รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 216 จากเย่อหยิ่งแปรเป็นเคารพ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 216 จากเย่อหยิ่งแปรเป็นเคารพ

ซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘ถาม’ แทนซ่งเหอโดยไม่ต้องให้เขาถามเอง

“ข้างในเป็นยังไง”

จากการพูดคุยเมื่อครู่นี้สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือเชลยมนุษย์มัจฉาผู้นี้สามารถฟังภาษาแม่น้ำแดงเข้าใจถ้าหากเขาพูดให้ช้าลงสักหน่อย

เชลยมนุษย์มัจฉาส่ายหน้า

“ที่นั่นทำให้รู้สึกแปลกๆ แปลกมากๆ พวกเราก็เลยไม่กล้าเข้าไป ทำได้เพียงแจ้งผู้นำสาร เอ่อ… ตอนนั้นเขายังเป็นบาทหลวงอยู่น่ะ

ซ่งเหอไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาถามไปประโยคหนึ่ง

“หลังจากที่เขาออกมาแล้วก็ห้ามพวกคุณเข้าไปสำรวจใช่หรือเปล่า”

เชลยมนุษย์มัจฉาประหลาดใจ

“ทำไมเจ้าถึงรู้”

ก็ใช้สมองคิดนะสิ… หลงเยว่หงแอบเสียดสีอยู่ในใจ

เมื่อเชลยมนุษย์มัจฉาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าซ่งเหอก็ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีก ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ตอนนั้นเขาเข้าไปในวิหารเพียงลำพัง แค่ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ออกมาแล้ว จากนั้นก็บอกว่ามีอันตรายมาก หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด

“เพียงไม่ถึงสองวันเขาก็ให้ทุกคนถอนตัวออกจากเกาะ”

ซ่งเหอผงกศีรษะเล็กน้อย ถามชี้นำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

“หลังจากนั้นผ่านไปนานแค่ไหนเขาถึงได้แข็งแกร่งมากขึ้นขนาดนั้น”

“ข้าไม่รู้” เชลยมนุษย์มัจฉาตอบด้วยความไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักเช่นกัน “สองสัปดาห์ต่อมาในพิธีมหามิสซา พวกเราถึงจะรับรู้ความแข็งแกร่งของเขาได้ จากนั้นก็เลยเปลี่ยนมาเรียกเขาว่าผู้นำสารแห่งเทพ”

ซ่งเหอฟังอย่างเงียบๆ จนจบก็ครุ่นคิดใคร่ครวญ ไม่ได้ถามอะไรไปช่วงหนึ่ง

ซางเจี้ยนเย่าถือโอกาสถามด้วยความสงสัย

“โดยปกติเขาชอบนอนหลับเหรอ”

เชลยมนุษย์มัจฉารู้สึกงุนงงกับคำถามนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่งถึงจะตอบออกมา

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“เขาพักอยู่หลังโบสถ์คนเดียว ออกมาแค่ตอนเทศน์ ตอนมีมิสซา แล้วก็ตอนมีเรื่องสำคัญอย่างเมื่อคืนนี้”

ซ่งเหอกับซางเจี้ยนเย่าผลัดกันถามสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีใครได้รับคำตอบที่น่าพอใจ

เห็นได้ว่าเชลยมนุษย์มัจฉาไม่ได้ปิดบังอะไร นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จริงๆ

“เอาละ วันนี้พอแค่นี้” ซ่งเหอยืนขึ้นแล้วพูดอย่างมีไมตรี

เชลยมนุษย์มัจฉาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็ถามขึ้นอย่างปุบปับ

“พวกเจ้าจะฆ่าข้าแล้วใช่ไหม”

ร่างกายเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย

ซางเจี้ยนเย่ามองเขาแล้วหันหน้าไปพูดกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ

“ผมไถ่ตัวเชลยพวกนี้ได้ไหมครับ”

นายจะไถ่ตัวเอาไปทำอะไรเหรอนั่น… หลงเยว่หงพึมพำอยู่ในใจ

ซ่งเหอเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มพลางถอนหายใจ แล้วพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง

“พวกเขาไม่ใช่ผู้รุกรานในความหมายที่แท้จริง ส่วนพวกเราเองก็มีบ้านที่ต้องปกป้อง ในสนามรบนั้นอาวุธไม่มีตา ใครจะฆ่าฟันกันก็เป็นเรื่องปกติ

“ขอเพียงแค่ไม่ได้ฆ่าฟันตามอำเภอใจ ผมก็คิดว่าไม่ควรเอาความแค้นไปลงกับเชลยศึก ความผิดของพวกเขาก็ให้พิจารณาว่ากันตามความเหมาะสมภายใต้การเฝ้ามองของผู้ครองกาลก็เพียงพอแล้ว นี่เป็นหนึ่งในคุณธรรมขั้นต่ำของมนุษย์ที่ทำให้พวกเราแตกต่างจากสัตว์

“ทีมสังเกตการณ์ของเราก่อนหน้านี้ไม่ได้กลับมา ยามเมืองที่ส่งออกไปดูลาดเลาหลังจากนั้นก็ถูกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาจับตัวไป ถ้าหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และพวกนักโทษทางนี้ไม่ได้ฆ่าคนตามอำเภอใจ ผมจะพยายามผลักดันให้มีการติดต่อกันระหว่างทั้งสองฝ่ายเพื่อแลกตัวเชลยศึก”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เชลยมนุษย์มัจฉาก็ผ่อนคลายทันที ทั้งตัวราวกับไร้กระดูก ทรุดลงไปกับเก้าอี้

หลังจากออกมาจากห้องสอบปากคำแล้ว ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และซ่งเหอ ก็เดินออกมายังที่จอดรถชุมชนศิลาแดงด้วยกัน

ตอนที่กำลังจะไปยังจุดที่จอดรถจี๊ปเอาไว้ จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็นึกบางเรื่องขึ้นมาได้

“ทำไมถึงไม่เห็นบัซเลยล่ะ”

ซ่งเหอเงียบงันไปชั่วขณะ

“เขาก็เป็นยามเมืองเหมือนกัน เมื่อคืนถูกส่งเข้าไปเสริมกำลังที่แนวป้องกัน ยังไม่ได้กลับมา”

เขาพูดอย่างละมุนละม่อมที่สุด

เอ๊ะ… หลงเยว่หงชะงักไปเล็กน้อย

เมื่อคืนเขาเห็นชาวชุมชนศิลาแดงเสียชีวิตในการสู้รบไปมากมายหลายคน แต่เป็นเพราะไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นจึงไม่ได้เกิดความรู้สึกลึกซึ้ง แต่ใครจะรู้ บัซที่ก่อนหน้านี้พยายามเอาตัวรอดและหาวิธีป้องกันตัวมาตลอด สุดท้ายกลับไม่อาจรอดชีวิตจากสงครามครั้งนี้ได้

เดิมทีหลงเยว่หงคิดว่าหลังจากแผนของเฮลเว็กกับอันเฮอบัสถูกเปิดโปงแล้ว บัซซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากโบสถ์จะได้อยู่อย่างเป็นสุข ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง

เขาขุดอุโมงค์เอาไว้ตั้งเยอะแยะแต่ก็ไม่สามารถป้องกันชีวิตตัวเองในสนามรบได้… ในสงคราม คนเพียงแค่คนเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรเลย บอกให้ตายก็ต้องตาย เฮ้อ… ถ้าไม่มีสงครามก็คงจะดีกว่านี้… หลงเยว่หงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า ไม่อาจตีความอะไรจากหน้ากากลิงได้

ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปครู่หนึ่ง

“พวกคุณจะจัดงานศพให้เขาหรือเปล่า

“ผมรู้พิธีศพเยอะเลยนะ”

ซ่งเหอพูด “อืม” ออกมาหนึ่งคำ

“อย่าเสียใจไปเลย เขาได้เข้าสู่โลกใหม่ภายใต้การนำทางแห่งองค์เทพี ‘ธชียมโลก’ ไปแล้ว

“ในนิกายของเราไม่ได้จัดพิธีศพอะไรที่ซับซ้อน มีเพียงแค่มิสซาส่งวิญญาณเท่านั้น”

“ผมเข้าร่วมได้ไหมครับ” ซางเจี้ยนเย่าถาม

ซ่งเหอผงกศีรษะเบาๆ

“ได้สิ

“หากไม่มีพวกคุณ ชาวชุมชนศิลาแดงคงตายเพิ่มอีกมาก”

หลังจากอำลาซ่งเหอแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็เดินกลับมาย่านที่พักแรมอย่างเงียบงัน

ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกินยาแก้อักเสบและนอนหลับไปสักพักแล้ว สภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเที่ยงไม่น้อยเลย

เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนทราบเรื่องการตายของบัซ เธอก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจไปสองสามครั้งให้กับความเปราะบางของชีวิต

จนกระทั่งหลงเยว่หงเล่าเรื่องเกาะใหญ่กลางทะเลสาบ เรื่อง ‘เทพ’ ผู้หลับใหล เรื่องวิหารต้องห้าม และการระบาดครั้งใหญ่ของ ‘โรคไร้ใจ’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ดวงตาเป็นประกาย

นี่คือเรื่องที่เธอรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง

“พอ ‘เทพ’ ที่ปกป้องพวกเขาหลับไป ‘โรคไร้ใจ’ ก็แพร่ระบาดในวงกว้างงั้นเหรอ ทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ หรือเปล่านะ ถ้าหากว่าเกี่ยว และพวกเราสามารถหาเจอ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไขความลับของ ‘โรคไร้ใจ’ ได้ก็ได้!” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นทุกขณะ ราวกับว่าไม่อยากจะทนป่วยต่อไปอีกแม้เพียงแค่วินาทีเดียว อยากจะรีบสลัดผ้าห่มแล้วรีบบึ่งตรงไปริมทะสาบมองหาเรือข้ามเกาะทันที

นอกจากเรื่อง ‘โรคไร้ใจ’ แล้วก็ยังมีเรื่องของ ‘เทพ’ ที่หลับใหล เรื่องของผู้ตื่นรู้สมัยโลกเก่าที่คาดว่าเข้าไปสำรวจ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ล้วนแต่ทำให้เธอได้เติมเต็มความปรารถนาที่อยากค้นคว้าทั้งสิ้น

เรื่องทั้งหมดนี้ถึงวอนขอก็ใช่ว่าจะได้ ต้องแล้วแต่โชคชะตาเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นดั่ง ‘แสงสายัณห์ตะวันรอน’[1] เช่นนี้ หลงเยว่หงก็แอบ ‘สูด’ ปากเงียบๆ

“หัวหน้า… ทะเลสาบพิโรธ นั่นมันเป็นอาณาเขตของมนุษย์มัจฉานะ”

สำหรับมนุษย์ชั้นรองที่เชี่ยวชาญการว่ายน้ำ มีทั้งเหงือกมีทั้งเกล็ด การจะจับเรือสองสามลำพลิกคว่ำนั้นเป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

และยิ่งกว่านั้น ทั้ง ‘เทพ’ หลับใหลอะไรนั่น ทั้งวิหารต้องห้าม ทั้ง ‘โรคไร้ใจ’ ที่แพร่ระบาดครั้งใหญ่ แค่ฟังดูก็รู้ว่าอันตรายขนาดไหน!

“ฉันไม่ได้โง่ซักหน่อย ฉันยังป่วยอยู่นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างขบขันออกมาประโยคหนึ่ง “ใช่ไหมล่ะ เสี่ยวไป๋”

ไป๋เฉินที่กำลังนั่งฟังอย่างเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด

“ฉันเห็นด้วยกับประโยคหลังของคุณ”

“ประโยคหลัง… ที่ว่า ‘ยังป่วยอยู่’ นะเหรอ ฮ่า นี่เธอบอกว่าฉันโง่งั้นเหรอ” หัวสมองของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่รวดเร็วฉับไวเหมือนทุกที ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจความหมายของไป๋เฉิน

ไป๋เฉินลุกขึ้นยืนแล้วตอบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น

“แต่ถ้าจะคิด งั้นก็ช่วยไม่ได้”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วหันไปมองซางเจี้ยนเย่า “ไหงฉันถึงรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ติดเชื้อจากนายมานะเนี่ย ฉันคิดถึงเสี่ยวไป๋ในสมัยก่อนที่ไม่เคยพูดประชดประชันชะมัด!”

หลังจากหัวเราะเฮฮากันไปพักหนึ่ง เป็นเพราะผู้ป่วยต้องพักผ่อนให้มาก ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจึงกลับไปห้องที่อยู่ถัดไป จัดการกับธุระของตัวเอง จากนั้นก็วางแผนซื้ออาหารสดจากชุมชนศิลาแดงเพื่อเพิ่มความหรูหราให้กับอาหารเย็นวันนี้เสียหน่อย

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูพวกเขาออกจากห้องไปแล้วก็ยิ้มออกมา

เธอยังคงกระหายที่จะทำ ยังคงต้องการไปที่เกาะใหญ่กลางทะเลสาบเกาะนั้น ต้องการจะไปดู ‘เทพ’ ที่หลับใหลเสียหน่อย

แต่เรื่องนี้ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ‘สาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ แม้แต่น้อย ไม่ได้เป็นภารกิจของทีม เธอจึงไม่อยากลากไป๋เฉิน หลงเยว่หง และซางเจี้ยนเย่า ให้เข้าไปพัวพันกับภยันตรายเพียงเพราะความปรารถนาของตนเอง

น่าขายหน้าจริงๆ เลยเชียว… หรือว่าจะแอบไปดีไหม แต่ในฐานะที่เป็นแบบอย่างอันดีของทีม จะทำแบบนั้นได้ยังไง… เจี่ยงไป๋เหมียนเอนหลังพิงหมอน ความคิดกระเจิดกระเจิง

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่ขอบเตียงอีกหลังหนึ่งก็พูดขึ้น

“อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณบอกผมล่วงหน้าก่อนนะ”

“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนงุนงง

แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าประโยคนี้ฟังคุ้นๆ อยู่บ้าง

หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียด เธอก็นึกออกว่าตัวเองเคยพูดอะไรทำนองนี้มาก่อน

ตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพร จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ข่มขู่พวกขุนนาง หลังจากสร้างภาคีภราดรภาพแล้วเธอก็เตือนเจ้าหมอนี่ว่าถ้าเขาคิดจะทำอะไรแบบนี้อีก อย่างน้อยก็ให้ขยิบตาเป็นสัญญาณบอกใบ้เสียหน่อย ไม่ใช่จู่ๆ ก็พรวดพราดทำออกมากระทันหัน

พออยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนั้นจริงๆ จะไม่สนับสนุนเขา จะไม่ช่วยระวังหลังให้เขาอย่างนั้นหรือไง

สหายคืออะไร ก็คือคนที่เพียงแค่ขยิบตาให้ก็สามารถฝากชีวิตให้เขาได้แล้ว!

และในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้คำพูดเดียวกันนี้ส่งกลับมา

ความหมายของเขาก็คือเขาจะสนับสนุน ยินดีที่จะไปสำรวจวิหารที่เกาะกลางทะเลสาบด้วยกันอย่างนั้นนะเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนพลันเข้าใจได้อย่างกระจ่างในทันที บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่มองเห็นเด่นชัดออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

เธอฮึมฮัมเบาๆ ออกมาสองครั้ง

“ฉันว่านะ นายนั่นแหละที่อยากจะไปเสียเอง”

“ใช่ ใช่” ซางเจี้ยนเย่ายอมรับเต็มปากเต็มคำ

เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา พูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

“ฉันยังป่วยอยู่ย่ะ”

ถึงจะอยากไปจริงๆ ก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อน

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาหยิบลำโพงตัวเล็กออกมาจากกระเป๋าเป้ยุทธวิธีแล้วสำรวจตรวจตราความเรียบร้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากับเจี่ยงไป๋เหมียน หนึ่งคนหันหน้า หนึ่งคนเอี้ยวตัว มองไปที่ประตูพร้อมกัน

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“ใคร” ซางเจี้ยนเย่าหยิบหน้ากากลิงขึ้นมาสวม

เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลี

จากนอกประตูมีเสียงตอบอย่างรวดเร็วด้วยภาษาแดนธุลีสำเนียงเพี้ยนๆ

“เลห์แมน

“พ่อค้าเลห์แมนจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’”

พ่อค้าอาวุธเถื่อนที่ขายอาวุธให้เฮลเว็กเหรอ… ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธที่จะพบพวกเรา ไม่อยากเข้ามาติดอยู่ในวังวนปัญหาของชุมชนศิลาแดง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้มาเคาะประตูถึงที่เลยล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนรวบรวมสมาธิ สวมเสื้อคลุม สวมหน้ากาก

จากรูปลักษณ์ภายนอก เลห์แมนดูไม่เหมือนพ่อค้าอาวุธแม้แต่น้อย มีดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมบลอนด์ตัดสั้นยุ่งเหยิง ท่าทางกระสับกระส่ายเล็กน้อย ไม่สูงไม่เตี้ย หน้าตาดูธรรมดา บุคลิกภาพเก็บตัว ทำให้เขาดูไม่มีอะไรแตกต่างไปจากทาสชาวแม่น้ำแดงวัยกลางคนในคฤหาสน์ขุนนางที่นอกเมืองหญ้าไพร

ลักษณะที่สะดุดตาผู้คนที่สุดก็คือจมูกสีแดงซึ่งเกิดจากการเป็นคอสุรามานานหลายปี

และบนแดนธุลีนั้น การที่ใครสามารถเป็นคอสุรามาได้หลายปีนั่นก็เพียงพอที่จะบ่งชี้สถานะหรือคุณค่าของคนผู้นั้นได้

เลห์แมนนั่งลงท่ามกลางพวกคนคุ้มกัน

เขายังคงรักษารอยยิ้ม ถูมือไปมา และพูดด้วยภาษาแดนธุลีที่ไม่ชำนาญ

“ได้ยินว่าพวกคุณเป็นคนฆ่าผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งมากคนนั้น”

ถึงแม้ว่าภาษาแดนธุลีของเขาจะพูดไม่คล่องนัก แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่คิดจะให้เขาใช้ภาษาแม่น้ำแดง เธอถามด้วยรอยยิ้ม

“คุณไปฟังมาจากไหนล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าให้ความ ‘ร่วมมือ’ พูดเสริมออกมาหนึ่งประโยค

“ความลับของพวกเราถูกแพร่งพรายซะแล้ว!”

เลห์แมนตัวแข็งทื่อทันที

[1] แสงสายัณห์ตะวันรอน (回光返照) แสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้า อุปมาถึงความสดใสกระปรี้กระเปร่าก่อนจะดับสลายหรือเสียชีวิต

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท