รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 210 เพลงประกอบ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 210 เพลงประกอบ

ตึกตัก! ตึกตัก!

อัตราการเต้นหัวใจของเจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่มจาก 50 ครั้งต่อนาทีเป็น 180 ครั้งต่อนาที

นี่ทำให้เธอแน่นหน้าอก หายใจลำบาก สายตาพร่ามัว วิงเวียนศีรษะ ขึ้นมาพร้อมๆ กันทันที

ถานเจี๋ยยังสามารถรวมพลังครั้งสุดท้ายเพื่อป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงพลังพิเศษของศัตรูได้ ต่างไปจากเจี่ยงไป๋เหมียนที่รู้สึกได้ว่าตนเองนั้นกำลังจะสิ้นสติได้ทุกขณะ ใกล้จะประสบภาวะหัวใจล้มเหลวในอีกไม่นาน

เธอไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ อิทธิพลของพลังพิเศษในระยะเกือบหนึ่งร้อยเมตรกับระยะเพียงสิบกว่าเมตรนั้นย่อมแตกต่างกันอย่างเทียบไม่ได้อยู่แล้ว

เธอเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าร่างกายซึ่งผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมมาแล้วของตนเองนั้นจะแสดงอาการว่าแทบจะทนไม่ไหวออกมาเร็วถึงขนาดนี้

เธอกัดฟันปลดลูกระเบิดออกมาอีกหนึ่งลูก กระชากสลักนิรภัยแล้วใช้มือซ้ายขว้างใส่มนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สาน

เธอคิดจะใช้ระเบิดเพื่อขัดจังหวะของอีกฝ่าย!

ตอนนี้ตัวเธอ ซางเจี้ยนเย่า และมนุษย์มัจฉาที่เหลือในพื้นที่บริเวณนี้ส่วนใหญ่ถูกอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบังไว้ ทำให้การยิงกดดันจากทางด้านหลังแทบไม่ส่งผลมากนัก พวกเขาจึงได้แต่ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

ก่อนที่ระเบิดมือจะถูกขว้างออกไป มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่ที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานคนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว

เป้าหมายของเขาก็คือรถที่มีเกราะหุ้มหนาคันนั้น แต่ก็เคลื่อนไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ราวกับต้องแบ่งสมาธิบางส่วนเพื่อควบคุมพลัง ‘เร่งจังหวะหัวใจ’ เอาไว้

แล้วในตอนนี้ หนึ่งในสองของมนุษย์มัจฉาซึ่งคอยคุ้มกันที่ยังเหลืออยู่ก็กระโดดออกมาอย่างฉับพลันจากด้านหลังที่กำบังแล้วโยนเขาไปที่ด้านข้างของรถเกราะก่อนจะใช้ร่างตนเองบังเขาไว้อย่างมิดชิด

ตูม!

ระเบิดมือระเบิดขึ้นในตำแหน่งที่มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่คนนั้นเคยยืนอยู่ คลื่นเปลวเพลิงสีแดงฉานกวาดเศษซากโดยรอบไปเป็นวงกว้าง

มนุษย์มัจฉาที่ใช้ร่างกายเป็นโล่ปกป้องไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เขาเข้าสู่สภาวะใกล้สิ้นใจในทันที

ช่วงขณะที่สติกำลังเลือนลางอยู่นั้นเขาราวกับเหมือนได้เห็นบ้านเกิดที่ปู่ทวดมักจะเล่าให้ฟังอยู่เสมอ

ที่นั่นเป็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ริมทะเลสาบ ที่นั่นเป็นเมืองอันสว่างไสว ที่นั่นแม้จะไม่ได้กว้างขวาง ทว่านั่นคือที่อยู่อาศัยของพวกตน

ตึกตัก! ตึกตัก!

อัตราการเต้นหัวใจที่เต้นเร็วเกินไปของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ช้าลงแม้แต่นิดเดียว เธอรู้สึกว่าตนเองพร้อมจะสิ้นสติหรือช็อคได้ทุกขณะ

มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานผลักซากศพที่สภาพไม่สมบูรณ์ออกจากตัว สองตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังมองไปยังตำแหน่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนอยู่

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ารีบฉวยจังหวะกลิ้งม้วนตัวเข้าไปในระยะรัศมีเจ็ดเมตรจากรถหุ้มเกราะ

เขาไม่มัวเสียเวลา รีบหาที่กำบังแล้วหันหลังให้เป้าหมาย จากนั้นก็อ้าปากตะโกนด้วยเสียงอันดัง

“ถ้าเก่งจริง ก็ทำให้พวกเรา…”

เขายังไม่ทันจะพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอทรุดฮวบอยู่ในสภาวะกึ่งหมดสติบริเวณด้านหลังแปลงดอกไม้ซึ่งถูกทิ้งร้าง นี่เป็นที่กำบังอีกแห่งที่เธอเลือกไว้

การที่เธอเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย ลงมือทำเรื่องต่างๆ มากมาย จุดประสงค์หลักก็เพื่อต้องการปกป้องให้ซางเจี้ยนเย่าเข้าไปในระยะที่สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองได้

วินาทีถัดมาอัตราการเต้นหัวใจของซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มถี่ขึ้น ดังราวกับว่ามีคนตีกลองอยู่ข้างหูของเขา

เขาฝืนระงับความอึดอัดและตะโกนต่อไป

“ขาดอากาศหายใจจนตายสิ!”

เมื่อรวมกันแล้วก็คือ ‘ถ้าเก่งจริง ก็ทำให้พวกเราขาดอากาศหายใจจนตายสิ’

นี่ไม่ใช่การ ‘ยั่วยุ’ แต่เป็น ‘คนไร้เหตุผล’ ซึ่งซางเจี้ยนเย่าจงใจทำให้ผลกระทบลดลงเพื่อให้อิทธิพลของพลังส่งผลได้นานขึ้นอีกนิดและตรวจจับได้ยากขึ้นอีกหน่อย มิฉะนั้นหากทำให้อีกฝ่ายทำสิ่งไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงจะทำให้รู้ตัวเร็วเกินไป ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่มีโอกาสจู่โจม

วิธีการใช้งาน ‘คนไร้เหตุผล’ โดยหลักๆ นั้นก็ต้องดูว่าสถานการณ์ก่อนหน้าจะเหมาะกับการใช้แบบไหน

เพื่อที่จะทำให้ความไร้เหตุผลของอีกฝ่ายพัฒนาไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ ซางเจี้ยนเย่าจึงเจตนาพูดประโยคนั้นออกมาเพื่อโน้มน้าว

นี่คือประสบการณ์ที่เขาสรุปมาจากการต่อสู้กับ ‘บาทหลวง’ ปลอม

หัวใจเขาเต้นถี่รัวจนใกล้จะหลุดการควบคุมเต็มที เสียงซางเจี้ยนเย่าแผ่วเบาลงทุกขณะราวกับดังมาจากขอบฟ้า

ทันใดนั้นเสียงปังๆๆ ตูมๆๆ และเสียงอึกทึกก็ดังเข้าสู่หูของเขา

ความเร็วการเต้นหัวใจของเขากลับมาเป็นปกติตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่ แต่พบว่าอากาศรอบตัวนั้นเหมือนถูกสูบออกไป เบาบางลงไปเรื่อยๆ

การหายใจของเขากลายเป็นเรื่องยาก

และในขณะเดียวกัน พวกยามเมืองของชุมชนศิลาแดงทั้งหลายซึ่งอยู่ที่แนวป้องกันอายซูเปอร์มาร์เก็ตกับห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์ก็พลันรู้สึกเหมือนโลก

จมอยู่ใต้น้ำอีกครั้ง รู้สึกว่าไม่สามารถลอยตัวขึ้นมาได้

หลงเยว่หงซึ่งมีประสบการณ์มาแล้วไม่ปล่อยให้พลังงานอันมีค่าเสียเปล่าไปกับการพยายามสูดหายใจให้มากขึ้น เขากลั้นหายใจแล้วยิงระเบิดออกไป

ทว่าเสียงปืนจากแนวป้องกันหลายแห่งนั้นเงียบลงไปแล้ว จึงทำให้การยิงประสานนั้นไม่สามารถกดดันสกัดกั้นมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาได้อีกต่อไป

พวกเขาเข็นรถปืนใหญ่ออกมา ยิงปืนครกที่ประกอบไว้ชั่วคราว ถือปืนบาซูก้าและปืนยิงลูกระเบิด โจมตีใส่แนวป้องกันของชุมชนศิลาแดง

ตูม! ตูม! ตูม!

ปืนใหญ่ที่ยิงถล่มใส่พร้อมๆ กันนั้นไม่ทราบว่ามากน้อยเพียงใด ทำให้หลงเยว่หงและคนอื่นๆ ต้องก้มนอนลงไป ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมา

ปีศาจภูเขาผิวสีน้ำเงินมีฟันแหลมคมฉวยจังหวะนี้ถือปืนกลมือและปืนไรเฟิลจู่โจมรีบวิ่งเข้าใส่ตำแหน่งต่างๆ ของแนวป้องกันที่อยู่ท่ามกลางอาคารที่พังถล่มได้อย่างง่ายดายเสมือนว่ากำลังเดินอยู่บนพื้นราบ

เมื่อการยิงถล่มของปืนใหญ่หยุดไปชั่วคราว หลงเยว่หงก็เงยศีรษะขึ้น วางพาดปืนยิงลูกระเบิดไว้ที่ขอบหน้าต่าง

ภายใต้แสงจันทร์อันหม่นสลัว เขามองเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด มองเห็นผิวหนังที่เป็นสีน้ำเงิน มองเห็นปืนซึ่งมีสีดำ มองเห็นเลือดกระจายพุ่งกระฉูดเป็นบางครั้ง

ปีศาจภูเขาบางส่วนล้มลง ทว่าปีศาจภูเขาที่ตามมาด้านหลังก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า หลั่งไหลกลืนกินพวกพ้องราวกับเป็นกระแสน้ำไหลบ่า มุ่งหน้าแห่กันเข้าไปยังแนวป้องกันของชุมชนศิลาแดง

หลงเยว่หงซึ่งไม่เคยพานพบกับฉากเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทำให้เขาตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้เขาเฉื่อยชา ความหวาดกลัวบางประการช่วยผลักดันทำให้เขายิงลูกระเบิดออกไป

ท่ามกลางเสียงคำรามของการระเบิด ไป๋เฉินกับหานวั่งฮั่วยังคงเยือกเย็น เล็งยิงไปที่มือปืนที่อยู่ด้านหลังและผู้นำทัพที่อยู่ด้านหน้า หนึ่งนัดคร่าหนึ่งชีวิต

เสียงปืนใหญ่ยิงถล่มดังขึ้นมาอีกอย่างรวดเร็ว ผนวกกับการยิงมาจากทัพหน้าที่บุกเข้ามาแล้วจึงทำให้แนวป้องกันซึ่งขาดออกซิเจนต้องหมอบลงไปกับพื้นอีกครั้ง

พวกเขาอ้าปาก พยายามสูดออกซิเจนเข้าไปให้มากขึ้นแต่ก็ไร้ประโยชน์ บางคนเริ่มอาเจียน บางคนก็เริ่มหัวหมุนวิงเวียน

ที่ลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานและผู้คุ้มกันกลุ่มสุดท้ายต่างก็ถือปืนกลมือยิงใส่ในจุดที่ซางเจี้ยนเย่าซ่อนตัว ในขณะที่บางคนขยับเข้าใกล้แปลงดอกไม้ที่เจี่ยงไป๋เหมียนนอนหมดสติ ต้องการเข้าไปสังหารโดยตรง เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ ‘เร่งจังหวะหัวใจ’ ในตอนที่เธอฟื้นคืนสติขึ้นมา

เฉกเช่นเดียวกับยามเมืองทั้งสองที่นอนสลบอยู่ริมลานจอดรถเองก็ต้องถูกจัดการเช่นเดียวกันเพื่อขจัดภัยในอนาคต ถึงอย่างไรพวกเขาก็สวมชุดเกราะเสริมแรงอยู่ หากว่าฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ เปลี่ยนกระแสการศึกได้

มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานกำลังเร่งมือเพื่อจัดการกับศัตรูคนอื่นๆ อยู่ในขณะนี้ จึงจำต้องหยุดใช้พลังพิเศษก่อนที่เป้าหมายจะหัวใจเต้นเร็วจนถึงขั้นเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความคิดของพวกเขาเท่านั้น เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เนื่องจากการ ‘หายใจไม่ออก’ นั้นถึงแม้ว่าจะหมดสติก็ยังคงส่งผลเช่นเดิม ขอเพียงแค่ใช้เวลาให้นานเพียงพอ คนที่สลบไปก็ยังคงเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนอยู่ดี

ณ ช่วงเวลานี้ ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังซ่อนตัวหลบอยู่หลังที่กำบังก็ไม่ได้เร่งร้อน

ขณะที่กำลังกลั้นหายใจอยู่ เขาก็วางกระเป๋าเป้ยุทธวิธีที่สะพายเอาไว้ แล้วหยิบเอาลำโพงขนาดเล็กสีดำที่มีก้นสีน้ำเงินออกมาท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่กำลังยิงถล่มไม่หยุด จากนั้นก็วางไว้ที่กองหินที่หัวมุมเพื่อให้มีอะไรป้องกันมันไว้แบบง่ายๆ

หลังจากเลือกลำดับรายการเพลงเสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็สละปืนไรเฟิลจู่โจม รูดซิปเสื้อแล้วปลดระเบิดมือจากเข็มขัดติดอาวุธ ดึงสลักนิรภัยออก

เขาหันหลังให้ศัตรู คำนวณระยะห่างอย่างรู้สึกตื่นเต้น จากนั้นก็โยนระเบิดไปข้างหลังราวกับโยนทิ้งขว้าง

เสียงระเบิดดังขึ้นในทันที ทำให้มนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่กับผู้คุ้มกันจำต้องหลบถอยห่างออกไปเป็นระยะทางหนึ่ง

แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถอดเสื้อคลุมสีน้ำเงินออก โยนออกไปในแนวขวาง

ในขณะที่เสื้อลอยออกไปก็มีเสียงปืนดังออกมาจากลำโพงตัวเล็ก

ปัง! ปัง! ปัง!

เสื้อคลุมตัวนั้นถูกกระสุนยิงจนพรุน

ซางเจี้ยนเย่ารีบฉวยโอกาสนี้ชัก ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมาแล้วกระโดดพุ่งออกไป

สิ่งแรกที่ปรากฏเห็นในสายตาของเขาก็คือมนุษย์มัจฉาธรรมดากำลังชันเข่าข้างหนึ่งถือปืนกลมือ เหงือกที่หลังใบหูทั้งสองข้างสั่นพะเยิบไม่หยุด

ปัง!

‘ยูไนเต็ด 202’ ทั้งสองกระบอกในมือซางเจี้ยนเย่ายิงออกมาพร้อมกัน

ดวงตาของมนุษย์มัจฉาแข็งทื่อ หัวกะโหลกปลิวกระเด็น สีแดงสีขาวขุ่นสาดกระจายเต็มพื้น

เสียงดังตุ๊บ ร่างซางเจี้ยนเย่าร่วงกระทบพื้นแล้วกลิ้งม้วนตัวต่อเนื่องไปซ่อนร่างอยู่ด้านหลังกองคอนกรีต

นี่คือป้อมปราการที่ผู้คุ้มกันมนุษย์มัจฉาสร้างไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อมนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานเห็นเช่นนี้จึงเลิกใช้ปืนกลมือ รักษาอิทธิพลของ ‘หายใจไม่ออก’ เอาไว้แล้วเดินรี่เข้าไปยังรถที่หุ้มเกราะหนาอย่างรวดเร็ว

เสียงเครื่องยนต์คำรามขึ้น รถที่ทั้งหนักและหนาเทอะทะก็เริ่มเคลื่อนที่อย่างดุดัน พยายามจะออกจากลานจอดรถ ไปสมทบกับกองกำลังหลัก

ภายใต้สถานการณ์ที่เหลือตัวคนเดียว มนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานก็เข้าใจกระจ่างถึงเรื่องหนึ่ง

นั่นคือไม่ต้องไปพัวพันกับพวกมนุษย์ที่เข้าสู่สภาวะ ‘หายใจไม่ออก’ อีกแล้ว ต้องรีบกลับเข้าไปอยู่ในระยะของมือปืนฝั่งตนเองโดยเร็วที่สุดเพื่อให้อยู่ขอบเขตการปกป้องอีกครั้ง

นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขารักตัวกลัวตาย เพียงแค่ไม่อยากพาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ทั้งยังต้องพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมอีกด้วย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่มนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาจะรวมพลังกันตีฝ่าแนวป้องกันของชุมชนศิลาแดง เขาไม่อาจทำให้ห่วงโซ่ของสถานการณ์สะดุดอยู่ที่นี่

ขอเพียงแค่ยังรักษาสภาพการณ์ในตอนนี้เอาไว้ได้ เจ้าพวกคนที่ฆ่าคนคุ้มกันของเขาไปมากมายสุดท้ายก็จะขาดอากาศจนขาดใจตายไปเองนั่นแหละ

รถหุ้มเกราะส่งเสียงครืดคราดเคลื่อนตัวเข้าใกล้ซางเจี้ยนเย่าแล้วเลยผ่านเขาไป มุ่งหน้าไปที่ทางออก

แต่แล้วในตอนนี้เอง มนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานจู่ๆ ก็พลันร้อนใจขึ้นมา รู้สึกว่าไม่อาจจะปล่อยศัตรูทิ้งเอาไว้ที่นี่ได้

เขาหักพวงมาลัยอย่างไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ทำให้รถพุ่งเข้าใส่ซางเจี้ยนเย่า พยายามจะชนเขาให้ตายแล้วบดขยี้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘คนไร้เหตุผล’ !

ก่อนหน้านี้ซางเจี้ยนเย่าใช้พลังพิเศษอย่างเจือจาง ดังนั้นมนุษย์มัจฉาสวมมงกุฎกิ่งไม้สานจึงไม่ได้มองเขาเป็นผู้ตื่นรู้

ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในระยะขอบเขตพลัง ซางเจี้ยนเย่าจึงเลิกใช้วิธีจูงใจแบบนุ่มนวล จัดการทำให้เขากลายเป็นคนไร้เหตุผลออกมาตรงๆ ทันที

อย่างไรก็ตาม มนุษย์มัจฉาที่สวมมงกุฎกิ่งไม้สานดูเหมือนว่าจะสามารถต้านทานเรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่ง เขาจึงไม่ได้หยุดรถเพื่อเลือกที่จะลงมาประจันหน้ากับซางเจี้ยนเย่าแล้วต่อสู้กันอย่างลูกผู้ชาย

เขายังคงนั่งอย่างมั่นคงอยู่ในรถเกราะกันกระสุนอันปลอดภัย เหยียบคันเร่งเพื่อเร่งเครื่องเข้าใส่

เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่ม รถหุ้มเกราะพุ่งเข้าใส่ซางเจี้ยนเย่าราวกับเป็นม้าพยศ

ในเวลานี้ลำโพงขนาดเล็กซึ่งอยู่อีกด้านไม่ได้เปิดเสียงยิงปืนที่บันทึกไว้ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองหญ้าไพรอีกต่อไป มันกำลังเล่นเพลงซึ่งอยู่ในลำดับถัดไป

เสียงขลุ่ยซอนาอันโดดเด่นดังขึ้นในทันที ท่วงทำนองอันงามสง่าบรรเลงขึ้นมา ทำให้ผู้คนรู้สึกเลือดลมระอุ เกิดความเร่าร้อน

เป็นดนตรีโหมโรงคณะมีดสั้น[1]

[1] ดนตรีโหมโรงคณะมีดสั้น (小刀会序曲)ประพันธ์ปี 1959 โดยซางอี้ (商易) ดนตรีโหมโรงของละครนาฏศิลป์พื้นบ้าน คณะมีดสั้น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท