รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 195 พลังมหาศาล

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 195 พลังมหาศาล

ในขณะนี้ บัซซึ่งทำหน้าที่เปิดประตูทรุดฮวบลงไปกับพื้นแล้ว เขาตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มัวแต่สื่อสารกับซางเจี้ยนเย่าอีก เธอรีบกวาดสายตามองเข้าไปดูภายในห้อง

ภายในนั้นค่อนข้างกว้างขวาง มีเตียงขนาดใหญ่ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ มีบริเวณที่ตั้งชุดโซฟา ปูพื้นด้วยพรมหนาสีน้ำตาลเข้ม เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าผู้ที่พักนั้นมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด

ปัญหาเดียวก็คือผนังที่อยู่ด้านในสุดของห้องนั้นแขวนตราศักดิ์สิทธิ์ของผู้ครองกาล ‘ธชียมโลก’ เอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเปิดหน้าต่างออกได้ ส่วนหน้าต่างบานอยู่ใกล้ทางเดินนั้นแขวนผ้าม่านสีอ่อนที่ค่อนข้างหนาและหนัก ปิดกั้นแสงจากภายนอกไว้โดยสมบูรณ์

เนื่องจากแสงที่ส่องลอดผ่านเข้ามาทางประตูนั้นไม่ได้มีมากนัก เจี่ยงไป๋เหมียนจึงยากจะมองเห็นสภาพแวดล้อมภายในห้องได้อย่างชัดเจน เท่าที่เห็นก็รู้สึกว่าทั้งการจัดวางผังห้องและของประดับตกแต่งห้องนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับสไตล์ของแม่น้ำแดงมาก

ในฉับพลันนั้นเธอก็รับรู้อะไรบางอย่าง รีบยกแขนขวาขึ้นมาอยู่ในท่าการป้องกันทันที

แทบจะในเวลาเดียวกันก็มีเงาร่างสายหนึ่งกระโดดพรวดออกมาจากภายในห้อง

ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ สูงประมาณ 170 เซนติเมตร

เขาพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้วเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่อย่างดุร้ายเกรี้ยวกราด

ซางเจี้ยนเย่ารีบก้าวขึ้นมาขวางหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนไว้พร้อมกับยกสองแขนขึ้นมากัน

เกิดเสียงดังพลั่ก ด้วยพลังจากกำปั้นของคนสองคนปะทะกัน อากาศราวกับระเบิดปะทุออกมา

จากนั้นวินาทีถัดมาซางเจี้ยนเย่าก็โซเซถอยหลังจนเกือบจะกระแทกกับเจี่ยงไป๋เหมียน

แม้กระทั่งความมั่นคงของร่างกายช่วงล่างและความแข็งแกร่งที่เหนือคนธรรมดาของซางเจี้ยนเย่า เขายังไม่อาจสยบแรงชกของอีกฝ่ายไว้ได้

เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงที่ฝึกซ้อมประจำวันกันตามปกตินั้น ถึงแม้เธอจะใช้มือซ้ายก็ยังไม่สามารถทำให้เกิดผลเช่นนี้ได้เลย ผลการปรับปรุงพันธุกรรมของซางเจี้ยนเย่านั้นนับได้ว่าเกิดประสิทธิผลเป็นอย่างมาก อีกทั้งในเวลาปกติเขาก็ยังฝึกฝนอย่างหนักอีกด้วย

แล้วในตอนนี้เอง เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองเห็นรูปลักษณ์ของผู้โจมตีได้อย่างชัดเจน

เขาอยู่ในวัยสามสิบกว่า มีโครงหน้าชัด ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีอำพัน ใบหน้าซีดเนื่องจากไม่ได้ถูกแสงแดดมาเป็นเวลานาน

ภายใต้แสงสว่างจากทางเดินจึงทำให้เห็นว่าดวงตาเขามีเส้นเลือดฝอยแดงก่ำและขุ่นมัว ใบหน้าดุร้ายราวกับสัตว์ป่า ไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป

‘คนไร้ใจ’ !

นี่คือ ‘คนไร้ใจ’ ตนหนึ่ง!

เจี่ยงไป๋เหมียนฉากหลบซางเจี้ยนเย่าซึ่งกำลังเซถอยหลัง แล้วรีบพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล เธอสะบัดไหล่ซ้ายเหวี่ยงหมัดซ้ายออกไปทันที

ราวกับมีปืนใหญ่ขนาดเล็กระเบิดขึ้น ทุบทำลายกำแพงอากาศจนทำให้เกิดเสียงดังปัง

‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นมีสัญชาตญาณมากพอ เมื่อเห็นว่าตนเองไม่อาจหลบพ้นได้ทันเวลาก็รีบยกสองแขนขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้า

พลั่ก!

ร่างกายมันส่ายโงนเงนอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้ถอยหลังแม้แต่น้อย

มันสามารถป้องกันการชกของเจี่ยงไป๋เหมียนที่ส่งผ่านแขนเทียมชีวภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งกำลังอยู่ในโหมดต่อสู้นั้นไม่มีเวลาให้ประหลาดใจ เธอกระหน่ำจู่โจมเข้าใส่อย่างไม่ยั้งราวกับพายุถล่ม

ในระหว่างนี้ เธอใช้หมัดขวาเป็นหลักเพื่อปรับจังหวะ อาศัยความแข็งแกร่งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอัปเปอร์คัต ฮุค แย็บ หมัดตรง และอีกสารพัดท่วงท่าเพื่อบังคับให้ ‘คนไร้ใจ’ หลบเลี่ยง ไม่ให้ปะทะกันโดยตรง

หมัดซ้ายเธอนั้นก็หนักหน่วงราวกับลูกปืนใหญ่หรือไม่ก็ค้อนปอนด์ ยิ่งชกก็ยิ่งแรงขึ้น ยิ่งชกก็ยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นทุกขณะ กระแทกอากาศจนสั่นสะเทือน กดดันให้ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นถอยกลับเข้าไปในห้อง

เสียงดังโครมครามต่อเนื่องในระหว่างที่ทั้งสองต่อสู้กันจนโซฟาล้มระเนระนาด เก้าอี้กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สภาพในห้องพังเละเทะไปหมด

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด เจี่ยงไป๋เหมียนรุกไล่ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นเข้าไปติดมุมห้อง จากนั้นก็ปล่อยหมัดซ้ายอันทรงพลังเข้าใส่อีกครั้ง

เสียงดังพลั่ก ถึงแม้ว่า ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นจะป้องกันหมัดเอาไว้ได้ ทว่าทั้งตัวกลับลอยปลิวไปกระแทกผนังอย่างหนักหน่วง

หือ… เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายอ่อนแอลงกว่าก่อนหน้านี้มาก ยังเทียบกับหลงเยว่หงไม่ได้ด้วยซ้ำ

นี่ทำให้เธอสงสัยว่าความแข็งแกร่งเมื่อครู่ของ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นเป็นเพียงการเสริมประสิทธิภาพแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง

ทว่าในตอนนี้ยังไม่มีเวลาให้วิเคราะห์สถานการณ์ เธอเตรียมเปลี่ยนไปใช้เทคนิคการต่อสู้ระยะประชิดที่เกี่ยวกับข้อต่อและใช้ร่วมกับกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อสะกด ‘คนไร้ใจ’ ไว้เสียก่อน จากนั้นค่อยตรวจสอบสถานการณ์ทีหลัง

แต่แล้วตอนนี้ มุมปากของ ‘คนไร้ใจ’ ก็ยกขึ้น แล้วหัวเราะออกมาทันที

เส้นเลือดฝอยจำนวนนับไม่ถ้วนในดวงตาสีอำพันที่แลดูราวกับสัตว์ป่านั้นประดุจมีชีวิตขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มตามขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความเกลียดชังในใจพลันมลายหายไปสิ้น

นี่ทำให้เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายหยุดขัดขืนและยอมจำนน ดังนั้นเธอจึงเลิกระวังตัวและยุติการโจมตีต่อ

พลั่ก!

‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เล็งเป้าหมายที่ใบหูเจี่ยงไป๋เหมียน

ร่างเจี่ยงไป๋เหมียนตอบสนองตามสัญชาตญาณทันที เธอรีบก้มตัวเก็บหัว กลิ้งหลบไปตามพื้น หลุดออกไปนอกระยะจู่โจมของ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้น

เมื่อเห็นเช่นนี้ ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังยืนขวางประตูอยู่ก็ก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าวเพื่อหยุดยั้งศัตรู

‘คนไร้ใจ’ เห็นแล้วก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน

รอยยิ้มนั้นประหนึ่งว่ามาจากสัตว์ร้ายกินคน

ซางเจี้ยนเย่าชะงักไปชั่วขณะแต่ก็ยังไม่หยุดโจมตีใส่ เขาชกหมัดขวาออกไป

‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นงุนงงเล็กน้อย ปฏิกิริยาตอบสนองของมันช้าลงไป เนื่องจากพลังลดลงไปจึงทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงไปไม่น้อย แต่ยังดีที่ยังอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมเพื่อเตรียมเข้าจู่โจม มันจึงย่อตัวหลบหลีกการถูกชกได้ทันเวลาอย่างเฉียดฉิว

ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้ม ต้นขาซ้ายเกร็งตัว เคลื่อนที่จากล่างขึ้นบน หวดออกไปราวกับแส้ที่ตัดผ่านอากาศ

‘คนไร้ใจ’ ไม่สนใจจะรักษาท่าทางเอาไว้ในท่าเดิม มันออกแรงที่ขาขวา ดีดตัวกระโดดไปด้านข้างแล้วกลิ้งตัวลงกับพื้น ซางเจี้ยนเย่าตามไปติดๆ แล้วเริ่มเปิดศึกบนระนาบพื้นดิน

ในสภาวะเช่นนี้ ซางเจี้ยนเย่าที่ได้ศึกษาฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ระยะประชิดมาอย่างชำนาญย่อมเหนือกว่า ‘คนไร้ใจ’ ที่อาศัยเพียงสัญชาตญาณ กลิ้งคลุกฝุ่นไปเพียงสองสามท่า เขาก็จับล็อกข้อต่อของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ แล้วใช้ร่างกายยึดศัตรูไว้อย่างแน่นหนา

หลังจากกลิ้งม้วนตัวไปอีกหนึ่งรอบ ซางเจี้ยนเย่าก็จับ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นพลิกคว่ำแล้วใช้เข่าดันหลังเอาไว้ กดหน้ามันแนบลงกับพื้น

“ฉันชนะแล้ว!” ซางเจี้ยนเย่าประกาศออกมาอย่างมีความสุข

เขาทำเหมือนว่ากำลังเล่นอยู่ก็เลยไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘รอยยิ้ม’ นั่นอย่างนั้นเหรอ ไม่สิ… น่าจะเป็นเพราะหลังจากที่เขาเห็น ‘รอยยิ้ม’ นั่น ความเกลียดชังก็สลายไป เลยมองว่านี่เป็นการเล่น เปลี่ยนจากความระวังให้กลายเป็นใจที่คิดแค่เรื่องแพ้ชนะ… คนป่วยเป็นโรคจิตนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ… เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินได้ว่า ‘คนไร้ใจ’ ที่อยู่ต่อหน้านั้นเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ แน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเป็น ‘ผู้ตื่นรู้’ มาก่อนแล้วค่อยป่วย หรือว่าหลังจากที่ป่วยแล้วก็ได้รับพลังพิเศษมาอย่างลึกลับกันแน่

ในตอนนี้ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นตอบกลับมาด้วยเสียงคำรามต่ำราวกับกำลังขู่ซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าก็ทำเสียง “วู้ฮู้” กลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

‘คนไร้ใจ’ นั้นเงียบกริบลงในทันที รู้สึกงุนงงว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไรกันแน่

มุมปากเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกเล็กน้อย เธอรีบหันหน้าไปถามบัซ

“คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”

ถึงแม้เธอจะพอคาดเดาได้แล้ว แต่ก็ยังอยากจะยืนยันให้ชัดเจน

บัซฟื้นตัวจากความตระหนกก่อนหน้านี้แล้ว เขาเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งยองลงไปตรวจสอบ

แต่ทันใดนั้นเขาก็ล้มลงไปก้นกระแทก ใช้สองมือยันพื้นถอยไปไม่หยุด

“มุขนายก! เขาคือมุขนายก!” เขาร้องตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัวสุดใจ

“มุขนายกเรนาโต้เหรอ” ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้ที่ ‘คนไร้ใจ’ ตนนี้น่าจะเป็นมุขนายกเรนาโต้ แต่เมื่อได้ยินออกมาจากปากของบัซก็ยังรู้สึกตกใจอยู่บ้าง

แม้แต่มุขนายกที่ได้รับการคุ้มครองจากผู้ครองกาลก็ยังติด ‘โรคไร้ใจ’ ได้ด้วยงั้นหรือ

บัซผงกศีรษะอย่างแรง

“ใช่!

“ผมจำดวงตาของเขาได้ เป็นตาสีอำพันแบบนี้แหละ คนในชุมชนไม่มีใครมีตาแบบนี้!

“มุขนายก… มุขนายกเป็น ‘โรคไร้ใจ’ …”

เขายืนขึ้นอย่างตื่นตระหนก พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“คุณไม่เคยเห็นหน้าของมุขนายกเรนาโต้งั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างระวังออกมาประโยคหนึ่ง

บัซตอบ

“เวลาผมเจอเขาทีไร เขาก็สวมหน้ากากทุกครั้ง”

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด

“งั้นไปหาคนอื่นๆ ในโบสถ์ให้มายืนยันตัว”

บัซอกสั่นขวัญหาย เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบตะลีตะลานออกไปทันที

เขาวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้อง วิ่งไปตามทางเดินพลางร้องตะโกนไปด้วย

“ใครก็ได้ มานี่หน่อย! มุขนายกเป็น ‘โรคไร้ใจ’ !

“ใครก็ได้ มานี่หน่อย! มุขนายกเป็น ‘โรคไร้ใจ’ !

“…”

เจี่ยงไป๋เหมียนละสายกลับมาจากร่างเขาแล้วหันมาพูดกับซางเจี้ยนเย่าซึ่งกำลังคุมตัวมุขนายกเรนาโต้อยู่

“ยังดีที่เป็น ‘โรคไร้ใจ’ ไม่งั้นพวกเราคงถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรฆ่ามุขนายกเรนาโต้ไปแล้ว”

เมื่อป่วยเป็นโรค เช่นก็ย่อมไม่อาจถูกคนอื่นใส่ความได้ ไม่เหมือนกับถูกยาพิษหรือเป็นโรคติดต่อ

ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับมาทันที

“หัวหน้าพูดไม่เป็นมงคลเอาซะเลย”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ ในระหว่างที่กำลังรอให้คนอื่นๆ ในโบสถ์นิกายตื่นตัวมา เธอก็ถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ตอนที่บัซเปิดประตู นายรู้สึกว่าเหมือนถูกคนมองมาจากที่ไกลๆ แวบหนึ่งหรือเปล่า”

“ใช่” ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาอย่างซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง

เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออีกประโยค

“ในตอนนั้นรู้สึกบ้างหรือเปล่าว่ามันน่ากลัวมาก น่ากลัวจนขวัญกระเจิง ต้านขัดขืนไม่ได้ เหมือนกับ… เหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับเทพที่แท้จริง”

“ก็ประมาณนั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบเรียบๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“เป็นไปได้ไหม… เป็นไปได้หรือเปล่าว่าการที่มุขนายกเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ก็เลยดึงดูดความสนใจของ ‘ธชียมโลก’”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็หันศีรษะมองตรงไปที่ตราสัญลักษณ์

เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำเสียงต่ำพูดกับตัวเอง

“เมื่อตะกี้ เป็นไปได้ว่าพวกเราได้ ‘พบ’ กับผู้ครองกาลพระองค์หนึ่ง…”

ดูเหมือนว่าผู้ครองกาลจะมีอยู่จริงๆ สินะ…

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท