รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 238 “ล้อม”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 238 “ล้อม”

รถจี๊ปของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เคลื่อนผ่านเทือกเขาสูงตระหง่านมุ่งหน้าลงใต้ไปตามถนนที่สภาพชำรุดทรุดโทรมอันเนื่องมาจากไม่ได้รับการดูแล

จุดหมายของพวกเขาก็คือสถานที่ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘ทาร์นัน’

ที่นั่นเป็นจุดทำการค้าภายนอกเพียงแห่งเดียวที่ ‘สวรรค์จักรกล’ จัดตั้งขึ้นมา มีเพียงกองกำลังที่ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจหรือสามารถจัดหาวัตถุปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญให้ได้เท่านั้นถึงจะรู้ถึงการดำรงอยู่

ของมัน ซึ่งชุมชนศิลาแดงและเมืองหญ้าไพรก็เป็นหนึ่งในนั้น

กลุ่มคาราวานการค้า ‘คนไร้ราก’ ที่ทำการขนส่งเป็นธุรกิจหลักนั้นไม่ผ่านคุณสมบัติข้อนี้ เพราะ ‘สวรรค์จักรกล’ นับเป็นกองกำลังใหญ่ที่ไม่มีทางขาดแคลนความสามารถด้านการขนส่งมากที่สุด

ตัวตนของพวกเจี่ยงไป๋เหมียนในตอนนี้ก็คือตัวแทนการค้าของเมืองหญ้าไพร ซึ่งได้รับมาจากสวี่ลี่เหยียน ประธานภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่าสาขาเมืองหญ้าไพร รับประกันว่าเป็นของแท้และแน่นอน ไม่มีการหลอกลวงเด็ดขาด

ก่อนที่พวกเขาจะออกจากชุมชนศิลาแดงก็ยังขออนุญาตผู้แจ้งเตือนซ่งเหอว่าต้องการเป็นตัวแทนของชุมชนศิลาแดง เป็นการสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินว่าจู่ๆ สวี่ลี่เหยียนเกิดจำซางเจี้ยนเย่าผู้เป็นพี่น้องไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน

ถึงแม้ว่าต่อหน้า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จะทำให้สวี่ลี่เหยียนทำอะไรเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าตรงๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแอบส่งโทรเลขบอก ‘สวรรค์จักรกล’ ได้ว่าทั้งสี่คนนี้เป็นพวกหลอกลวง เพื่อเป็นการระบายความขุ่นเคืองใจแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

“หิวจัง หิวจัง หิวจัง ฉันหิวจริงๆ[1]”

เพลงนี้เปิดจากลำโพงตัวเล็กของซางเจี้ยนเย่าดังซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่ในรถจี๊ปจนทำให้หลงเยว่หงแทบจะมีอาการประสาทหลอนเพราะเพลงติดอยู่ในหัวจนเอาไม่ออก

“หิวน้ำ หิวน้ำ หิวน้ำ ฉันหิวน้ำจริงๆ”

ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขา จึงขาดแคลนน้ำอย่างสุดๆ

ในฤดูหนาวที่มีฝนน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก

ตั้งแต่เมื่อวานซืน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ดื่มน้ำที่พกพาไว้จนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลังจากนั้นก็ยังไม่อาจหาแหล่งน้ำได้อีก พวกเขาตามรอยแหล่งน้ำไปสองแห่งทว่าสุดท้ายกลับพบว่าพื้นที่แถบนั้นมีมลพิษรุนแรง ตัวชี้วัดบางอย่างเกินกว่าค่ามาตรฐานไปไม่รู้ตั้งกี่เท่า

เนื่องจากยังพอขุดหารากไม้ของต้นไม้บางอย่างได้บ้าง ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ จึงยังไม่ถึงขั้นรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในวิกฤตไฟไหม้ขนคิ้ว ทว่านี่ก็เพียงแค่ยืดระยะเวลาประทังชีวิตออกไปเล็กน้อยเท่านั้น

“ข้างหน้าน่าจะมีแหล่งน้ำอยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตสภาพภูมิประเทศนอกหน้าต่างรถ พูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างมั่นใจ

“ใช่” ไป๋เฉินเห็นพ้องด้วย

ฟู่… หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก

ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะตระหนักว่าความรู้สึกที่ขาดน้ำนั้นมันอึดอัดเสียยิ่งกว่าการเผชิญกับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาที่บุกมา

มากนัก เพราะอย่างหลังนั้นเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ผ่านไปแล้ว และถึงแม้จะผ่านไปไม่ได้แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล

ทว่าสถานการณ์ที่กำลังประสบในขณะนี้มันเป็นความทรมานเรื้อรังชนิดหนึ่ง

เพื่อจะลดการเสียน้ำลาย เขาจึงไม่อยากจะพูดอะไรออกมา

ซางเจี้ยนเย่าที่เป็นคิวขับรถในตอนนี้ยังคงมีกำลังใจดี นอกจากริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อยก็ดูราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไร

“เฮ้อ ดันลืมแลกหน้ากากราชามังกร[2]มาด้วย ไม่งั้นจะได้ขอให้ฝนตกสักหน่อย” เขามีสีหน้าเศร้าใจ

นับตั้งแต่ออกจากชุมชนศิลาแดงเป็นต้นมา เหล่าสมาชิกของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่ได้สวมหน้ากากต่ออีก มีเพียงซางเจี้ยนเย่าที่ในบางครั้งยังคงสวมหน้ากากลิงหน้าตาเจ้าเล่ห์อันนั้นเพื่อแกล้งหลอกหลงเยว่หง

บางครั้งเขายังร้องเรียก ‘เจ้างั่ง’ ออกมาตามเรื่องไซอิ๋วด้วยซ้ำ

“ราชามังกรเสกฝนเองได้ ไม่ต้องไปขอฝนจากใคร” เจี่ยงไป๋เหมียนแก้คำพูดของซางเจี้ยนเย่า

ในระหว่างที่พูดกันนั้น เมื่ออ้อมหน้าผาสูงเบื้องหน้าไปก็เป็นหุบเขาที่มีดินสีน้ำตาลที่ชุ่มชื้นเล็กน้อย

“ช้าลงหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนเตือนออกมา “ทัศนวิสัยที่นี่ไม่ค่อยดี พอออกไปแล้วไม่รู้ว่าจะเจออะไรเข้า”

การตรวจจับของเธอกับซางเจี้ยนเย่าถูกจำกัดด้วยระยะทาง ไม่ได้ยอดเยี่ยมจนไร้ขีดจำกัด

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับแล้วยกขาผ่อนคันเร่ง ชะลอความเร็วรถ

เขาไม่เคยปฏิเสธความปรารถนาดี

รถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าค่อยๆ แล่นช้าๆ ไปบนถนนซึ่งเป็นดินอัด ขับอ้อมผนังหินผา

จากนั้นเบื้องหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับเจี๋ยงไป๋เหมียนก็พลันสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที

สิ่งแรกในครรลองสายตาของพวกเขาก็คือลำธารคดเคี้ยวสายหนึ่ง ก้อนกรวดหินเม็ดเล็กเม็ดน้อยในลำน้ำช่วยขับเน้นให้เห็นความกระจ่างใส

สองฟากฝั่งของลำธารขนาบไปด้วยหินก้อนเขื่อง มีตะกอนโคลนแทรกอยู่ระหว่างช่องว่างจนเป็นโทนสีหลักของบริเวณโดยรอบ

ไกลออกไปเป็นไม้ยืนตระหง่าน มีทั้งแห้งเหี่ยว มีทั้งที่ยังคงมีสีเขียวแซมอยู่บ้าง ขึ้นเรียงรายไปตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นดิน

หลังจากนั้นสายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนก็เลื่อนไปจนมองเห็นว่าที่ต้นน้ำห่างไปราวร้อยเมตรนั้นมีคนอยู่หลายสิบคน

พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่งกายหลากหลายรูปแบบ พกพาอาวุธสารพัดประเภท

สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนเลื่อนจากเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเก่าๆ เสื้อขนเป็ดสกปรก เสื้อหนังมันเยิ้ม ไปยังริมถนนและเห็นว่ามียวดยานพาหนะกับเต็นท์กางไว้มากมาย

พวกคนที่ถืออาวุธบางส่วนก็กำลังค่อยๆ ตักน้ำ บ้างก็ง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเที่ยง บ้างก็นั่งอยู่บนพื้นหัวเราะเฮฮาเสียงดังลั่น บ้างก็กำลังลวนลามผู้หญิงที่ถูกมัดสองมือไพล่หลังเอาไว้ ในบางครั้งก็ตบหน้านักโทษชายสองสามคนที่กล้าจ้องมองพวกเขา

“พวกกลุ่มโจร” ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังของรถจี๊ปมองผ่านกระจกหน้าต่างรถแล้วแสดงความเห็นออกมา

เป็นโจรกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งปล้นกองคาราวานหรือไม่ก็นิคมคนเร่ร่อนแดนร้างมา

ในตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ มองเห็นโจรกลุ่มนี้ โจรที่รับหน้าที่เฝ้าระวังก็พบพวกเขาเช่นกัน

“หัวหน้า มีเหยื่อรายใหม่มา!” โจรผมดำตาฟ้ารีบรายงานให้หัวหน้ารู้ด้วยความตื่นเต้น

หลังจากเข้าฤดูหนาวเป็นต้นมา คาราวานการค้าก็ลดลง นิคมต่างๆ ก็ล้วนแต่ปิดประตูเพิ่มเวรยาม ทำให้การเก็บเกี่ยวของพวกเขาแทบจะไม่พอกิน มีเพียงแค่ให้พอยาไส้ประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น

แต่ในวันนี้คงเป็นเพราะผู้ครองกาลอำนวยพรให้ ตอนเช้าพวกเขาเพิ่งจะตามรอยคาราวานกองหนึ่ง และปล้นวัตถุปัจจัยกับผู้คนมาได้ไม่น้อย มาตอนนี้ก็ยังได้เจอรถจี๊ปเข้ามาในหุบเขาเพียงคันเดียวอีก

หัวหน้าพวกเขาเป็นชายฉกรรจ์วัยสามสิบ สูงเกือบ 175 เซนติเมตร ผมสีบลอนด์ยาวกระเซิง ร่างกายค่อนข้างกำยำ

ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นจางมาก ใบหน้าหยาบกร้านเป็นอย่างยิ่ง บนศีรษะสวมหมวกที่มีเขายื่นออกมา ไม่ทราบว่าไปขุดออกมาจากซากเมืองที่ไหน

เมื่อได้ยินลูกน้องรายงานมา หัวหน้าโจรก็มองไปแล้วหัวเราะร่า

“นี่มันลูกแกะหลงเข้ามาในรังราชสีห์ชัดๆ

“รีบไปจับพวกมันมาซะ อยากรู้นักว่าเป็นนักเดินทางพวกไหนที่อาจหาญ กล้าเดินทางเข้ามาในภูชีลาร์ตอนหน้าหนาวแบบนี้”

นี่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูโบราณ

หลังจากหยุดไปอึดใจ หัวหน้าโจรก็พูดเสริม

“เอารถไปสี่คัน

“พวกมันอาจเป็นกองสอดแนมของขบวนคาราวานก็ได้”

ไม่แน่ว่าด้านหลังอาจมีรถตามมาอีกหลายคัน รวมทั้งคนและอาวุธด้วย

“ได้ หัวหน้า!” โจรผมดำตาฟ้าตอบรับเสียงดังแล้วตะโกนเรียกพวกพ้อง

แล้วในตอนนี้พวกเขาก็เห็นว่ารถจี๊ปสีเขียวขี้ม้ากำลังวิ่งถอยหลังออกจากหุบเขาไป

ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวขวัญหนีดีฝ่อเสียจนลืมไปว่ารถสามารถหักเลี้ยวได้

“ฮ่า ฮ่า!” พวกโจรร้องเสียงประหลาดสารพัดเสียงออกมาพลางกวัดแกว่งอาวุธรีบวิ่งตรงรี่ไปยังรถที่จะใช้ไล่กวด

พวกเขาชื่นชอบเหยื่อขี้ขลาดขวัญอ่อนแบบนี้ที่สุด!

เพราะทำให้พวกเขาประหยัดกระสุนไปได้ไม่น้อย

เมื่อรถสตาร์ทและไล่ตามเป้าหมายไป บรรดาชายหญิงที่ถูกจับตัวไว้ก็ละสายตากลับมาด้วยความสิ้นหวังและผิดหวัง

พวกเขายังคิดว่าจะมีคนมาช่วยเสียอีก

แต่ที่ไหนได้ กลับมีรถจี๊ปมาเพียงแค่คันเดียวเท่านั้น

ดูแล้วน่าจะเป็นทีมนักล่าซากอารยะที่ต้องการจะมาตักน้ำ จึงผ่านมาโดยบังเอิญ

ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์อย่างตื่นเต้น รถออฟโรดสองคันกับรถกระบะสองคันที่บรรทุกโจรไปด้วยสิบกว่าคน ขับไล่กวดอย่างบ้าคลั่งตรงไปยังหัวมุม ไม่คิดจะปล่อยให้เหยื่อหลุดรอดจากสายตาไปได้

เมื่อรถคันแรกเลี้ยวผ่านมุมหน้าผาไป สายตาคนขับก็พลันชะงักค้างทันที

รถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าจอดนิ่งห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร ตัวถังรถเอียงเล็กน้อยเหมือนเป็นกำแพงเตี้ยๆ

ด้านท้ายของรถจี๊ปมีร่างชายคนหนึ่งซึ่งไม่ต่ำเตี้ย เพื่อนเขากำลังช่วยสวมชุดที่เป็นโครงโลหะสีดำ ด้านข้างฝั่งหนึ่งของรถจี๊ปก็มีหญิงสาวร่างเล็กกำลังติดตั้งปืนไรเฟิลไว้บนฝากระโปรงหน้ารถ ส่วนด้านข้างอีกฝั่งเป็นหญิงสาวสวมเครื่องแบบลายพรางสีเทามัดผมเป็นหางม้าอยู่ในท่าคุกชันเข่าประทับปืนบาซูก้าไว้บนบ่า

ปืนบาซูก้า!

รูม่านตาของโจรที่ขับรถคนแรกและ ‘ผู้โดยสาร’ เบิกกว้างขยายออก

วินาทีต่อมา ‘มัจจุราช’ ก็มีประกายเพลิงวาบขึ้น

ตูม!

ในระหว่างที่หัวหน้าโจรกำลังจุดบุหรี่มวนเองสีเหลืองไหม้ รอให้ลูกน้องนำเหยื่อกลับมาที่ลำธาร ก็พลันได้ยินเสียงดังสนั่นจนทำให้หูอื้อ

บรึม!

บุหรี่ทำมือนั้นยังไม่ทันจะใส่เข้าไปในปากของเขาก็ร่วงลงพื้นเสียก่อน

ในดวงตาของเขาปรากฏภาพบอลเพลิงขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว

ลูกไฟสีแดงเข้มกลืนกินรถกระบะที่กำลังพุ่งตรงไปข้างหน้า กำลังจะหักเลี้ยว

ฉากนี้ตราตรึงอยู่ในใจของผู้พบเห็นทุกคนราวกับเป็นภาพวาดสีน้ำมัน

ตูม!

รถออฟโรดคันที่สองที่กำลังพุ่งเข้าไปไม่อาจหยุดได้ทันการ มันพุ่งปะทะกับรถกระบะคันหน้าที่กำลังลุกไหม้อยู่

เปรี้ยง!

กระจกด้านข้างรถแตกกระจาย ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่ห้องโดยสาร

ในขณะที่เลือดคนขับสาดกระเซ็น ในหัวสมองของหัวหน้าโจรที่อยู่ห่างออกไปนั้นอดเกิดความคิดวุ่นวายผุดวาบขึ้นมาไม่ได้

“กับดัก! นี่เป็นกับดัก!

“พวกเราถูกล้อมแล้ว!”

* * * * *

[1] เพลง 投食歌 (I am so hungry) ขับร้องโดย 洛天依 (ลั่วเทียนอี)

[2] ราชามังกร (龙王) ชาวจีนมีความเชื่อว่า ราชามังกรเป็นจ้าวสมุทรที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท