รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 227 มนุษย์

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 227 มนุษย์

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ตรงไปยังชุมชนศิลาแดง เข้าไปที่สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ

ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็รู้สึกว่าปัญหาเรื่องหานวั่งฮั่ว ยิ่งจัดการเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

หากยิ่งลากถ่วงต่อไปก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย อย่างเช่นถ้าแวร์ตูร์เกิดพลั้งปากไปเล่าให้สมาชิกยามเมืองคนอื่นฟังว่าเขาเห็นอะไรมา ข่าวที่ว่าหานวั่งฮั่วเป็นมนุษย์ชั้นรองก็จะแพร่ไปทั่วชุมชนศิลาแดงราวกับไฟลามทุ่ง

หากว่าหานวั่งฮั่วไม่ได้เป็นมนุษย์ชั้นรองก็ยังไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาจริงๆ ก็ลำบากแล้ว ถึงเขาจะไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่อชุมชนศิลาแดงแต่ก็คงไม่แคล้วต้องถูกบังคับให้ต้องชี้แจงตัวเองเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์

‘ทีมสำรวจเก่า’ เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาก่อนจึงย่อมมีเจตนาดีต่อเขาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

แต่ทว่าในตอนนี้มีเพียงแวร์ตูร์เท่านั้นที่นั่งอยู่ในสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ

“นายอำเภอหานไม่มาเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยปากถาม

แวร์ตูร์สั่นศีรษะ

“เขาไม่ต้องมารายงานตัวตรงเวลาทุกวัน แล้วตอนนี้ก็ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการกับพวกยามเมืองอีกหลายอย่าง สงครามก่อนหน้านี้ทิ้งปัญหาเอาไว้เพียบ”

เรื่องที่ง่ายที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือจะต้องไปปลอบโยนครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก กับการไปสร้างขวัญกำลังใจให้กับยามเมืองส่วนที่เหลือ

เจี่ยงไป๋เหมียนตรวจจับบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดและยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่ในสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะอีกแล้ว เธอลดเสียงถามออกมา

“คุณไม่ได้แสดงท่าทางอะไรต่อหน้าเขาใช่ไหม”

แวร์ตูร์นึกทบทวนครู่หนึ่ง

“ไม่น่าจะมีนะ เรื่องสภาพจิตใจของผมคนนี้น่ะ นับว่าดีทีเดียวแหละ”

แหงล่ะ ถึงขนาดกล้านอนอยู่บนเตียงคนอื่น แถมยังนอนอยู่กับเมียเขาอีกต่างหาก… หลงเยว่หงค่อนข้างจะมีความรู้สึกดูถูกชายมากรักคนนี้อยู่บ้าง

แวร์ตูร์หยุดไปชั่วอึดใจ แล้วก็สูดปากออกมาคำหนึ่ง

“แต่ช่วงสองวันมานี้ ผมมักจะหลบเขาตลอดโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้พูดเล่นเฮฮากับเขาเหมือนอย่างเคย”

เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน ต่างก็มองสบตากันแล้วถามอย่างเคร่งขรึม

“นายอำเภอหานพักอยู่ที่ไหน”

แวร์ตูร์ลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปทิศทางหนึ่ง

“ทางออกด้านทิศเหนือของสวนสาธารณะ เดิมทีที่นั่นมีบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ อยู่สองสามหลัง แต่ภายหลังพังไปจนเหลือแค่หลังเดียว นายอำเภอหานพักอยู่ที่นั่นแหละ เขาบอกว่ามันอยู่ใกล้กับชุมชนศิลาแดง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะมาถึงได้เร็วหน่อย”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดอะไรอีก พาลูกทีมทั้งสามคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ออกจากชุมชนศิลาแดงแล้วขับรถตรงไปยังด้านเหนือของสวนสาธารณะ

เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงทางออก มองเห็นบ้านเดี่ยวแถวหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางดงไม้รายรอบ

น่าเสียดายที่ท่ามกลางความหนาวเหน็บในฤดูหนาวเช่นนี้ กิ่งไม้ใบไม้ต่างก็แห้งเหี่ยวร่วงโรยราไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิวทิวทัศน์รอบบ้านเลย บ้านเหล่านั้นบ้างก็พังถล่มไปแล้ว บ้างก็พังเสียหายหลายจุด มีเหลือเพียงหลังเดียวเท่านั้นที่ยังคงสภาพเดิม

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปแล้วพบว่าไม่มีรถจอดอยู่ด้านนอกอาคารสีน้ำเงินเข้มหลังนั้น เธอขมวดคิ้วทันที

ชั่วเวลานี้ ทั้งตัวเธอ ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง ต่างก็มีความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมา

หานวั่งฮั่วมีปัญหาจริงๆ ด้วย เขาหนีไปเพราะกลัวความผิดอย่างนั้นสินะ

ในระหว่างที่รถจี๊ปขับตรงไปยังที่พักของหานวั่งฮั่ว ไป๋เฉินก็มองสำรวจบนพื้นไปด้วย

“มีรอยล้อรถที่ค่อนข้างใหม่”

เมื่อคืนวานมีฝนตกพรำ พื้นถนนบางส่วนกลายเป็นโคลนเฉอะแฉะ

“หานวั่งฮั่วเพิ่งจากไปไม่นานนี้เองงั้นเหรอ” หลงเยว่หงเข้าใจความหมายของไป๋เฉิน “หัวหน้า จะกลับรถแล้วไล่ตามไปไหม”

เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ยิ้มออกมา

“นายนี่ไม่มีทักษะเรื่องซ่อนหาเลยจริงๆ”

หลงเยว่หงเหลือบมองคนผู้นี้แว่บหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วถามขึ้น

“ความหมายของนายก็คือ ร่องรอยพวกนี้เป็นการอำพรางใช่ไหม

“หลังจากที่หานวั่งฮั่วขับรถออกไประยะหนึ่ง พอเจอถนนที่แห้งกว่านี้ก็เอารถไปจอดซ่อนไว้ จากนั้นก็แอบย้อนกลับมาที่นี่ รอจนกระทั่งพวกที่ตามหาเขาไล่ตามรอยรถไปแล้วเขาถึงค่อยหนีไปทิศตรงข้ามสินะ”

ซางเจี้ยนเย่าประเมินเขาประโยคหนึ่ง

“นายได้ฟังรายการวิทยุมาไม่น้อยเหมือนกันนี่นา”

เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถไปก็พูดไปด้วย

“เดาได้มีเหตุผล นี่ก็มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน

“อืม ตอนที่เราทำการสืบสวน ทางดีที่สุดก็คืออย่าได้เปลี่ยนเป้าหมายตามใจชอบ ค่อยๆ ตัดตัวเลือกออกไปทีละข้อ นั่นแหละถึงจะเป็นการกระทำที่เหมาะสมที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นหมาคาบเนื้อเห็นเงาในน้ำ จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย

“สรุปก็คือพวกเราลองไปหาๆ ดูที่บ้านหานวั่งฮั่วกันก่อน ถ้าเขาออกไปแล้วจริงๆ พวกเราก็ค่อยขับรถตามรอยไป”

รถจี๊ปแล่นมาถึงหน้าบ้านสามชั้นอย่างรวดเร็ว

เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งลงจากรถก็ถอนหายใจออกมา

“มีคนอยู่ข้างใน รอยล้อรถนั่นเป็นการอำพรางจริงๆ นั่นแหละ

“ดูท่าแล้วหานวั่งฮั่วคงจะมีประสบการณ์เรื่องป้องกันการตามรอยอยู่พอควรเหมือนกัน อืม… เขาน่าจะมีรถมากกว่าหนึ่งคันด้วย”

ในระหว่างที่พูดอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปยังหน้าบ้านหลังเล็กหลังนั้นแล้วงอนิ้วเคาะประตู

เสียงก๊อกๆๆ ดังขึ้น แต่ไม่มีคนตอบ

หลังจากเคาะสามครั้งติดกัน ซางเจี้ยนเย่าก็ยื่นมือขวาออกไปผลักประตูที่ไม่ได้ล็อคเอาไว้

“นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าประตูไม่ได้ล็อค” หลงเยว่หงที่ถือปืนไรเฟิลจู่โจมถามด้วยความแปลกใจและขบขัน

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา

“ตั้งแต่ก่อนเคาะ”

“…” หลงเยว่หงอึ้งไปชั่วขณะ “เข้าใจล่ะ เป็นความรู้สึกของพิธีกรรมสินะ”

“นายผิดแล้ว ซางเจี้ยนเย่าวันนี้เป็นคนละคนกับซางเจี้ยนเย่าคนเมื่อวาน ในตอนนี้ฉันคือนายมารยาท” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง

อาการของหมอนี่เหมือนจะแย่ลงไปอีกหน่อยแล้ว… หลงเยว่หงไม่สานต่อบทสนทนา รีบตามเจี่ยงไป๋เหมียน เดินผ่านหน้าซางเจี้ยนเย่าเข้าไปในบ้านหลังเล็ก

เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดอยู่ที่ห้องโถง มองไปยังทิศที่เป็นห้องครัวแล้วตะโกนเสียงดัง

“ออกมาเถอะ”

ครั้งนี้ก็ยังไร้เสียงตอบรับตามเคย

ซางเจี้ยนเย่าตบมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“การซ่อนหาก็คือต้องมีใจแน่วแน่ ไม่ใช่ว่าพอถูกคนใช้อุบายหลอกครั้งเดียวก็โผล่ออกมาแล้ว”

พูดจบเขาก็กระโดดเข้าไปในครัว นั่งยองลงไปหน้าตู้เก็บของแล้วเคาะสามครั้ง

วินาทีถัดมาประตูตู้เก็บของก็เปิดออก หานวั่งฮั่วซึ่งมีแผลเป็นบนใบหน้าสองสายซุกตัวอยู่ข้างใน ชี้ปืนพกมาที่ซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าทำตัวไหลไปตามกระแส สวมบทบาททำตัวเป็นนักโทษไปตามหน้าที่

เขายกสองมือขึ้นมา ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย

หานวั่งฮั่วคลานออกมา ดวงตาสีขาวออกเหลืองกวาดมองไปโดยรอบ จากนั้นก็ลดปากกระบอกปืนลง

“คนที่มาก็คือพวกคุณจริงๆ ด้วย… ผมยังคิดว่าแวร์ตูร์จะพาพวกยามเมืองมาล้อมแถวนี้ไว้เสียอีก”

“พวกเรารับภารกิจมาน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างสงบ น้ำเสียงเป็นปกติไม่มีสั่นไหวแม้แต่น้อย

“ภารกิจจับตัวผมงั้นเหรอ” หานวั่งฮั่วยิ้มอย่างขมขื่นอยู่บ้าง

เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า

“เป็นภารกิจง่ายๆ แค่มาหาคุณแล้วก็ถามคุณหนึ่งคำถาม”

หานวั่งฮั่วนิ่งเงียบไปสองสามวินาที

“จะถามอะไร”

ในช่วงเวลานี้ เขานั้นราวกับว่ากำลังรอการตัดสินครั้งสุดท้าย

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังดวงตาสีขาวออกเหลืองของเขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

“คุณเป็นมนุษย์ชั้นรองใช่หรือไม่”

สีหน้าของหานวั่งฮั่วพลันแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดไปเล็กน้อย มองแล้วเหมือนว่าทั้งรู้สึกผิดหวังและโล่งใจในคราวเดียวกัน

เขาหัวเราะออกมาแล้วมองทุกคนรอบๆ

“ถูกต้อง ผมเป็นมนุษย์ชั้นรอง”

พูดจบเขาก็ถกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น เผยให้เห็นแขนด้านใน

ตั้งแต่ที่กลางแขนลงมามีเกล็ดสีเหลืองอำพันปกคลุมอยู่ มันไม่ได้งอกจนเรียงกันแน่น เป็นแผ่นสลับไขว้กันบนผิวหนังอย่างแปลกประหลาด

หานวั่งฮั่วยิ้มแล้วพูดขึ้น

“เป็นมนุษย์ชั้นรองเร่ร่อนอยู่ตามลำพัง ไม่มีพวกพ้อง”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็บิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“แล้วมนุษย์ชั้นรองไม่ได้เป็นมนุษย์หรือไง

“ถ้าแบ่งตามวิธีแบบนี้ งั้นคนแม่น้ำแดงกับคนภาษาธุลีก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วยใช่ไหมล่ะ”

“เป็นสิ ต่างก็เป็นมนุษย์ทั้งนั้น” ซางเจี้ยนเย่าพูดขึ้น

หานวั่งฮั่วไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบยืนยันกลับมาเช่นนี้ ทำเอาถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ

“ที่จริงแล้วผมก็เข้าใจดีเลยล่ะว่าทำไมมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาถึงดึงดันที่จะกลับมาที่ชุมชนศิลาแดง มายึดพื้นที่แห่งนี้ให้ได้

“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีคนที่เคยผ่านประสบการณ์ตอนที่โลกเก่าถูกทำลายมาจริงๆ หรือคนที่มีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่คน แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ริมทะเลสาบทางฝั่งนี้ของซากเมืองนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการดำเนินชีวิตแบบปกติวิสัยในฐานะมนุษย์ เป็นกรรมสิทธิ์อันงดงามชอบธรรม เป็นที่พึ่งพิงทางใจให้ยืนหยัดอยู่ได้

“ถ้าหากพวกเขายอมแพ้ไปทั้งอย่างนั้น ไม่ส่งต่อความเชื่อที่จะต่อสู้เพื่อทวงคืนที่แห่งนี้กลับคืนมา ไม่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น บางทีพอผ่านพ้นไปแค่สองสามชั่วรุ่น คนรุ่นหลังของพวกเขาก็จะยอมรับในข้อที่ว่าตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด ลืมไปว่าที่แท้จริงแล้วตัวเองก็เป็นมนุษย์…”

หลังจากที่ฟังอย่างเงียบๆ จนจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ทำท่าราวกับว่าอยากจะปลดเป้ยุทธวิธีที่สะพายหลังลงมาแต่ก็พยายามหักห้ามใจไว้

เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็อ้าปากคิดจะพูดอะไรออกมา แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้กลับไม่อาจเรียบเรียงคำพูดได้

ในหัวของหลงเยว่หงก็พลันมีคำพูดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาอีกครั้ง

‘โลกนี้มันห่วย!’

ตอนนี้จู่ๆ ไป๋เฉินก็พูดขึ้น

“งั้นทำไมคุณถึงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาล่ะ คุณยังเคยบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองฆ่ามนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว”

หานวั่งฮั่วชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็มีสีหน้าเย้ยหยันตนเอง

“อาจเป็นเพราะผมมักจะคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์อยู่ตลอด ตั้งแต่หลายปีก่อนที่พ่อแม่ผมจะเสียชีวิตก็มักจะพูดกับผมอยู่เสมอว่าพวกเราคือมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด

“ต่อมาพอผมเริ่มออกเร่ร่อนไปบนแดนธุลีก็พยายามติดต่อกับพวกมนุษย์อยู่เป็นประจำ แต่พอพวกเขารู้ความลับของผมเมื่อไหร่ก็จะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาด คนพวกนี้ที่ดีหน่อยก็แค่เลิกพูดคุยติดต่อกับผม ส่วนที่แย่หน่อยก็คิดจะฆ่าผม

“เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ที่ดี ผมจึงไปหาหนังสือที่หลงเหลือมาจากโลกเก่า หามามากมายหลายเล่ม จากนั้นก็เรียกร้องให้ตัวเองทำตามในสิ่งที่เขียนเอาไว้ในนั้น

“บางครั้งผมก็กลัวมาก แต่ก็ต้องรวบรวมความกล้ารีบออกไปช่วยคน บางครั้งผมก็อยากเก็บพวกข้าวของมีค่าเอาไว้ซะเอง แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะแจกจ่ายแบ่งปันออกไปอย่างยุติธรรม บางครั้งผมก็หวังอยากให้คนคนนั้นตายเหลือเกิน แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไร ผมก็ได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน บางครั้งผมก็เกือบจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้ อยากจะก่นด่าสาปแช่งเจ้าพวกคนชุมชนศิลาแดงที่ขี้ระแวงกลัวนั่นกลัวนี่จนหัวหด แต่สุดท้ายก็ยังต้องเก็บความรู้สึก พูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผล จัดระเบียบพวกเขา และทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี “

พูดมาถึงตรงนี้สายตาของหานวั่งฮั่วก็เลื่อนลอยอยู่บ้าง

“มีครั้งหนึ่ง สัตว์ประหลาดภูเขาคนหนึ่งพบความลับของผมเข้าก่อนที่เขาจะตาย เขามองมาที่ผมแล้วพูดกับผมประโยคหนึ่ง เขาบอกว่า

“เจ้ามันเห็นแก่ตัว…”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หานวั่งฮั่วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ใช่แล้ว ผมมันเห็นแก่ตัว ที่ผมทำลงไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่ตัวเองจะได้รับการปฏิบัติในฐานะมนุษย์ เพื่อที่จะได้รับการยอมรับ ผมลงแรงไปอย่างมากมาย ลงทุนไปอย่างมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังแต่ยินแต่คำว่า ‘มนุษย์ชั้นรอง’ เท่านั้น”

สายตาเขากวาดผ่านหน้ากากของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“ถ้าหากว่าความเป็นมนุษย์มีระดับมาตรฐานมาวัดได้ละก็ เมื่อเทียบกับเฮลเว็กและอันเฮอบัสที่ขายอาวุธให้กับพวกศัตรูเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เมื่อเทียบกับพวกขี้ขลาดที่เอาแต่มุดตัวหัวหด ตอนที่ศัตรูบุกมาก็ยังมัวรีรอ เมื่อเทียบกับพวกสาวกของนิกายตื่นตัวที่ไม่สามารถมอบให้แม้แต่ความเชื่อใจขั้นพื้นฐาน เทียบกันแล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองนั้น ‘เป็นมนุษย์’ ได้ไม่เลวแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าจะต้องฝืนใจตัวเองอยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ผมก็เรียกร้องตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่ได้มาตรฐานอยู่เสมอ”

หานวั่งฮั่วหัวเราะอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง

“ถูกแล้ว ผมเป็นมนุษย์ชั้นรอง แต่เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ในชุมชนนี้ เทียบกับคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ ผมยังเป็นมนุษย์มากกว่าด้วยซ้ำ!”

เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบแล้ว จนแล้วจนรอดก็ไม่ทราบว่าควรตอบเช่นไร และถึงกับรู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ได้ถามออกไป

แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว มองดูหานวั่งฮั่ว เงียบไปชั่วอึดใจแล้วพูดขึ้น

“ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี งั้นขอเต้นให้คุณก็แล้วกัน”

พูดจบเขาก็เต้นไปสองสามท่าก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไป

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท