแล้วล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าโบกมือให้กับหลงเยว่หงอย่างยิ้มแย้ม
ตึกสูงเหล่านี้ล้วนแต่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้แห้งเหี่ยว เหลือหน้าต่างที่ยังไม่บุบสลายเพียงไม่กี่บานเท่านั้น ดูแล้วชาวชุมชนศิลาแดงไม่น่ามาพักอาศัย จึงย่อมไม่มีไฟฟ้า ไม่มีลิฟต์ให้ใช้งาน
นอกจากนั้นหลงเยว่หงเองก็ต้องแบกปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ และกระสุนไปด้วย
โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถึงกับสูงมากนัก มีประมาณ 20 ชั้นเท่านั้น เมื่อหลงเยว่หงขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้าจึงเพียงแค่หอบหายใจหนัก สองขาชาด้านไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีอาการอื่นๆ อีก
บนดาดฟ้าเต็มไปด้วยมูลนก เขากับไป๋เฉินมองหาตำแหน่งแล้ววางปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ และบาซูก้า ‘มัจจุราช’ พาดไว้ที่ราวดาดฟ้าในตำแหน่งที่ระยะยิงครอบคลุมพื้นที่รอบๆ โบสถ์นิกายตื่นตัว
เมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ไป๋เฉินก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด
“พวกคุณเคลื่อนย้ายได้แล้ว”
* * * * *
เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บวิทยุสื่อสารแล้วเดินลงจากรถจี๊ป
เนื่องจากเป็นการไปเยี่ยมมุขนายกเรนาโต้ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น เธอและซางเจี้ยนเย่าจึงไม่ได้นำปืนยิงระเบิดกับปืนไรเฟิลจู่โจมไปด้วย เพียงแค่นำ ‘ยูไนเต็ด 202’ สำรองไปด้วยเท่านั้น นี่ทำให้พวกเขายังรักษาความคล่องตัวไว้ได้
จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปพร้อมกับบัซ ก้มตัวเล็กน้อย ค่อยๆ เข้าไปใกล้โบสถ์จากตำแหน่งเงาของอาคารร้าง
พวกเขาผละจากเสาคอนกรีตหัก เดินผ่านฉนวนสายไฟที่ถูกลอกสายทองแดงออกไปแล้ว เศษแก้วที่ฝังอยู่บนพื้น ก้อนคอนกรีตระเกะระกะ ค่อยๆ คืบหน้าไปเรื่อยๆ
ผ่านไปสิบกว่านาทีพวกเขาก็เข้าไปถึงโบสถ์นิกายตื่นตัวที่คล้ายกับป้อมปราการ แล้วเข้าไปที่หน้าต่างด้านหลังของอาคารสองชั้น
“ไม่มีการโจมตี…” หลังจากที่ยืนสองเท้าได้อย่างมั่นคงและมองกวาดไปโดยรอบแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดด้วยเสียงลึก
เธอรู้สึกเหมือนกำลังต่อสู้อยู่กับความว่างเปล่า
“เป็นไปไม่ได้…” บัซแสดงสีหน้างุนงงสับสน
อันเฮอบัสยอมตัดใจแล้วงั้นเหรอ
เขาไม่กลัวว่าถ้ามุขนายกรู้เรื่องแล้วจะโกรธหรือไง
“นี่แสดงว่าพวกเราซ่อนตัวได้ดีมาก” ซางเจี้ยนเย่าพูดยกย่องตัวเองออกมาประโยคหนึ่ง
ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก้าวไปด้านข้างสองก้าว แล้วผลักบานประตูไม้สีดำให้เปิดออก
ด้านหลังบานประตูนั้นเป็นยามของโบสถ์นิกายตื่นตัวซึ่งสวมชุดคลุมสีเข้มถือปืนไรเฟิลจู่โจม
“มุขนายกเรนาโต้อยู่ไหนเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยภาษาแม่น้ำแดง
ยามชี้ไปที่ทางเดินนอกประตู
“อยู่ในห้องเขาน่ะ พวกคุณเดินตรงไปที่ห้องโถง เป็นห้องที่อยู่ด้านหลังตราศักดิ์สิทธิ์ของผู้ครองกาล”
“ใช่หรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาถามบัซ
“ใช่” บัซยืนยันว่าที่นั่นคือห้องนอนของมุขนายกเรนาโต้จริงๆ
คนทั้งสามไม่รีรออีก รีบเดินตรงไปตามทางเดินเพื่อไปยังบริเวณห้องโถงของโบสถ์ทันที
เพียงไม่นานพวกเขาก็เห็นพื้นที่ด้านข้างของห้องโถง และเห็นผนังที่มีตราศักดิ์สิทธิ์ของผู้ครองกาลเช่นกัน
เมื่อมาถึงสถานที่ซึ่งยามได้บอกเอาไว้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สามารถระบุห้องของเรนาโต้ได้อย่างง่ายดาย
ประตูห้องของเขามีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เฉกเช่นเดียวกัน บานประตูนั้นทาด้วยสีขาวบริสุทธิ์และมีด้ามจับประตูเป็นสีทอง
เจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าหันหน้ามาสบตากันแล้วผงกศีรษะพร้อมๆ กัน
นี่หมายความว่ามีคนอยู่ในห้อง
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
บัซเคาะประตู ตะโกนเสียงดัง
“ท่านมุขนายก ผมมีเรื่องต้องการพบท่าน”
ทั้งห้องเงียบสงัด ไม่มีใครตอบกลับ
บัซตะโกนไปสองประโยคติดๆ กัน แล้วพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย
“ไม่มีคนอยู่เหรอ”
ในขณะที่พูดก็หมุนลูกบิดแล้วผลักประตูเปิด
หากว่าเป็นที่อื่น นี่ย่อมเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง ทว่านี่กลับเป็นเรื่องปกติในชุมชนศิลาแดงที่ต้องตามหาเป้าหมายด้วยตนเอง
ในขณะที่บานประตูไม้สีขาวเผยอออก เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันรู้สึกว่าทัศนวิสัยเธอมืดครึ้มลงทันที ราวกับสภาพแวดล้อมอันมืดหม่นภายในห้องไหลบ่าออกมายังทางเดิน
ในความมืดมิดไร้ขอบเขตนั้นมีเงาร่างของหญิงผู้หนึ่งซึ่งดูเลือนลางอยู่ด้านหลังบานประตูมองออกมา
ไม่รู้ว่าเหตุใด เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกถึงการจับจ้องอย่างเงียบงันของเงาร่างหญิงผู้นั้น ทั้งดูห่างไกลและอยู่ใกล้ชิด
อยู่ใกล้เพียงแค่คืบ อยู่ไกลสุดขอบฟ้า
เมื่อถูกสายตาเช่นนี้จับจ้องมา เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกประดุจถูกอ่างน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าท่ามกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ทำให้ตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
นี่ทำให้เธอหวนย้อนรำลึกถึงซากปรักบึงหมายเลข 1 นึกไปถึงสัตว์ประหลาดในห้องทดลองลึกลับ เสียงหอนคำรามของมันทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจจนไม่อาจควบคุมได้
แต่ที่แตกต่างไปจากเสียงหอนคำรามของสัตว์ประหลาด สายตาที่มองมาในขณะนี้กลับให้ความรู้สึกสูงส่ง กว้างขวาง เฉยชา สง่าน่าเกรงขาม ทำให้ผู้คนไม่อาจบังเกิดความคิดต่อต้านขัดขืน
วินาทีถัดมาความรู้สึกเหล่านี้กลับมลายหายสิ้น ความมืดมิดเช่นนั้นพลันถูกแสงตะวันแผดเผาสลายไปประหนึ่งว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เจี่ยงไป๋เหมียนหันขวับไปมองซางเจี้ยนเย่าและเห็นว่าหน้าผากเขามีเหงื่อชุ่มโชก
[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง (狡兔三窝) เป็นสำนวนจีน หมายถึง คนเจ้าแผนการหรือคนฉลาดหลักแหลม จะเตรียมทางหนีทีไล่ไว้มากกว่าหนึ่งช่องทาง