รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 248 ปฏิบัติการฉายเดี่ยว

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 248 ปฏิบัติการฉายเดี่ยว

เจี่ยงไป๋เหมียนลอบหัวเราะอยู่ในใจ แล้วช่วย ‘อธิบาย’ ให้ฟัง

“เขาเป็นพวกคลั่งไคล้ผีน่ะ อยากจะพิสูจน์ให้ได้ว่าผีมีจริง”

ผู้หญิงที่คาดว่าเป็นเจ้าของโรงแรมมองพวกเขาทั้งสี่คนสลับไปมาอยู่สองสามรอบก่อนจะถอนหายใจ

“ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้ด้วย”

“โลกนี้กว้างใหญ่ จะมีอะไรก็ไม่แปลกหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับอย่างจริงใจ

แม้แต่ตัวเธอที่สามารถคุยโวได้ว่าเห็นโลกมามาก มีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง ก็ยังมักจะรู้สึกว่าตนเองเป็นกบในกะลา มีความรู้เท่าหางอึ่ง โดยเฉพาะกับซางเจี้ยนเย่าที่ชอบวาดลวดลายแบบที่ทำให้คาดไม่ถึงอยู่บ่อยครั้ง

โดยไม่รอให้หญิงสาวในชุดตระการตาเอ่ยปากพูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามต่อ

“คุณคือมาดามไอนอร์ใช่ไหม”

พ่อค้าของเถื่อนสองสามคนในชุมชนศิลาแดงบอกว่าเจ้าของโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ชื่อไอนอร์[1]

นี่ไม่ใช่ชื่อเดิมของเธอ แต่เป็นชื่อที่เธอตั้งขึ้นมาเองหลังจากมาลงหลักอยู่ที่ทาร์นัน ซึ่งนี่เป็นได้ทั้งชื่อในแบบชาวแดนธุลี และยังใช้เป็นชื่อชาวแม่น้ำแดงได้อย่างกลมกลืน เฉกเช่นเดียวกับชื่อของ ‘โอดิค’

ไม่มีใครทราบว่าก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะมาทาร์นัน เธอเป็นใครมาจากไหน ทำอะไรมา ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องลึกลับเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

“ใช่แล้ว” หญิงมีเสน่ห์คนนี้คลายผมที่ม้วนอยู่ออกจากปลายนิ้ว

จากนั้นเธอก็คลี่ยิ้มออกมา

“ดูท่าแล้วพวกคุณคงมีคนรู้จักแนะนำมาสินะ”

“จากชุมชนศิลาแดงน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปิดบัง

ไอนอร์รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

“ฮ่า พวกคุณถึงกับผูกมิตรเป็นเพื่อนกับพวกที่ชอบแอบซ่อนจนหาตัวไม่เจอนั่นได้ แถมยังได้รับข้อมูลเรื่องทาร์นันมาอีกงั้นเหรอเนี่ย”

“พวกเราบังเอิญไปอยู่ในสถานการณ์ที่พวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาบุกโจมตีมาน่ะ แล้วก็ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาอยู่ช่วงหนึ่ง” เจี่ยงไป๋เหมียนบอกเล่าตามความเป็นจริงทุกประการ

ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องราวทุกอย่างที่พวกเขาประสบพบเจอในชุมชนศิลาแดง

ไอนอร์เพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้คิดจะสอบถามรายละเอียดในเบื้องลึกอะไร เธอเปลี่ยนเรื่องทันที

“พวกคุณต้องการกี่ห้องล่ะ”

“มีคำแนะนำไหมคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนการตอบ

ไอนอร์มองเจี่ยงไป๋เหมียนหัวจรดเท้าสองสามรอบแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม

“คุณนี่ฉลาดจริงๆ ด้วย

“โรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ของเรานั้นแตกต่างจากที่อื่นเพราะฉันปรับเปลี่ยนผังห้องไว้เป็นพิเศษสำหรับทีมนักล่าซากอารยะและกองคาราวานการค้าจากกองกำลังต่างๆ

“พวกคุณมากันเป็นทีมแบบนี้ก็ย่อมไม่อยากพักแยกกันใช่ไหมล่ะ เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็อาจจะทำให้สื่อสารกันได้ไม่ทันเวลา แต่ถ้าให้เอาสี่เตียงไปเบียดอยู่ในห้องเดียวก็คงจะพักได้ไม่สะดวกเท่าไหร่ ไม่ต่างจากการออกไปพักอยู่ในแดนร้าง”

คุณแก่กว่าฉันมากสุดก็แค่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง แต่ใช้น้ำเสียงอย่างกับผู้เฒ่าผู้แก่มาหยอกล้อฉันเนี่ยนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเหน็บแนมอยู่ในใจแล้วแสดงทัศนคติของตนออกมา

“เรื่องนี้พวกเราไม่มีปัญหาหรอก ขอแค่ว่าสองห้องให้อยู่ติดกันก็ใช้ได้แล้ว”

ไอนอร์กลอกตาใส่

“มีตัวเลือกที่ดีกว่าแล้วจะไปเลือกที่แย่กว่าทำไม

“ฉันขอเสนอห้องสองแบบ แบบแรกเป็นห้องติดกันมีเตียงคู่สองเตียง ตรงกลางมีประตูเปิดหากันได้ อีกแบบหนึ่งเป็นห้องสวีทแบบโลกเก่า มีห้องนอนแยก 3 ห้อง พวกคุณสี่คนพักได้พอดี สภาพแวดล้อมถือว่าดีแล้วก็เป็นส่วนตัวด้วย

“ราคาเท่าไหร่” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม

ว่ากันตามตรงแล้วเธอเองก็หวั่นไหวเหมือนกัน ก็อย่างที่ไอนอร์พูดไว้นั่นแหละ ในเมื่อมีตัวเลือกที่ดีกว่าแล้วจะไปเลือกที่แย่กว่าทำไม

และนอกจากนั้นก็คือเมื่อเธอกวาดตามองไปก็เห็นว่าทั้งซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงต่างก็ผงกศีรษะเล็กน้อยบ่งบอกว่าต้องการเช่นกัน

‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเราตอนนี้มีวัตถุปัจจัยเหลือเฟือ!

พวกเขาเพิ่งได้รับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาเป็นจำนวนมากจากกลุ่มสือฟางพาณิชย์ของมีนส์

สำหรับไป๋เฉินนั้น เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบที่หลงเยว่หงและคนอื่นๆ ไม่มีทางนึกสภาพออกได้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้มากนัก

แต่แน่นอนว่าการมีสภาพแวดล้อมที่ดี เธอก็ย่อมรู้สึกเป็นสุขและพอใจอยู่แล้ว

แก้มของไอนอร์ปรากฏลักยิ้มตื้นๆ

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณจะใช้วัตถุปัจจัยอะไรมาจ่าย สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดก็คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องจักร อาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง แล้วก็ธัญพืชอัดแท่ง”

“พวกเรามีแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก” เจี่ยงไป๋เหมียนทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในทาร์นันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้

“เป็นรุ่นอะไรล่ะ” ไอนอร์ถามอย่างไม่ใส่ใจ

‘ทีมสำรวกเก่า’ ทั้งสี่คนได้แต่นิ่งเงียบ

พวกเขาไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ผลิตโดย ‘สวรรค์จักรกล’ นั้นมีการจัดแบ่งประเภทอย่างไร มีรุ่นใดบ้าง

ซางเจี้ยนเย่ารีบกลับหลังหันวิ่งออกไปนอกโรงแรม

เพียงไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องสีดำสองเครื่อง

“G-35… นี่เป็นรุ่นล่าสุดนี่นา พวกคุณเพิ่งมาถึงทาร์นันไม่ใช่เหรอ ไปได้มาได้ยังไงเนี่ย ตามปกติแล้วต่อให้เป็นที่ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ก็ยังต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิเสียก่อน ถึงจะได้เห็นของพวกนี้” ไอนอร์ก้มมองดูคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าของตนเองที่ใช้สำหรับลงทะเบียนก็พลันเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายแบบรวบรัด

“พอดีว่าระหว่างทางพวกเราช่วยคาราวานการค้าไว้ขบวนหนึ่งน่ะ พวกเขาเพิ่งจะออกจากทาร์นันเพื่อกลับไปที่ ‘สมาพันธ์หลินไห่’”

“ฮ่า เป็นพวกมีนส์เองสินะ” เมื่อได้รับการยืนยันแล้วไอนอร์ก็หัวเราะออกมา “ฉันก็เตือนไว้แล้วว่าอย่าออกเดินทางช่วงหน้าหนาว ไม่งั้นอาจเกิดเรื่องได้ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง ฮ่า ฮ่า เป็นไงล่ะ… ไม่ฟังคำเตือนจากอาวุโส ก็เลยเจอตอแบบทันตาเห็นเลย!”

เป็นเพราะพวกของมีนส์ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไร ไอนอร์จึงแสดงความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นออกมาเต็มที่

คุณชอบทำตัวเป็นคนแก่ หรือว่าที่จริงแล้วหน้าตาอ่อนกว่าอายุกันแน่… ภายในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนเกิดความคิดบางประการแว่บขึ้นมา แต่เนื่องจากไม่มีรายละเอียดมากพอ จึงไม่อาจยืนยันได้

หลังจากได้คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระเช่นนี้ ทำให้ไอนอร์กับพวกเขาเหมือนกับสนิทสนมกันมากขึ้น

“ถ้างั้นฉันจะคิดราคาพวกคุณ 1 ห้อง 7 วัน ด้วยคอมพิวเตอร์สองเครื่อง”

7 วันจ่ายตั้งสองเครื่อง… นี่ถ้าเป็นที่เมืองหญ้าไพร ต่อให้สุ่มเลือกที่พักแบบนี้มาสักแห่ง จ่ายไปเครื่องเดียวก็ยังพักได้เป็นเดือน… เจี่ยงไป๋เหมียนทราบดีว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในกองกำลังใหญ่ โดยเฉพาะเครื่องที่ผลิตโดย ‘สวรรค์จักรกล’ ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น

นี่เป็นเพราะอุปกรณ์พวกนี้ค่อนข้างขาดแคลน ในงานหลายๆ ด้าน หากมีคอมพิวเตอร์คอยช่วยเหลือก็จะสะดวกและเกิดประสิทธิภาพขึ้นอีกมาก

การที่พวกมีนส์จากสือฟางพาณิชย์ได้รับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุดจำนวนมากมายขนาดนั้นมาจากทาร์นันได้ แสดงว่าต้องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก

หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นลาภลอยที่ได้มา ดังนั้นเธอจึงตอบตกลง

“ได้”

เมื่อได้รับคีย์การ์ดสีดำที่พิมพ์ภาพดอกกุหลาบงดงามเพื่อใช้สำหรับเข้าห้องแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็เดินขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสอง

โรงแรมส่วนใหญ่ในแดนธุลีนั้นมีกฎคล้ายกัน อย่างเช่นว่าห้องพักยิ่งอยู่ชั้นล่างเท่าไรก็ยิ่งมีราคาสูงขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันหรือถูกโจมตีขึ้นมา แขกจะสามารถกระโดดหนีทางหน้าต่างได้ง่ายขึ้น

นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอุปสงค์ในวงกว้าง

ห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ คือห้องหมายเลข ‘221’ ซึ่งอยู่ด้านในสุดของทางเดิน เมื่อเปิดประตูแล้วสิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาก็คือห้องนั่งเล่นที่มีชุดโซฟา โต๊ะวางถ้วยน้ำชา โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เก็บของ ห้องนั่งเล่นนี้มีประตูสี่บานที่นำไปสู่ห้องนอนสามห้องและห้องน้ำห้องส้วม

นี่ยังไม่นับว่าหรูหรามากนัก ทว่าสำหรับเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ที่ออกจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาเนิ่นนาน หลังจากที่ออกมาแล้วก็ไม่เคยได้พักในสถานที่ดีเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกอิ่มเอมทั้งกายและใจ

“ผมนอนในห้องนั่งเล่นเอง!” ซางเจี้ยนเย่าขันอาสา

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากนอนในห้องนั่งเล่น แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่มีทางให้เขาได้สมปรารารถแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรพิเรนทร์ขึ้นมา

“ฉันเป็นหัวหน้า ดังนั้นฉันจะนอนห้องนั่งเล่น”

จากนั้นเธอรีบเสริมอีกหนึ่งประโยค

“ฉันต้องคอยจับตาดูพวกนายทุกคน โดยเฉพาะนาย ไม่งั้นเดี๋ยวพอตกกลางดึกนายจะแอบย่องไปหลอกเสี่ยวหงเข้า”

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายซางเจี้ยนเย่าก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีราวกับกำลังพูดว่า ‘ทำไมฉันถึงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อนนะ’

ขณะที่หลงเยว่หงรู้สึกตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ่งรู้สึกว่ายังไงตนเองก็ต้องนอนในห้องนั่งเล่นให้ได้

หลังจากที่ใช้อำนาจของความเป็นหัวหน้าทีมจัดสรรห้องเสร็จ พวกเขาก็ไปล้างหน้าล้างมือ แล้วจัดการกับอาหารเย็นแบบง่ายๆ

พอทำความสะอาดร่างกายกันแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูทุกคนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“คืนนี้เราจะฝึกหลักสูตรกัน”

“หือ” หลงเยว่หงนั้นรู้สึกเหนื่อยจนล้า อยากจะรีบนอนตั้งแต่หัวค่ำเต็มแก่

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่ออย่างยิ้มแย้ม

“หลักสูตรการฝึกนี้ชื่อว่า ‘ปฏิบัติการฉายเดี่ยว’

“ถึงแม้ฉันจะเน้นเรื่องการร่วมมือและการทำงานเป็นทีมมาตลอด แต่เรื่องราวบนโลกนั้นยากคาดเดา ทุกคนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่ต้องอยู่เพียงลำพังได้ ถ้าหากไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้ไว้บ้าง ในตอนที่เจอปัญหาขึ้นมาก็อาจไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

“คืนนี้พวกเราจะแยกย้ายไปรวบรวมข้อมูลในทาร์นันกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดจบ เธอก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

“ตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว เราจะกลับมาเจอกันที่ห้องตอนสี่ทุ่ม”

“ทราบแล้ว!” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับอย่างกระปรี้กระเปร่า

จะปล่อยให้หมอนี่ไปฉายเดี่ยวจริงๆ นะเหรอ ไม่ดีละมั้ง… สิ่งที่หลงเยว่หงกังวลเป็นอันดับแรกนั้นไม่ใช่ตนเอง ทว่าเป็นซางเจี้ยนเย่าที่ไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจ

เขารู้สึกเป็นห่วงผู้คนในทาร์นันสุดๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบชี้ไปที่หลงเยว่หงทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้อ้าปากพูดอะไร

“เสี่ยวหง นายไปก่อน”

“ได้ครับ” กว่าที่หลงเยว่หงจะรู้สึกตัวก็ตอนที่เขาเดินออกมาจากโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ยืนอยู่ริมถนนที่ค่อนข้างมืดมิดเงียบสงัด มีสายลมหนาวพัดโชย

มีแค่ฉันคนเดียว…

ที่นี่เป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย รายล้อมไปด้วยคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน

เขาเหลียวซ้ายแลขวารอบหนึ่งตามความเคยชิน แต่ก็ไม่พบใครที่จะทำให้ตนเองรู้สึกอุ่นใจได้เลย

ในตอนนี้เขาอดรู้สึกตระหนกขึ้นมาบ้างไม่ได้

หายใจเข้า… หายใจออก… หลงเยว่หงสูดหายใจลึกสองสามครั้งเพื่อทำให้ใจเย็นลง ข่มความกลัวและความวิตกในใจ

จากนั้นเขาก็ตัดสินใจวางแผนว่าจะทำอะไรก่อนดี

เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในใจก็จะไม่รู้สึกเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูกอีก

แล้วในตอนนี้ก็มีร่างหนึ่งเดินผ่านเขาไป ตรงไปยังถนนสายที่ดูคึกคักที่สุด

หลงเยว่หงเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังของซางเจี้ยนเย่าในตอนที่เขาเลี้ยวไปทางขวามือ

“…” เขาเริ่มเป็นห่วงคนในทาร์นันขึ้นมาอีกครั้ง

ใช้เวลาอีกสองสามวินาทีกว่าที่สติของหลงเยว่หงจะกลับคืนมา จากนั้นเขาก็ใคร่ครวญ ตั้งคำถามกับตัวเอง

“หัวหน้าบอกว่าต้องการเก็บรวบรวมข้อมูล… งั้นควรจะเก็บข้อมูลแบบไหนดีล่ะ

“จุดประสงค์ของพวกเราก็คือการได้พบ ‘เมนเฟรม’ ไม่สิ ‘ซอร์สเบรน’ เพื่อค้นหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการทำลายโลกเก่า ถ้ามันไม่ยอมพบพวกเรา งั้นก็ต้องหาของอะไรสักอย่างที่ทำให้มันเปลี่ยนใจ

“อืม ไปเดินๆ ดูก่อนละกัน ลองหาคนท้องถิ่นที่ดูมีอายุสักหน่อย แล้วถามดูว่า ‘สวรรค์จักรกล’ มีเรื่องอะไรที่ต้องการมากๆ บ้างหรือเปล่า”

เมื่อมีแนวทางชัดเจน หลงเยว่หงก็รู้สึกสงบขึ้นมาอีกพอควร

ดังนั้นเขาจึงรวบรวมความกล้า เดินตรงไปยังสี่แยกที่ซางเจี้ยนเย่าหายลับตาไป

หลังจากที่เลี้ยวขวาแล้วเขาก็เดินต่อไปอีกสองสามร้อยเมตร ยิ่งเดินตรงไปเรื่อยๆ ในหูก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่มากขึ้นทุกขณะ

ในที่สุดถนนอันแสนคึกครื้นมีชีวิตชีวาก็ปรากฏต่อสายตา มีผู้คนสัญจรมากมาย มีทั้งคนแม่น้ำแดง คนแดนธุลี อีกทั้งยังมีแขนงเชื้อสายของคนทั้งสองชาติพันธุ์อยู่มากมายด้วยเช่นกัน

หลงเยว่หงมองดูอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็สูดหายใจเข้า ให้กำลังใจตนเองอย่างเงียบๆ

“ไม่มีปัญหาหรอกน่า…”

จากนั้นเขาก็สืบเท้าก้าวเดินเข้าไปในถนนเบื้องหน้า

ในระหว่างนี้เขาเอื้อมมือไปแตะปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ที่เข็มขัดโดยไม่รู้ตัว

* * * * *

[1] ไอนอร์ ภาษาจีนคือ 艾诺 (อ้ายนั่ว) แซ่อ้าย ชื่อนั่ว

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท