รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 209 ใจเต้นแรง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 209 ใจเต้นแรง

ตูม!

ลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บอลเพลิงลูกหนึ่งลุกโชน ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

ไป๋เฉินและคนอื่นมองเห็นมนุษย์มัจฉาซึ่งหลบซ่อนตัวมิดชิดได้อย่างเลือนลาง เกล็ดสีเทาแก่ของพวกเขานั้นสะท้อนแสงสีแดงเข้ม

พวกเขาอาศัยประโยชน์จากสิ่งกีดขวางมากมายในซากเมืองทำให้ทัศนวิสัยถูกจำกัด ไม่ทราบว่าแทรกซึมเข้ามาในระยะร้อยเมตรตั้งแต่เมื่อใด

จรวดบาซูก้าของเจี่ยงไป๋เหมียนสร้างความเสียหายได้ไม่มากนักเพราะไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของศัตรู

แต่เนื่องจากแสงสว่างของระเบิดยังไม่จางหายไป กระสุนจากแนวป้องจึงถาโถมถล่มเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง

เสียงปังๆๆ ยังคงดังไม่หยุด ปลอกกระสุนปืนใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมานัดแล้วนัดเล่า ทำให้มนุษย์มัจฉาบางส่วนต้องหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังป้อมปราการตามธรรมชาติ มีซากศพห้าหกร่างถูกทิ้งไว้

ติดตามมาด้วยการที่หลงเยว่หง หานวั่งฮั่ว และคนอื่นๆ รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาอีกครั้งในฉับพลัน

แม้ว่าพวกเขาจะถูกห้อมล้อมไว้ด้วยอากาศ แต่ก็ราวกับว่ากำลังจมอยู่ในน้ำ

โทรโข่งของถานเจี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง

“บัดซบ! ถ้าเก่งจริงก็มาสู้กับปู่ของแกนี่สิ!

“เอาแต่หดหัวอยู่ในทะเลสาบทุกวัน ยังเหลือความกล้าบ้างไหม”

คราวนี้เขาพูดเฉพาะภาษามนุษย์มัจฉาเท่านั้น

เขาพอจะประเมินตำแหน่งคร่าวๆ ของเป้าหมายได้แล้ว สามารถใช้โทรโข่งเพื่อส่งเสียงของตนที่ผสมผสานกับพลัง ‘ยั่วยุ’ ออกไปทำให้อีกฝ่ายโมโหจนขาดสติ ซึ่งจะทำให้ตนเองกลายเป็นเป้าถูกโจมตีเพียงแค่คนเดียว

ด้วยวิธีนี้ พวกชาวชุมชนศิลาแดงจะไม่ต้องประสบกับอาการหายใจไม่ออก สามารถจดจ่อในการต่อสู้ศัตรูได้

แน่นอนว่าการทำเช่นนี้นับว่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะถานเจี๋ยไม่รู้จักพลังผู้ตื่นรู้ของมนุษย์มัจฉา ไม่รู้ว่าคนกลายพันธ์ยังมีพลังอะไรอีก มีระยะทำการไกลแค่ไหน

แต่หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ตื่นรู้และได้รับพลัง ‘ยั่วยุ’ มา ถานเจี๋ยก็พอจะเริ่มคุ้นชินกับสภาพเช่นนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

นอกจากจะทำให้เป้าหมายโกรธจนขาดสติในการสู้กันแบบตัวต่อตัวเพื่อพลิกสถานการณ์ได้ง่ายขึ้นแล้ว หลายๆ ครั้งที่พลังการ ‘ยั่วยุ’ นั้นทำให้เขาตกเป็นเป้าหมาย ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สนใจคนอื่นและถูกสหายของเขาจัดการลงไป

ถึงจะบอกว่า ‘ยั่วยุ’ แต่ถานเจี๋ยรู้สึกว่าโดยพื้นฐานก็คือการกระตุ้นความโกรธของอีกฝ่ายนั่นเอง ไม่เพียงแต่ใช้คำพูดเท่านั้น ยังสามารถใช้การกระทำและท่าทางได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าในตอนนี้นอกจากเสียงแล้วเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขยายขอบเขตอิทธิพลของพลังได้ยังไง

พูดซ้ำไปสองรอบ หานวั่งฮั่วกับคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าโผล่ออกมาพ้นน้ำ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง

เกือบในเวลาเดียวกันก็มีสองร่างกระโดดออกมาจากแนวป้องกัน

พวกเขาเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง ต่างก็สวมชุดเกราะเสริมแรงโลหะสีดำ ชุดเกราะนั้นปกคลุมศีรษะ แผ่นหลัง คอ หน้าอก และหน้าท้อง

ด้านหลังของชุดเกราะเสริมแรงทั้งสองมีกล่องพลังงานสะพายหลังที่เห็นได้ชัดเจน สองแขนติดตั้งเครื่องยิงระเบิด ปืนไรเฟิลจู่โจม ไม่มีรูที่ปล่อยแสงเลเซอร์หรือโมดูลพวกอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้า ดูแล้วเป็นเครื่องรุ่นโบราณมาก

สมาชิกยามเมืองสองคนซึ่งสวมชุดเกราะเสริมแรงนั้นประหนึ่งว่ามีสปริงอยู่ที่ข้อต่อ เพียงกระโดดแค่สองสามครั้งก็ย้ายตำแหน่งจากอาคารที่พังถล่มลงมาถึงพื้นดินได้แล้ว จากนั้นก็ตรงไปยังลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

พวกเขาคิดจะจัดการผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองสุดอันตรายนั่นก่อนที่จะเกิดการ ‘หายใจไม่ออก’ แล้วทำให้ทุกคนหมดสติเพราะขาดออกซิเจน

แล้วในตอนนี้เอง ถานเจี๋ยที่กำลังจะ ‘ยั่วยุ’ ต่อก็พลัน ‘ใจเต้นแรง’ ขึ้นมาทันที

หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

การเต้นนี้ทำให้หัวสมองของเขาเต็มไปด้วยเลือดสูบฉีด หายใจลำบาก ทัศนวิสัยค่อยๆ ดำมืดลง

ถานเจี๋ยรวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ตะโกนเสียงดังผ่านโทรโข่ง

“เขาสามารถ… เร่งการเต้นหัวใจ!”

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

ถานเจี๋ยไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป เขาล้มทรุดฮวบลงไปกับพื้น

หัวใจเขาเต้นรัวราวกับจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

“เร่งการเต้นหัวใจ… ผู้ตื่นรู้ในเขตพลังตุลากรชะตางั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาได้ทันทีที่ได้ยินคำพูดของถานเจี๋ย

เธอรีบตัดสินใจอย่างฉับพลัน

ผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองที่แข็งแกร่งนั่นไม่สามารถทำให้ ‘หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ ได้ อย่างน้อยในระยะห่างขนาดนี้เขาก็ไม่สามารถทำได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจัดการกับถานเจี๋ยได้อย่างง่ายดายไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเนิ่นนานขนาดนี้หรอก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบกวาดไปยังชุดเกราะเสริมแรงสองชุดที่กำลังพุ่งเข้าไปใกล้ลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์

และเทคโนโลยี

เธอคิดว่าพวกเขาไม่น่าจัดการเรื่องนี้ได้ และก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้กับมนุษย์มัจฉาที่นั่นได้มากน้อยเพียงใด

นี่ทำให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ควรทำเช่นไร

ความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่านอย่างรวดเร็วแล้วคิดได้สองแผน

แผนแรกคือรีบฉกฉวยเวลา ถอนตัวทันที ออกจากระยะขอบเขตพลังพิเศษผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรอง จากนั้นก็ขึ้นรถขับออกจากชุมชนศิลาแดงไป ไม่หวนกลับมาอีก

ภายใต้สถานการณ์ที่มนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขานั้นมีเป้าหมายอยู่ที่ชุมชนศิลาแดง ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไล่ล่าสังหาร กอปรกับแดนธุลีนั้นกว้างใหญ่ไพศาล โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งเรียกได้ว่าแทบจะเป็นศูนย์

ปัญหาของแผนนี้ก็คือจะสามารถออกจากระยะรัศมีพลังของอีกฝ่ายได้ทันเวลาหรือไม่ ซึ่งเจี่ยงไป๋เหมียนประเมินแล้วว่าได้ เธอเชื่อว่าระยะห่างในปัจจุบันนี้คือขีดจำกัดสูงสุดของผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองแล้ว อย่างมากสุดก็เพิ่มอีกสิบเมตรแค่นั้น ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่เลือกเสี่ยงออกมาถึงด่านหน้าของแนวป้องกันแบบนี้ สามารถแอบซ่อนอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยแล้วลงมือจัดการเป้าหมายอันตรายด้วย ‘เร่งการเต้นหัวใจ’ เสียก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยทำให้พวกยามเมืองของชุมชนศิลาแดงหายใจไม่ออกไปพร้อมกันในทีเดียว

นอกจากนี้ เมื่อเลือกถอนตัวแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็จะไม่ได้รับชุดเกราะเสริมแรงทางทหารที่สั่งจองเอาไว้ อีกทั้งวัตถุปัจจัยทั้งหลายที่แจกจ่ายไปก็เอากลับมาไม่ได้ด้วย เรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับเลยทีเดียว

แผนสองก็คือไม่ถอยแต่รุกคืบ เข้าไปใกล้กับผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองนั่นแล้วจัดการเขา เป็นการขจัดอันตรายแฝงให้หมดไป ทำให้การควบคุมกลับมาอยู่ทางฝั่งชุมชนศิลาแดง

ทว่านี่กลับเต็มไปด้วยตัวแปรมากมายและอันตรายมาก ประมาทนิดเดียวก็ถึงตายได้ทันที

ความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนยังคงหมุนไม่หยุด เธอเห็นซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงหันหน้ามามองตนเอง

ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยด้วยวาจา เธอก็รู้ว่าซางเจี้ยนเย่านั้นถามว่าจะโจมตีหรือเปล่า

ไม่สิ… เขากำลังบอกให้ฉันรู้ต่างหาก จะได้เตรียมตัวไว้… เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดไปรอบหนึ่งแล้วก็ตื่นตัวขึ้นทันที

วินาทีถัดมา ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงก็คว้าปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ กระโดดออกไปทางหน้าต่างที่ไร้กระจก ลงไปยังอาคารที่พังถล่มซึ่งอยู่ไม่ไกล

เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟัน ไม่ลังเลอีก เธอทิ้งปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ หยิบเอาปืนไรเฟิลจู่โจมกระบอกสำรองที่วางอยู่ข้างกายแล้วกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง

‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเราเคยยอมขาดทุนเสียที่ไหน

ไว้เรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ ฉันจะทำให้เจ้าสารเลวนี่รู้ว่าทำไมเลือดถึงมีสีแดง!

เมื่อยืนได้อย่างมั่นคงแล้วเธอก็หันกลับมาพูด

“ยิงคุ้มกัน!”

นี่ไม่ได้หมายถึงแค่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเท่านั้น แต่ยังต้องขอความช่วยเหลือจากยามเมืองของชุมชนศิลาแดงอีกด้วย

เสียงปังๆๆ ดังขึ้นทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น ส่งผลให้พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาที่ออกมาต้องรีบกลับเข้าที่กำบัง

ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนรีบฉวยโอกาสนี้ปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วแล้วกระโดดขึ้นไปบนกองซากคอนกรีตที่เกิดจาก

อาคารที่พังถล่ม จากนั้นก็ลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว

นี่แสดงให้เห็นถึงประสาทการเคลื่อนไหวและการรักษาสมดุลที่เหนือเกินกว่ามนุษย์ปกติของพวกเขา ซึ่งเทียบได้กับเหล่าวานรทั้งหลายที่ต้องอาศัยเรื่องพวกนี้ในการดำรงชีพ นี่ถ้าหากว่าหานวั่งฮั่วไม่ได้เห็นสีผิวของพวกเขาละก็ คงจะสงสัยว่านี่ต้องเป็นสายลับที่พวกปีศาจภูเขาส่งมาเป็นแน่แท้

ในตอนนี้ชุดเกราะเสริมแรงที่พุ่งออกไปด้านหน้านั้นใช้การกระโดด วิ่ง และเปลี่ยนทิศที่เกินกว่าขีดจำกัด เพื่อหลบหลีกลูกกระสุนกับลูกระเบิดที่ยิงมาจากมนุษย์มัจฉา เข้าไปใกล้ที่จอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว

เขายกสองแขนขึ้นมาแล้วส่งลูกระเบิดกับลูกกระสุนอย่างบ้าคลั่งไปยังบริเวณที่มนุษย์มัจฉาหลายคนที่ไม่อาจหลบหลีกย้ายที่ได้ทันการจนกลายเป็นซากศพไม่สมบูรณ์จากการถูกกระหน่ำถล่มด้วยปืนใหญ่

เมื่อเห็นว่าเป้าหมายที่แท้จริงใกล้จะปรากฏตัวออกมาให้เห็นแล้ว ยามเมืองที่สวมชุดเกราะเสริมแรงก็พลันหัวใจเต้นเร็วขึ้นมา

มันดังตึกๆๆ ราวกับเสียงกลอง ทำให้เส้นเลือดทั่วร่างโป่งพองขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

แล้วในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่วินาที ทัศนวิสัยของยามเมืองผู้นั้นก็กลายเป็นสีแดงก่ำประดุจถูกย้อมด้วยเลือด ลมหายใจไม่อาจตามทันสภาพร่างกายได้

หากไม่ใช่เพราะหลงเยว่หง ไป๋เฉิน หานวั่งฮั่ว และคนอื่นๆ คอยยิงกดดันมาทางด้านนี้ละก็ การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและสั่นเทาของพวกเขาก็คงจะถูกพวกมนุษย์มัจฉายิงเข้าใส่ในอวัยวะบริเวณที่ไม่มีชุดเกราะปกป้องจนเสียชีวิตไปแล้ว

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังคงหมดสติอย่างรวดเร็ว ล้มลงไปกระแทกพึ้นเสียงดังพลั่ก

แล้วหลังจากนั้นตามมาติดๆ ยามเมืองหญิงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงผู้ที่กำลังเข่นฆ่ามนุษย์มัจฉาในบริเวณนั้นก็พลันได้ยินเสียงหัวใจของตนเอง

มันเต้นเสียงดังราวกับดังอยู่ข้างหูของเธอ

เสียงหัวใจที่เต้นอย่างแรงนี้ทำให้หัวใจของยามเมืองผู้นี้ไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป ในที่สุดก็ทำให้เธอสิ้นสติไป

ในเวลานี้เธอได้เข้าไปยังบริเวณที่จอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว มองเห็นรถหุ้มเกราะหนาทึบคันหนึ่งซึ่งมีกำแพงและเสาขวางเอาไว้

ด้านข้างของรถคันนั้นมีมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งสวมมงกุฎกิ่งไม้สานยืนอยู่

รอบข้างของมนุษย์มัจฉาผู้นี้ยังมีเผ่าพันธุ์ที่คล้ายกันอยู่ราวสิบคน มีทั้งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่กำบัง มีทั้งที่แอบอยู่ด้านข้างรถหุ้มเกราะ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ถืออาวุธไว้ทั้งสิ้น

พลั่ก!

ยามเมืองคนนี้ล้มลง โครงโลหะและเกราะสีดำบนร่างกระแทกพื้นจนได้ยินเสียงแคร้งอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นภาพนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนยืนยันได้สองประการ

ประการแรก พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองที่เพิ่มอัตราการเต้นหัวใจนั้นสามารถส่งอิทธิพลต่อเป้าหมายได้เพียงครั้งละคนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แยกจัดการชุดเกราะเสริมแรงทั้งสองชุดนี้ติดต่อกัน ทำให้มนุษย์มัจฉาที่คอยปกป้องเขาอยู่ถูกยามเมืองสังหารไปหลายคน

ประการที่สองก็คือเขาไม่มีพลังพิเศษที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นโดยฉับพลัน ซึ่งนี่ประเมินจากระยะเวลาที่ผู้สวมชุดเกราะเสริมแรงทั้งสองยังคงยืนหยัดได้ก่อนจะล้มลงไป

ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนมั่นใจขึ้นมาอีกพอควร แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องใหม่เช่นกัน

สิ่งที่ซางเจี้ยนเย่าสละไปนั้นสามารถลดผลกระทบจากพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ในด้านความคิดและจิตใจ แต่ไม่สามารถรับมือกับพลังประเภทที่กำหนดเป้าหมายไปที่ร่างกายโดยตรง

ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ย่อกายหลบซ่อนอยู่ด้านหลังเสาหินต้นใหญ่

ด้วยความช่วยเหลือจากการยิงคุ้มกันของหลงเยว่หงและการ ‘ปกป้อง’ ของชุดเกราะเสริมแรงทั้งสอง ทำให้เธอกับซางเจี้ยนเย่าข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ วิ่งมาถึงลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเรียบร้อย จากนั้นก็แยกย้ายกันหาที่กำบัง

เธอรู้ว่าผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองนั้นรู้แล้วว่าตนเองเข้ามาใกล้ จึงรีบปลดลูกระเบิดออกมาโดยไม่ลังเล ดึงสลักนิรภัยแล้วขว้างไปยังตำแหน่งที่หมายตาเอาไว้แล้ว

เสียงระเบิดดังสนั่น เธอรีบแนบร่างกับพื้นแล้วกระโดดออกมาในแนวขวาง ระหว่างนั้นก็ยกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ในมือเล็งไปยังมนุษย์มัจฉาแต่ละคนแล้วเหนี่ยวไกยิง

ปัง! ปัง! ปัง!

ซางเจี้ยนเย่ารีบคว้าโอกาสนี้พุ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว ยิงใส่มนุษย์มัจฉาอย่างบ้าคลั่ง

เหล่ามนุษย์มัจฉาที่ถูกแรงระเบิดบีบให้ออกจากที่ซ่อนตัว ร่างส่ายโงนเงนแล้วล้มลงไปนอนกับพื้น เลือดไหลนองไปทั่วบริเวณ

แล้วในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนที่เพิ่งจะล้มลงนอนราบกับพื้นแล้วกลิ้งม้วนตัวหาที่กำบังก็พลันได้ยินเสียงหัวใจตนเองดังขึ้น

ตึกตัก!

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท