รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 222 วิหาร

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 222 วิหาร

ขณะนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น ท้องฟ้าในฤดูหนาวสว่างไม่มากนักแต่ก็ยังไม่ถึงกับมืดค่ำ แสงสว่างส่องลงบนพื้น ทะเลสาบมีลมโชย ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเวลาเช้าตรู่

ถนนสาธารณะบนเกาะเป็นดังที่เชลยมนุษย์มัจฉาคนนั้นพูดไว้ ความเสียหายไม่ได้รุนแรงมากนัก บางส่วนถูกลมฝนแสงแดดกร่อนเป็นรอยแตก บางส่วนก็มีคราบสกปรกและฝุ่นปกคลุมอยู่มาก

สำหรับเจี่ยงไป๋เหมียนที่ขี่จักรยานอยู่ ลมเย็นที่พัดต้องใบหน้าทำให้เคลิบเคลิ้มเหมือนอยู่ในอากาศยามเช้า ซ้ายมือเป็นพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่แผ่ไปถึงเชิงเขา ด้านขวามองลอดต้นไม้แห้งเหี่ยวสองแถวออกไปก็จะเห็นทะเลสาบกว้างใหญ่มีหมอกล่องลอยบนผืนน้ำ

ทิวทัศน์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกเบิกบาน จิตใจผ่อนคลาย หากไม่ใช่เพราะสะพายปืนยิงระเบิดกับปืนไรเฟิลจู่โจมเอาไว้ เธอก็คงลืมวัตถุประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ไปแล้ว

“น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นหน้าหนาว พวกพื้นที่เพาะปลูกกับต้นไม้ใบหญ้าก็เลยไม่ได้สดชื่นเขียวชอุ่ม ไม่งั้นก็คงให้ความรู้สึกดีกว่านี้อีก” เจี่ยงไป๋เหมียนถีบรถจักรยานไปพลาง ถอนหายใจไปพลาง

ซางเจี้ยนเย่าพยายามควบคุมแรงตัวเองเต็มที่เพื่อไม่ให้ขี่จักรยานนำเจี่ยงไป๋เหมียนทิ้งไปไกล

“ฤดูใบไม้ร่วงจะยิ่งสวยกว่านี้อีก

“ทำไมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดไม่ถึงว่าซางเจี้ยนเย่าจะมีการเลือกฤดูกาลด้วย

ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ก็จะมีผลไม้อยู่บนต้นเยอะเลยน่ะ”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์มัจฉาจะถอนกำลังออกจากเกาะนี้ไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งผู้นำสารหรือว่าเป็นเพราะถ้าใช้เวลาอยู่ที่นี่มากกว่าสามวันจะมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นกันแน่…”

นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เตือนให้ใส่ใจ

ห้ามอยู่บนเกาะเกินสามวัน

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงขบคิดชั่วขณะ

“ตอนนั้นไม่ได้ถามเรื่องนี้กับเชลย”

“ก็ตอนนั้นไม่มีใครรู้นี่นา” เจี่ยงไป๋เหมียนปลอบใจเขาประโยคหนึ่ง

ในตอนที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไปสอบปากคำเชลยมนุษย์มัจฉา เธอยังล้มป่วยอยู่ ยังไม่ได้รายงานเรื่องนี้กลับบริษัท จึงยังไม่รู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันความปลอดภัยในการสำรวจวิหารต้องห้าม

และหลังจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ตอบกลับในเช้าวันที่สอง ทางชุมชนศิลาแดงกับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาก็แลกเปลี่ยนเชลยศึกกันไปแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าที่พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ขี่จักรยานเร็วเกินไป หันหน้ามามองเจี่ยงไป๋เหมียน

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นคำสั่งของผู้นำสาร”

“หือ” ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็คิดว่าเป็นเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังรู้สึกสนใจในกระบวนการอนุมานของซางเจี้ยนเย่า

เธอรู้สึกว่าการเรียนรู้กระบวนการคิดที่แตกต่างนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อไม่ให้ตัวเองถดถอยไม่ก้าวหน้า

โดยความเป็นจริงแล้วผู้ตื่นรู้จำนวนไม่น้อยจะมีปัญหาทางจิตในระดับหนึ่ง จึงยากที่จะคาดเดารูปแบบพฤติกรรมพวกเขาได้ด้วยตรรกะตามปกติ

ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์

“เขากับซ่งเหอกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว ตอนที่พูดถึงเกาะกลางทะเลสาบกับวิหารต้องห้าม เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่าถ้าอยู่บนเกาะนานเกินไปจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น คงเป็นเพราะเขาเองก็น่าจะไม่รู้สถานการณ์อย่างเฉพาะเจาะจงเหมือนกัน”

“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะนี่เป็นการอนุมานด้วยตรรกะตามปกติ

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!

ซางเจี้ยนเย่ากดกริ่งจักรยานอย่างสนอกสนใจ ราวกับว่าเขาต้องการกดให้ออกมาเป็นเพลง

แต่น่าเสียดาย กริ่งจักรยานย่อมทำแบบนั้นไม่ได้

“…” นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนสลัดความผิดหวังออกไปได้

ทั้งคู่ขี่จักรยานผ่านบ้านที่ถูกทิ้งร้างริมทะเลสาบ ใช้เวลาราวสิบนาทีก็มองเห็นย่านชุมชน

ลักษณะรูปแบบของเมืองนั้นเหมือนกับเมืองหญ้าไพรมาก เป็นผนังสีขาวปูกระเบื้องสีดำ ชายคาจีนแบบโต๋วก่ง เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ของโลกเก่า

แน่นอนว่ายังมีจุดที่แตกต่างจากเมืองหญ้าไพรอยู่

ประการแรกคือไม่มีกำแพงเมือง ประการที่สองคืออาคารทั่วไปไม่สูงมากนัก มีเพียงสองสามชั้นเท่านั้น

ในเมืองปูด้วยแผ่นหินปูน วัชพืชแห้งกรอบสีเหลืองถูกลมหนาวโบกพัดปลิวขึ้นฟ้าเป็นครั้งคราว

ไม่ทราบว่าเหตุใด ทันทีที่เข้ามาในเมืองเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันรู้สึกว่าแสงสว่างนั้นสลัวลงไปประมาณหนึ่ง

ทำให้เธอเห็นฉากที่เก่าแก่ เงียบสงัด และน่าขนลุกเล็กน้อย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตลอดทั้งเมืองไร้ซึ่งร่องรอยว่ามีมนุษย์พักอาศัย หากว่าในตอนนี้ไม่ได้เป็นฤดูหนาวก็คงจะเป็นสรวงสวรรค์ของพืชและสัตว์ป่าไปแล้ว

แม้กระทั่งในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยังเห็นมูลสัตว์แห้งตามหัวมุมและในคูระบายน้ำ

“ไม่มีกลิ่น” ซางเจี้ยนเย่าสูดกลิ่นแล้วตัดสินออกมา

เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะใส่ใจเขา พลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

“ตอนนี้เป็นเวลา 16.16 น. เราต้องออกจากเมืองภายใน 16.42 น. ไม่ว่าจะเจอของมีค่าหรือไม่ก็ตาม

“คุณนับผิดนะ” ซางเจี้ยนเย่าทักท้วง

นั่นมันยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสียหน่อย

เจี่ยงไป๋เหมียนด้านหนึ่งก็พยายามระบุเส้นทางตามที่มนุษย์มัจฉาบอกมาเพื่อมองหาวิหาร อีกด้านก็ยิ้มเยาะไปด้วย

“นี่เขาเรียกว่าเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน

“มีแต่ผีที่รู้ว่าที่นี่มีอะไรไม่เหมือนกับสิ่งที่ทางบริษัทเคยเจอมาก่อนหน้านี้ จะปฏิบัติตามข้อพึงระวังที่บริษัทกำหนดไว้ทุกอย่างไม่ได้หรอก ต้องยกระดับมาตรฐานขึ้นมาหน่อย”

“คุณเหมาะจะเข้าร่วมกับนิกายตื่นตัวจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวชม

เจี่ยงไป๋เหมียนปรายตามอง พูดพึมพำออกมา

“ฟังเหมือนนายกำลังค่อนแคะฉันเลยนะ

“การตื่นตัวของนิกายตื่นตัวกับการตื่นตัวของคนทั่วไปมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ”

เมื่อยืนยันทิศทางอย่างคร่าวๆ ได้แล้วเธอก็ขี่จักรยานเลียบคูน้ำริมถนนตรงเข้าไปใจกลางเมือง

จากคำอธิบายของเชลยมนุษย์มัจฉา วิหารจะอยู่ในตรอกทางตะวันออกของลานเมือง

ที่นี่ก็เช่นเดียวกับเขตชานเมือง นอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวกับเสียงจักรยานเอี๊ยดอ๊าดแล้วก็มีแต่ความเงียบสงัดจนทำให้หนังศีรษะชาหนึบ

“ตอนอยู่ที่รกร้างด้านนอกฉันยังไม่รู้สึกอะไรนะ แต่พอมาถึงที่นี่ พอไม่มีเสียงอะไรสักแอะนี่มันทำให้รู้สึกแปลกๆ ชอบกล” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลียวซ้ายแลขวามองดูรอบๆ ครุ่นคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากถนนที่ค่อนข้างเล็ก สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างคับแคบ และบรรยากาศที่ค่อนข้างน่าอึดอัด

ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจพูด

“น่าเสียดายที่หลงเยว่หงไม่ได้มา”

“มาแล้วจะเป็นยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

ซางเจี้ยนเย่าร้อง “เฮ้อ” ออกมาหนึ่งคำ

“ไม่งั้นผมจะได้เล่าเรื่องผีให้เขาฟัง”

“นายนี่ช่างเป็นเพื่อนผู้แสนดีของเขาเสียจริง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดออกมาอย่างจริงใจ

ในระหว่างที่คุยกันพวกเขาก็มาถึงพื้นที่โล่ง มีลานเมืองที่ขนาดไม่ใหญ่นักปรากฏให้เห็น

ด้านตะวันออกของลานจัตุรัสมีเวทียกพื้นสูงครึ่งเมตร แต่ไม่มีอะไรอยู่บนนั้น

เลยเวทีคอนกรีตออกไปสามารถมองเห็นตรอกแคบๆ ปากตรอกมีกลิ่นอับโชยมาราวกับว่าไม่มีลมพัดผ่านมานานแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนลงจากจักรยานอย่างว่องไว แล้วพิงรถไว้ด้านข้าง

พวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่าลงจากรถ เขาก็พูดความกังวลของตนออกมา

“ต้องล็อกรถไหม ถ้ากลับออกมาแล้วรถหายก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ถ้ารถนายหาย ฉันจะแบกนายเอง!” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดว่า ‘จะมีผีที่ไหนมาขโมยจักรยานในที่แบบนี้ยะ’ แต่ตอบออกมาด้วยกระบวนการคิดของซางเจี้ยนเย่า

สิบกว่าวินาทีผ่านไป หลังจากที่ทั้งคู่จอดจักรยานเสร็จก็หยิบปืนไรเฟิลจู่โจมขึ้นมา ค่อยๆ เดินย่ำทีละก้าวเข้าตรอกด้านหน้าไป

ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งเก่าอับมากขึ้นเท่านั้น รู้สึกเหมือนว่าเวลาที่นี่ถูกแช่แข็งค้างเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการหายใจของซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียน

ประตูหน้าต่างของอาคารทุกหลังภายในตรอกนี้ปิดสนิท ต่างจากบริเวณอื่นๆ ที่ประตูส่วนมากเปิดค้างเหมือนกับถูกคนเข้ามารื้อค้น

และยิ่งกว่านั้นก็คือประตูของที่นี่ล้วนแต่ทาด้วยสีดำทั้งสิ้น

เดินไป เดินไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเองกับซางเจี้ยนเย่า

พวกมันดังก้องกันคนละที เสียงสะท้อนเป็นชั้นๆ

“ที่นี่แปลกจริงๆ” ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนสะท้อนใจ วิหารนั่นก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าพวกเขาแล้ว

วิหารตั้งอยู่ท้ายตรอกในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป ลักษณะของสถาปัตยกรรมไม่ได้ต่างไปจากอาคารสองฝั่งโดยรอบอย่างมีนัย

ประตูสีดำถูกปิดสนิท ด้านบนปูด้วยกระเบื้องสีดำ สองฝั่งข้างประตูมีโคมกระดาษสีขาวแขวนอยู่

บางทีอาจเป็นเพราะมีชายคาคอยบังเอาไว้ทำให้ตะเกียงไม่ได้รับผลกระทบจากสายฝนจนดูเหมือนว่าเพิ่งจะเอามา

แขวนไว้เมื่อคืนนี้เอง

บานประตูของวิหารสูงกว่าของที่อื่นๆ ใต้ชายคามีแผ่นป้ายสีดำเขียนตัวอักษรสีขาวแขวนไว้

เจี่ยงไป๋เหมียนมองปราดอย่างไม่ได้ใส่ใจก็เห็นตัวอักษรบนแผ่นป้ายอย่างชัดเจน

‘วิหารยมราช’

“ยังคงเหมือนเดิมเลยสินะ” เธอประเมินออกมาประโยคหนึ่ง

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดเท้า เพียงไม่นานเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็มาถึงทางเข้าวิหาร

ครั้นพอเข้าใกล้ เธอก็พลันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ความกลัวผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ลังเล เหยียดมือซ้ายออกไปที่ประตู ออกแรงผลักเบาๆ

เธอกับซางเจี้ยนเย่าสวมถุงมือยางไว้ตั้งแต่ก่อนจะขี่จักรยานแล้ว

ตอนนี้เธอระวังตัวมากขึ้น ถึงกับใช้มือซ้ายเพื่อเปิดประตู

เสียงดังแอ๊ด ประตูวิหารบานสีดำค่อยๆ เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นฉากที่อยู่ภายใน

สิ่งแรกที่สะท้อนเข้าสู่สายตาเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็คือลานกลางบ้าน มีโอ่งใส่น้ำอยู่ตามหัวมุมทั้งสี่

สุดลานเป็นหอวิหาร มีผ้าม่านสีขาวแขวนไว้ที่ประตู

เมื่อข้ามธรณีประตูเข้าไปในวิหาร ความกลัวของเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันมลายหายไปในทันที ทว่าในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกหินถ่วงไว้ รู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด

แม้แต่เสียงลมก็ราวกับหายไปจากบริเวณนี้ เงียบสงัดจนเหมือนกับไม่ได้อยู่บนโลกแห่งความจริง

แล้วทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากถามขึ้น

“ผมเอาลำโพงออกมาได้ไหม”

“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังจดจ่ออย่างเต็มที่ถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ

“จะเปิดเพลงน่ะ” ซางเจี้ยนเย่ารีบอธิบายให้ฟัง

จะใช้ลำโพงเปิดเพลงในวิหารที่อึมครึมน่ากลัว ลึกลับ เงียบสงัด น่าอึดอัด น่าขนลุกอย่างนี้เนี่ยนะ อยากจะเปิดพวกเพลงพิลึกพิลั่นพวกนั้นหรือไง… ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะรู้สึกว่าแบบนี้จะช่วยทำลายบรรยากาศโดยรอบในตอนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันออกจะประหลาดไปหน่อย

สถานที่ซึ่งเหมือนจะมี ‘ผีหลอก’ ได้ทุกขณะแต่กลับเปิดเพลงที่มีเนื้อว่า ‘เธอคือแอปเปิลน้อยๆ ของฉัน[1]’ นี่มันบ้าบอสิ้นดี

เธอพิจารณาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่

“ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้ แต่เตรียมเอาไว้ก่อน”

“ได้” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

เมื่อมาถึงทางเข้าหอวิหาร คนทั้งคู่ซึ่งถือปืนไรเฟิลจู่โจมต่างก็เข้าประจำตำแหน่งทันทีโดยยืนทแยงมุมกัน

หลังจากยกผ้าม่านขึ้นมาแล้วมัดเอาไว้ พวกเขาก็เห็นโต๊ะบูชา กระถางธูป ขี้ธูป เบาะกราบ แล้วก็เทียนสีขาว

แต่กลับไม่มีรูปสักการะอยู่บนโต๊ะ และไม่อาจมองเห็นด้านหลังโต๊ะบูชาได้ในตอนนี้

ซางเจี้ยนเย่าพูดขึ้นทันที

“มีจิตสำนึกของมนุษย์ ไม่เกินสิบเมตร”

เขาใช้คำอธิบายที่ค่อนข้างคลุมเครือราวกับยังไม่กล้าระบุขอบเขตที่แน่ชัด

“นายเพิ่งจะรับรู้ได้หลังจากที่เข้ามาอย่างนั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความประหลาดใจ

เธอจำได้ว่าพลังพิเศษของซางเจี้ยนเย่ามีระยะขอบเขตสูงสุดอยู่ที่ 20 เมตร

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างแรง

เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งสมาธิทันที จากนั้นครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมาอย่างลังเล

“จริงด้วย มีสัญญาณไฟฟ้า แต่ว่าอ่อนมาก… อยู่ในสภาวะกิจกรรมทางชีวภาพต่ำสุดๆ”

ในขณะที่พูดเธอก็ถือปืนเดินอ้อมโต๊ะบูชาไปพร้อมกับซางเจี้ยนเย่า

จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นโลงศพโลงหนึ่ง เป็นโลงศพสีดำ

โลงศพถูกเปิดฝาโลงไว้ มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ข้างใน

* * * * *

[1] เพลงลิตเติลแอปเปิล (小苹果) Little Apple โดย ช็อปสติกส์บราเธอส์(筷子兄弟) Chopstick Brothers

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท