รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 206 แผนที่

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 206 แผนที่

“พวกคุณจะมอบอาวุธกับยามเมืองงั้นเหรอ”

ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน

ห้องเขานั้นเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง มีขนาดเท่ากับห้องพักโรงแรมที่ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ พัก ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง เก้าอี้ไม่กี่ตัว ตู้เก็บของหนึ่งชุด ชั้นวางหนังสือหนึ่งชั้น แล้วก็โต๊ะที่มีปากกากระดาษวางอยู่

สิ่งที่บ่งบอกถึงตัวตนนักบวชของเขามากที่สุดก็คือบนผนังฝั่งตรงข้ามเตียงมีตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของ ‘ธชียมโลก’ อยู่ เป็นประตูสีขาวแง้มเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ด้านหลังเป็นความมืดมิดที่ประหนึ่งมีร่างผู้หญิงเลือนลางแอบซ่อนอยู่

การจัดห้องเช่นนี้ทำเอาหลงเยว่หงถึงกับหนังศีรษะชาหนึบเพราะอดนึกถึงภาพเวลาที่เขานอนหลับขึ้นมาไม่ได้

มีผู้ครองกาลแอบอยู่ในความมืดคอยเฝ้ามองดูอย่างเงียบเชียบ

ยังดีที่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ผนังด้านตรงข้าม ไม่ใช่บนเพดาน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางหลับได้แหง! ขณะที่หลงเยว่หงกำลังพึมพำกับตัวเอง ซางเจี้ยนเย่าก็ตอบแทนเจี่ยงไป๋เหมียน

“ไม่ใช่มอบให้หรอกครับ เป็นการค้าน่ะ”

ซ่งเหอเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาพูดต่อด้วยรอยยิ้ม

“คำว่า ‘มอบ’ ผมหมายถึง ‘ส่งมอบ’ ไม่ได้หมายถึง ‘มอบให้’” น่ะ

“ผมเข้าใจผิดไปเอง” ซางเจี้ยนเย่ายอมรับว่าตนเข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไป

การยอมรับผิดสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียหน้า ต่อให้ไม่ได้สวมหน้ากากก็ตาม

ซ่งเหอที่สวมชุดคลุมยาวสีดำผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วถอนหายใจเบาๆ

“แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมก็รับรู้ถึงความมีน้ำใจของพวกคุณ

“ผมต้องขอบคุณพวกคุณแทนชาวชุมชนศิลาแดงล่วงหน้า”

เขาไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้ แล้วพูดออกมาตามตรง

“จากสถานการณ์ตอนนี้ พวกมนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขาพยายามตีฝ่าเข้ามาทางตะวันออกเฉียงใต้ของซากเมือง หานวั่งฮั่วน่าจะจัดตั้งกองกำลังเอาไว้แล้ว พวกยามเมืองส่วนใหญ่น่าจะถูกส่งไปเสริมกำลังพลแล้วล่ะ”

ในระหว่างที่พูดเขาก็เดินไปที่โต๊ะ หยิบแผนที่ขึ้นมาแล้วคลี่ออก

“แผนของหานวั่งฮั่วก็คือสร้างแนวป้องกันใหม่รอบอายซูเปอร์มาร์เก็ตกับห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์เพื่อสกัดศัตรู

“พื้นที่กว้างใหญ่บริเวณนี้ พวกถนนเสียหายขนาดหนัก อาคารหลายหลังก็พังถล่มลงมา ถ้าหากมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาไม่อยากจะอ้อมไปไกล ก็จำเป็นต้องฝ่าเข้ามาทางนี้เท่านั้น”

เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งฟังอย่างเงียบๆ จนจบ ก็เอ่ยปากเตือนหนึ่งประโยค

“ปีศาจภูเขาชำนาญการปีนป่ายหน้าผา สภาพภูมิประเทศแบบนี้หยุดพวกเขาไว้ไม่ได้หรอก”

“ถูกต้อง หานวั่งฮั่วก็พิจารณาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เขาคิดจะวางกับดักเอาไว้” ซ่งเหอยอมรับว่าจุดนี้มีปัญหาไม่ใช่น้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนหันมามองที่โต๊ะ

“นี่เป็นแผนที่ที่เหลือมาตั้งแต่สมัยโลกเก่าเหรอ”

มันแสดงให้เห็นผังเมืองได้อย่างชัดเจน

ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ผมเจอมันเข้าตอนที่เพิ่งมาถึงชุมชนศิลาแดงใหม่ๆ น่ะ มันเป็นแผนที่ท่องเที่ยวของตัวเมือง พวกคุณดูสิ สวนสาธารณะที่เมืองตั้งอยู่เนี่ย ในโลกเก่าเรียกว่าสวนสาธารณะศิลาแดง นี่ทำไมเป็นเหตุผลว่าที่นี่ถึงชื่อชุมชนศิลาแดง”

“‘ทำไมเป็นเหตุผลว่า’ มันผิดไวยากรณ์นะครับ ต้องพูดว่า ‘เป็นเหตุผลว่าทำไม’” ซางเจี้ยนเย่าท้วง

ซ่งเหอหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

“พอดีว่ามันติดปากไปแล้วน่ะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูแผนที่แล้วถามด้วยความสงสัย

“คุณเขียนคำอธิบายประกอบเอาไว้ไม่น้อยเลย”

บนแผนที่นั้นมีเครื่องหมายกำกับอยู่เต็มไปหมด มีทั้งกากบาทสีแดง มีทั้งวงกลมสีดำ และสารพัดสัญลักษณ์อีกเต็มไปหมด

ส่วนพื้นที่ว่างด้านข้างก็เขียนอธิบายความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆ เอาไว้ด้วย

“อาคารหลังไหนพังไปแล้ว ถนนเส้นไหนที่เข้าถึงไม่ได้แล้ว ผมก็ทำเครื่องหมายเอาไว้น่ะ” ผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ในชุมชนศิลาแดงมา 40-50 ปี พลันแสดงน้ำเสียงเจือความผิดหวังอยู่บ้าง “เมื่อยิ่งเพิ่มสัญลักษณ์กำกับมากขึ้น พอมองดูแผนที่ฉบับเดิมก็รู้สึกว่ายากจะทำใจเขียนลงไปอีก”

เขาละสายตากลับมาแล้วทอดถอนใจ

“พ่อแม่ผมเป็นผู้รอดชีวิตจากโลกเก่า แต่ไม่อาจรอดจากสงครามในช่วงกลียุคมาได้

“พวกท่านเคยสอนคำศัพท์ผมมาคำหนึ่ง คือคำว่า ‘ทะเลครามแปรเป็นทุ่งหม่อน’[1] ผมเข้าใจความหมาย แต่ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งผมเริ่มทำแผนที่ฉบับนี้ขึ้นมาและไปสำรวจพื้นที่จริง…”

เจี่ยงไป๋เหมียนเม้มปาก แล้วหัวเราะเยาะตัวเอง

“เมื่อครู่ที่ฉันถามไปตั้งเยอะแยะก็เพราะอยากจะขอยืมแผนที่ฉบับนี้ของคุณ แต่ตอนนี้คงเอ่ยปากไม่ได้แล้วล่ะ”

ซ่งเหอนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะฮาฮา

“เอาไปสิ ผมไม่ได้มีแค่ฉบับเดียวหรอก”

“เอ๋” เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึง

ซ่งเหออธิบายอย่างไม่จริงจัง

“ผมไม่ได้ทำแผนนี้เพื่อตัวเองเท่านั้น บางครั้งชาวชุมชนก็ต้องใช้เจ้านี่ด้วยเหมือนกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนพลันกระจ่างในทันที

“ถ้างั้นฉันก็ไม่เกรงใจละนะ”

จะเกรงใจหน่อยก็ไม่มีใครว่าหรอก… หลงเยว่หงแอบเหน็บแนมหัวหน้าทีม แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

ซางเจี้ยนเย่ามองดูซ่งเหอแล้วพูดออกมาจากใจ

“ขอบคุณครับ”

เมื่อเห็นพวกเขาเก็บแผนที่ไปแล้ว ซ่งเหอก็ยิ้มแล้วออกปากเตือน

“ถ้าหากการโจมตีของศัตรูรุนแรงเกินไป พวกคุณไม่จำเป็นต้องรั้งรอ รีบถอนตัวโดยเร็ว

“ไม่ต้องกังวลหรอก พวกยามเมืองก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน”

ในขณะที่หลงเยว่หงกำลังแปลกใจ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามอย่างครุ่นคิด

“ที่พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาโจมตีชุมชนศิลาแดง มีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

ซ่งเหอมองเธอด้วยความชื่นชม

“พวกเขาต้องการทำลายเมือง ต้องการฆ่ามนุษย์ในท้องถิ่นทั้งหมด หรือไม่ก็ขับไล่มนุษย์ทุกคนให้ออกไปจากซากเมือง แล้วก็ยึดครองสถานที่แห่งนี้ไว้”

“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามอะไรอีก

ซ่งเหอพูดเสริมอีก

“หากพวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาฝ่าแนวป้องกันเข้ามาได้ พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ชุมชนศิลาแดงแน่นอน เพื่อจะทำลายมันทิ้ง

“จะทำลายก็ปล่อยทำลายไปเถอะ ที่นั่นมีวัตถุปัจจัยอยู่ไม่มาก กลางคืนก็ไม่มีคนอยู่ ถ้าหากว่าพ่ายแพ้ให้กับมนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขา ในซากเมืองก็ยังมีห้างสรรพสินค้ากับหลุมหลบภัยใต้ดินที่สภาพยังดีอยู่อีกหลายแห่ง ยังใช้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ได้

“ส่วนบรรดาชาวเมืองน่ะ เหอะ เหอะ เวลาปกติก็เคยชินกับการซ่อนตัว ขนาดว่าจะหากันเองก็ยังหาไม่ค่อยจะเจอด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาพวกนั้นเลย

“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา พวกเขาก็สามารถอาศัยความคุ้นเคยกับชัยภูมิ แบ่งเป็นกลุ่มเจ็ดแปดคนคอยสลับกันแอบซุ่มโจมตีศัตรู ทำให้พวกนั้นปวดหัวกันไป

“นอกเสียจากว่ามนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาจะสามารถถล่มซากเมืองทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว ไม่งั้นในเวลาสั้นๆ พวกเขาก็ไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้หรอก”

เมื่อได้ฟังคำพูดของซ่งเหอ ตอนแรกหลงเยว่หงก็ประหลาดใจ แต่หลังจากนั้นก็เข้าใจเรื่องหนึ่งได้โดยกระจ่าง นั่นก็คือทำไมชาวชุมชนศิลาแดงถึงได้สนับสนุนและชื่นชอบการซ่อนตัวมากขนาดนั้น ถึงแม้ว่า ‘พิธีซ่อนกาย’ จะดูเหมือนไร้สาระ แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อความจงรักภักดีของพวกเขาแม้แต่น้อย

เพราะนี่เป็นทักษะหนึ่งซึ่งสามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตให้พวกเขาได้จริงๆ!

ตอนที่เขาฟังการวิเคราะห์ของเจี่ยงไป๋เหมียนก่อนหน้านี้ หลงเยว่หงก็พอจะมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับธรรมเนี่ยมท้องถิ่นขึ้นมาบ้าง รู้ว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

และในตอนนี้ การโจมตีของพวกมนุษย์ชั้นรองก็เปิดเผยให้เห็นถึงเหตุผลเบื้องหลังของธรรมเนียมท้องถิ่นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมอีก

ขอเพียงซ่อนตัวเอาไว้ให้ดีก็จะหลบหนีการจู่โจมจากศัตรูได้ อีกทั้งยังหาโอกาสโจมตีกลับไปได้ด้วย กลายเป็นคนที่หัวเราะทีหลัง

สำหรับเมืองที่เป็นซากปรักที่ใหญ่ขนาดนี้และอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังคนทั้งเขาทั้งเรามีอย่างจำกัดจำเขี่ย นี่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในกลวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือการบุกรุก

ในตอนนี้หลงเยว่หงก็นึกถึงคำที่หัวหน้าทีมเคยพูดเอาไว้ขึ้นมาได้

‘เบื้องหลังความไร้สาระทั้งหลาย ล้วนมีเหตุปัจจัยมาจากความเป็นจริง’

* * * * *

มุมทางตะวันออกเฉียงใต้ของซากเมือง ถานเทียนเอิน เกาดี้ และเชเลอร์ ซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของอาคารที่ถล่มลงมา พวกเขาได้ยินเสียงพวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักกำลังพูดคุยกันด้วยภาษาแปลกๆ ที่ผสมผสานสำเนียงท้องถิ่น ได้ยินเสียงคนพวกนั้นกำลังเดินใกล้เข้ามาทุกขณะ

หลังจากหลบหนีออกมาจากอาคารสูงที่ถูกยิงถล่มด้วยปืนครกปืนใหญ่ เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะอาศัยความคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศเพื่อแยกตัวออกมาแล้วกลับไปยังแนวป้องกันที่ตั้งไว้ ทว่าพวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขานั้นราวกับรู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่แถวไหนและจะผ่านไปทางไหน เป็นผลให้พวกเขาถูกสกัดเอาไว้จนต้องติดยู่ที่นี่

เมื่อเห็นศัตรูเข้ามาใกล้ ถานเทียนเอินก็กดเสียงแล้วพูดขึ้น

“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

ครั้งนี้เขาใช้ภาษาแม่น้ำแดง

เกาดี้เงียบไปครู่หนึ่ง

“นี่มันค่อนข้างแปลก พวกเราต้องรายงานเรื่องนี้กลับไป”

เนื่องจากความระวังตัว พวกเขาจึงไม่ได้ให้ ‘สวรรค์จักรกล’ สร้างสถานีฐานส่งสัญญาณของท้องถิ่นเอาไว้ในชุมชนศิลาแดง ทำให้พวกเขาได้แต่ต้องใช้วิทยุสื่อสารสำหรับการติดต่อระยะไกลเท่านั้น

และในขณะนี้ระยะห่างของพวกเขากับอายซูเปอร์มาเก็ตและห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์นั้น เห็นได้ชัดว่าเกินขอบเขตทำการ

เชเลอร์ได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันพูด

“ให้คนหนึ่งล่อพวกเขาไปอีกทาง ส่วนอีกสองคนก็รีบไปที่ลานจอดรถ”

ต้องใช้รถยนต์ถึงจะทำให้พวกเขาทิ้งระยะห่างได้อย่างรวดเร็ว และกลับไปที่อายซูเปอร์มาร์เก็ตกับห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์ได้

“ตกลง” เกาดี้หยิบเหรียญเงินของ ‘ปฐมนคร’ ออกมา “แต่ละคนโยนได้แค่ครั้งเดียว ใครไม่เหมือนคนอื่น คนนั้นก็ออกไปล่อ”

นี่ทำให้เชเลอร์รู้สึกตกอยู่ในห้วงภวังค์ รำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตมากมายหลายเรื่อง

นิกายตื่นตัวนั้นจับเอาเด็กอายุไล่เลี่ยกันให้มาเล่นด้วยกันเพื่อปลูกฝังทักษะการซ่อนหาจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และใช้การโยนเหรียญทอยหัวก้อยเพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นคนซ่อนใครจะเป็นคนหา

“ฉันก่อน” ถานเทียนเอินคว้าเหรียญเงินแล้วโยนอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า

จากนั้นเขาก็พูดเสียงต่ำ

“ฉันแพ้”

“เทียนเอิน…” เกาดี้โพล่งด้วยความตกตะลึง

ดวงตาเชเลอร์เบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ประหนึ่งว่าเขาเพิ่งจะรู้จักถานเทียนเอินเป็นครั้งแรกในชีวิต

ถานเทียนเอินหันหน้าไปมองพวกเขา สูดหายใจเข้าลึก

“พอฉันวิ่งออกไปเมื่อไหร่ พวกนายก็รีบวิ่งไปทิศตรงข้ามทันทีนะ”

พูดถึงตรงนี้สายตาเขาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของเชเลอร์ แสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วคำรามเสียงต่ำ

“ก็ใครให้ฉันดันไปชอบน้องสาวนายล่ะ!”

พูดจบเขาก็กลับหลังหัน หยิบปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาแล้ววิ่งออกจากที่ซ่อนทันที

ปัง! ปัง! ปัง!

เขายิงไปพลาง เคลื่อนตัวไปทิศทางอื่นไปพลาง

ถึงแม้จะเป็นเหยื่อล่อ แต่เขาก็ยังต้องพยายามเอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุด

เกาดี้และเชเลอร์เห็นภาพนี้ก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกภายใน ก้มตัวโดยอาศัยที่กำบัง รีบวิ่งตรงไปยังที่ซึ่งพวกเขาจอดรถเอาไว้

ปัง! ปัง! ปัง!

ถานเทียนเอินเพิ่งจะกลิ้งม้วนตัวเข้าไปในอาคารฝั่งตรงข้าม ในครรลองสายตาเขาก็พบว่าสรรพสิ่งถูก ‘ดึงออก’ จากโลกแห่งความเป็นจริงไปทันที

นี่เป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับสมัยก่อนตอนที่เขาเพิ่งจะหัดว่ายน้ำแล้วเกือบจมน้ำ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ จมสลายหายไป เสียงที่ได้ยินจากรอบข้างก็ราวกับลอยห่างดังอยู่ที่ขอบฟ้า

ความคิดของเขาค่อยๆ กระเจิดกระเจิงมลายหายไป ตัวตนราวกับค่อยๆ จมลงสู่ใต้ท้องน้ำอย่างเชื่องช้า ไม่อาจหายใจได้อีกต่อไป

ก่อนที่ทัศนวิสัยเบื้องหน้าจะดับวูบ เขาเห็นมนุษย์มัจฉาคนหนึ่ง

มนุษย์มัจฉาผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่มาก ดวงตาไม่ได้ปูดโปนมากนัก บนศีรษะสวมมงกุฎกิ่งไม้สาน เกล็ดสีเทาแก่บนร่างประหนึ่งว่ามีสายน้ำรินไหลอยู่ภายใต้แสงจันทร์

* * * * *

หลังจากย้ายอาวุธชุดนั้นมาใส่ไว้ในรถเอทีวีสีกากีและออกจากโบสถ์นิกายตื่นตัวมาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกชื่อเต็มพวกเขา

“หลงเยว่หง นายกับซางเจี้ยนเย่าขับรถจี๊ป”

ครั้งนี้เธอไม่ได้เอากล่องมาวางไว้ที่นั่งข้างคนขับของรถเอทีวีอีก แต่ย้ายกล่องพวกนั้นไปไว้ที่นั่งด้านหลังของรถจี๊ปแทน

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงไม่ได้ถามว่าทำไม ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้นแสดงท่าทางว่าอยากจะเปิดประตูรถจี๊ปเต็มแก่แล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปพูดกับไป๋เฉินที่ยืนด้านข้าง

“เธอขับ เดี๋ยวฉันคอยระวังรอบข้างให้เอง”

เนื่องจากจะต้องสังเกตการเคลื่อนไหวที่อยู่นอกระยะตรวจจับ เธอจึงต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก

“ได้” ไป๋เฉินถือปืน แล้วเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับของรถเอทีวีสีกากี

เจี่ยงไป๋เหมียนเดินตามไปขึ้นรถ หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา

“ตอนนี้เปิดไฟหน้ารถเพื่อส่องทางได้แล้ว พอเข้าไปใกล้เขตต่อสู้เมื่อไหร่ ให้ฟังคำสั่งฉัน

“เอาละ ไปได้!”

[1] ทะเลครามแปรเป็นทุ่งหม่อน (沧海桑田) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท