รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 263 ติดตามผล

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 263 ติดตามผล

ซางเจี้ยนเย่ามองเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอยากทดลอง

ราวกับเขาต้องการพกพาน้ำมนต์ แขวนกระจกแปดทิศ สะพายกระบี่ไม้ท้อ แล้วออกไป ‘สัประยุทธ์ชิงชัย’ กับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น

นี่เป็นคำศัพท์ที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้มาเมื่อครั้งที่รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนิกาย ‘นิรันดร์ยืนยง’

แต่ซางเจี้ยนเย่าก็ละสายตากลับมาโดยเร็วก่อนจะเดินไปยังกล้องวงจรปิดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกว่าได้เจอ

คนกันเองเสียที

“ในที่สุดแกก็พูดได้แล้ว!

“ฉันยังคิดว่าแกตายไปแล้วซะอีก นี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะต้องจัดงานศพให้หรือเปล่า เตรียมทำบุญเจ็ดวัน…”

กล้องวงจรปิดตัวนั้นเงียบเสียง ไม่มีการตอบสนอง

ซางเจี้ยนเย่ารีบเข้าประเด็นทันที

“รีบแจ้งเกอนาวาเร็วเข้า บอกเขาว่าเป้าหมายลงจากเขามาแล้ว”

กล้องวงจรปิดสร้างเสียงสังเคราะห์ทางอิเล็กทรอนิกส์ออกมาอีกครั้ง

“กรุณารอสักครู่ ผมจะช่วยคุณถ่ายทอดสัญญาณไปให้ผู้การเกอนาวา”

ซางเจี้ยนเย่าชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถามอย่างตื่นเต้น

“ที่จริงแล้วแกเป็นโทรศัพท์ที่ปลอมตัวเป็นกล้องวงจรปิดสินะ”

กล้องวงจรปิดตอบด้วยเสียงไร้อารมณ์ในขณะที่กำลังเชื่อมต่อสัญญาณไปด้วย

“ผมเป็นหุ่นยนต์ตรวจตราแบบมัลติฟังก์ชัน”

ทันทีที่มันพูดจบ เสียงผู้ชายที่ทุ้มนุ่มหูของเกอนาวาซึ่งเจือความรู้สึกของเสียงสังเคราะห์ก็ดังขึ้น

“สวัสดีครับ นั่นใครเหรอครับ”

“พี่น้องคุณไง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล

“…” ที่ปลายสายของกล้องวงจรปิด เกอนาวามองเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจนว่าเป็นใคร

เขาข้ามคำถามก่อนหน้านี้ไปแล้วถามขึ้น

“ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นบุกเข้ามาในเมือง คนในบาร์ตกอกตกใจกันหมด คุณรีบมาดูเถอะ”

เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็พูดรู้เรื่องเสียที เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปพูดกับหลงเยว่หงและไป๋เฉินที่อยู่ตรงประตูร้าน ‘พิราบไพร’

“เปิดประตูหน้าต่าง ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ”

ความหมายโดยนัยของเธอก็คือระบายอากาศเพื่อให้แก๊สกล่อมประสาทที่ยังหลงเหลือตกค้างอยู่ระเหยไป ไม่ให้คนอื่นสามารถเก็บไปวิเคราะห์องค์ประกอบจนส่งผลต่อการนำมาใช้ในภายภาคหน้า

หลังจากหลงเยว่หงกับไป๋เฉินง่วนอยู่กับคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินเข้าไปหาเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่ซึ่งสะพายกระสอบถือกระจกแปดทิศ ถอนหายใจพูดขึ้น

“เจ้าอารามโจว ข้าวของพวกนี้ใช้ได้ผลจริงๆ!”

เมื่อครู่นี้เธอเห็นได้อย่างชัดเจนเต็มตาว่าเป็นเพราะโจวเยว่ใช้ขวดที่บรรจุน้ำและกระจกแปดทิศที่ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน ทำการ ‘โจมตี’ ใส่จนทำให้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นตกใจกลัวจนลนลานหนีไปโดยไม่ได้เหนี่ยวไกยิงปืน

โจวเยว่หัวเราะฮาฮา

“ของพวกนี้เป็นวัตถุมงคลที่บันทึกเอาไว้ในคัมภีร์นิกายเราน่ะ ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่ามันใช้การได้จริงๆ”

เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองบาร์ ‘พิราบไพร’ ก่อนจะกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ก่อนหน้านี้ฉันสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่เข้าไปในบาร์เพราะกลัวแสง เขาก็เลยสร้างภาพลวงตาเพื่อให้เกิดความวุ่นวายก่อนถึงจะเข้าไปล่า แต่หลังจากที่เห็นเขายืนอยู่ใต้แสงไฟถนนถึงได้รู้ว่าที่ฉันเดาไว้น่ะผิดถนัด และนอกจากนั้นตอนที่เขาลงมือเข่นฆ่าในภูเขาตะวันตกเฉียงใต้นั่นก็เป็นตอนกลางวันด้วย

“เจ้าอารามโจว ฉันเห็นว่าตอนที่คุณพบ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ยืนอยู่ใต้ไฟถนน คุณก็รีบโยนไฟฉายทิ้งทันที นี่เป็นเพราะว่าคิดแบบเดียวกันฉันหรือเปล่า”

โจวเยว่ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา

“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”

โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตอบคำ เธอก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ว่าแต่ว่านะ พวกเรารู้จักกันด้วยเหรอ”

“ผู้หญิงที่สูงขนาดฉันเนี่ย คุณน่าจะเคยเจอไม่กี่คนหรอกนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ

“ใช่ ใช่ ใช่ ถึงฉันจะจำหน้าคุณไม่ได้ แต่รูปร่างลักษณะนี่ฉันจำได้แม่นเลยเชียว คุณก็คือสมาชิกทีมสี่คนนั่นเอง…”

ในขณะทั้งคู่กำลังสนทนากันอยู่ ก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง จากนั้นหุ่นยามจักรกลหลายตัวที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ก็เดินเท้าตรงรี่มาที่หน้าบาร์ ‘พิราบไพร’ ด้วยความเร็วประหนึ่งรถวิ่ง

ผู้ที่นำขบวนมาก็คือเจ้าเมืองทาร์นัน เกอนาวา

เมื่อเหล่าหุ่นสมองกลปรากฏตัวขึ้นมากมายในเวลาเดียวกัน อย่าว่าแต่โจวเยว่เลย แม้กระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ถึงกับวิงเวียนตาลาย แทบจะแยกไม่ออกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน

แต่หลังจากสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วเธอก็พบว่าหุ่นสมองกลพวกนี้ยังมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นความสูงต่ำ ความยาวแขน ความโค้งมนของใบหน้า ความหนาของร่างกาย และอื่นๆ ไม่มีตัวใดที่เหมือนกันอย่างสมบูรณ์

ในบรรดาหุ่นเหล่านี้ เกอนาวามีใบหน้าเหลี่ยม ความสูงมากกว่าค่าเฉลี่ย ดูค่อนข้างบึกบึนล่ำสัน

และที่แตกต่างไปจากหุ่นตัวอื่นๆ มากที่สุดจนเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือหมวกทหารสีเขียวแก่ที่สวมอยู่นั้นมีสัญลักษณ์ ‘0’ ‘1’

ไม่รู้ว่าที่พวกมันแตกต่างกันแบบนี้เป็นตั้งแต่ออกมาจากโรงงานเลยเพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละตัวจะมีลักษณะอย่าง

จำเพาะเจาะจง หรือว่าต้องสะสมแต้มส่วนร่วมกันเอาเองเพื่อเอาไว้ซื้อชิ้นส่วนให้ตัวเอง ดัดแปลงด้วยตัวเอง… เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง

“ทีมพวกคุณเข้าไปดูชาวเมืองข้างใน ตรวจดูว่ามีใครต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลบ้าง” เกอนาวาพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาสามคน

ยามจักรกลหนึ่งทีมประกอบไปด้วยหุ่นสมองกลสามถึงสี่ตัว และมีหุ่นจักรกลธรรมดาอีกหลายตัวเป็นลูกมือไว้คอยช่วยเหลือ

ดังนั้นยามจักรกลที่ขาดการติดต่อไปในภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้จึงไม่ได้มีเพียงแค่หุ่นสมองกลสิบตัวเท่านั้น

“ทีมของคุณให้ค้นหารอบบริเวณ รักษาการติดต่อสื่อสารเอาไว้ตลอดเวลาด้วย…” เกอนาวาแจกแจงทีละคำสั่ง จากนั้นก็เดินไปหาพวกเจี่ยงไป๋เหมียน

“เป้าหมายหนีไปแล้วเหรอ” ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับทราบข้อมูลทั่วไปจากซางเจี้ยนเย่าแล้ว แต่ก็ยังถามอย่างระมัดระวังออกมาประโยคหนึ่ง

ชิปหลักของมันนั้นได้วิเคราะห์ประเมินพฤติกรรมและคำพูดของซางเจี้ยนเย่าออกมาได้ว่า…

บุคคลผู้นี้มีปัญหาเกี่ยวกับสภาพจิต คาดว่าอาจจะเป็นผู้ตื่นรู้

แต่จากทัศนคติของซางเจี้ยนเย่าที่ทำเหมือนตนเองเป็นพี่น้อง ทำให้เกอนาวารู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายสละไปนั้นน่าจะไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคำถามก็ผงกศีรษะ

“ต้องขอบคุณเจ้าอารามโจว”

ที่พูดไปนั้นเป็นความจริง อีกทั้งยังเป็นการปกปิดการกระทำของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไปด้วยในตัว

เกอนาวาหมุนลำคอโลหะหันไปทางโจวเยว่

“ขอบคุณมาก”

สำหรับเขาผู้ซึ่งรับผิดชอบด้านความปลอดภัยสาธารณะและการป้องกันทาร์นั้น หากในครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากแล้ว คงไม่แคล้วที่ตนจะต้องถูกไล่ออกและถูกย้ายกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’ เป็นแน่แท้

“ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณองค์ผู้ครองกาลล่ะ” โจวเยว่เอนร่างท่อนบนไปด้านหลังพลางยกสองมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อคารวะองค์เทพี ‘มายาฉาย’ ในอากาศ

เกอนาวาหันไปถามเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าต่อ

“ยังมีคนอื่นที่ถูกโจมตีอีกไหม”

“มีพวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตามจริง

หลังจากที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นถูกไล่เตลิดไป เธอก็สงสัยใจอยู่ว่าพวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ อีกสิบสามคนที่ยังเหลืออยู่จะเป็นยังไงกันบ้าง

แน่นอนว่าเธอเพียงแค่คิดเฉยๆ เท่านั้น สำหรับโจรพวกนี้แค่เธอไม่ยิงลูกปืนให้กินสักสองสามนัดก็ถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว การจะให้เธอจัดทีมออกไปเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือพวกมันก็ฝันไปเถอะ

เกอนาวารีบติดต่อทีมหุ่นสมองกลที่รับผิดชอบเรื่องการค้นหาทันทีโดยใช้โมดูลสื่อสารที่ติดตั้งไว้ ก่อนจะอธิบายสถานการณ์ให้ฟังโดยสังเขป

เพียงไม่นานนักก็ได้รับรายงานจากทีมนั้นกลับมา

“พบแล้ว

“มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่เหลือนอนจมกองเลือดในสภาพหลับใหล ขนาดตัวหนาวสั่นก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา”

“นับว่ายังโชคดี” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นออกมา

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าเขาเปรียบเทียบกับกรณีของจางเก้า

ในเวลานี้ทีมหุ่นสมองกลที่รับผิดชอบด้านในบาร์ ‘พิราบไพร’ ได้นำส่งชาวเมือง นักล่าซากอารยะ และสมาชิกคาราวานที่ได้รับบาดเจ็บไปยัง ‘โรงพยาบาลทั่วไปทาร์นัน’ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อยู่ในภาวะสิ้นสติด้วย

เมื่อเกอนาวาเห็นเช่นนี้จึงสั่งผู้ช่วยของตน

“ชาร์ลี ไปเชิญผู้รับผิดชอบนิกายใหญ่ทั้งหมดมาปรึกษาหารือเรื่องว่าจะรับมือเรื่องนี้กันยังไง”

แล้วในตอนนี้โจวเยว่ก็ร้อง “เอ๊ะ” ขึ้นมา

“ที่แท้ก็คือผู้การเกอนาวานี่เอง”

ป่านนี้เพิ่งจะจำได้เรอะ… เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนขอดอยู่ในใจ แล้วหันไปพูดกับเกอนาวา

“งั้นที่นี่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเราแล้วใช่ไหม”

เมื่อครู่มีหุ่นจักรกลมาสอบถามพวกเขาทีละคนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ด้วย

ในด้านนี้ ถึงแม้ว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ จะไม่ได้นัดแนะกันล่วงหน้า แต่พวกเขาก็นับว่ามีความเจนจัดเพียงพอที่จะบอกเล่าวีรกรรมของตัวเองอย่างคลุมเครือ ไม่ลงรายละเอียดใดๆ พูดถึงเพียงแค่ประเด็นพื้นฐานเท่านั้น

ส่วนเรื่องการเชื่อมโยงเนื้อหาแต่ละส่วนนั้น แน่นอนว่าต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าทีมอย่างเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นผู้รับมือ หากมีใครถามรายละเอียดอะไรก็โยนไปว่าเป็นเพราะภาพหลอน

“พวกคุณไปได้” เกอนาวาหยุดไปอึดใจแล้วพูดต่อ “แต่ว่าในอนาคตอาจจะต้องรบกวนพวกคุณอีก”

ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินของมันกวาดมองพวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ

“พวกคุณทำได้ดีมาก”

“นี่คุณดูออกด้วยเหรอ” ผู้ที่ถามออกมาคือซางเจี้ยนเย่า

“พวกเราพอจะเข้าใจสถานการณ์ของจางจิ้นได้คร่าวๆ ดังนั้นในข้อเท็จจริงที่ว่าบาร์ ‘พิราบไพร’ ไม่เกิดเหตุน่าสลด ก็เพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงความสามารถของพวกคุณแล้ว” เกอนาวาอธิบายสั้นๆ

จากนั้นก็เสริมอีก

“ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร พี่น้องกันไม่จำเป็นต้องขอบคุณให้มากความ” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวด้วยสีหน้ามีคุณธรรมประดุจดั่งป๋ออวิ๋นเทียน

ดูเหมือนว่าโปรแกรมของเกอนาวานั้นไม่มีอัลกอริทึมสำหรับตอบสนองถ้อยคำพวกนี้ ดังนั้นมันจึงทำเพียงแค่เงียบ ไม่ตอบสนองอะไร

หลังจากกล่าวอำลาเกอนาวาแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กลับไปยังโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ด้วยความระแวดระวัง ตลอดทางไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก

ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรม ไอนอร์กำลังขดตัวจ้องมองคอมพิวเตอร์ตัวสั่นเทิ้ม

“เกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความห่วงใย

ไอนอร์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่ดวงตา แล้วตอบด้วยเสียงสั่นฟันกระทบกึกๆ กักๆ

“ฉันกำลัง… กำลังดูหนังผีอยู่น่ะ”

กลัวจนน้ำตาเล็ดเลยเหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าผู้หญิงที่ดูภายนอกเหมือนอายุสามสิบกว่า แต่มักพูดด้วยน้ำเสียงสาวใหญ่วัยเกินห้าสิบผู้นี้ กลับมีจิตใจอ่อนไหวราวกับเด็กสาว

แม้ว่าพวกซางเจี้ยนเย่าหลงเยว่หงจะไม่เคยดูหนังผีก็จริง แต่รายการวิทยุใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นบางครั้งก็เคยมีเล่าเรื่องผีอยู่บ้าง ทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจความหมายของคำนี้ได้โดยไม่ลำบากนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาต่างก็ชะโงกหน้าเข้าไปมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของไอนอร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

บนหน้าจอนั้นจู่ๆ ก็มีใบหน้าซีดขาวเต็มจอ เผยให้เห็นปากที่เปื้อนเลือด

หลงเยว่หงเห็นเข้าก็ตกใจจนหัวใจแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวดังอยู่ข้างหู

เขาคิดจะหลุบตัวกลับไปตามสัญชาตญาณทันที แต่ก็ไม่อยากแสดงความขี้ขลาดให้คนอื่นเห็น ไม่ว่าจะเป็นไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า รวมไปถึงเจี่ยงไป๋เหมียน จึงได้แต่พยายามฝืนใจเอาไว้

“น่าเกลียดชะมัด” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นออกมาอย่างจงใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหมอนี่มีข้ออ้างดูหนังผี รีบพูดขึ้นทันที

“งั้นพวกเรากลับห้องก่อนนะ มีเรื่องต้องทำอีกน่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาอย่างอิดออดไม่เต็มใจ ส่วนหลงเยว่หงนั้นถึงแม้ว่าจะกลัวแต่ก็อดแอบมองหน้าจอไอนอร์ต่อไม่ได้เพราะอยากรู้ว่าจะบนหน้าจอจะเป็นยังไงต่อ

หลังจากกลับไปยังห้อง 221 เจี่ยงไป๋เหมียนก็งับปิดประตูไม้ก่อนจะมองไปรอบๆ

“อย่าลืมเรื่องทบทวนหลังศึก

“ฉันขอถามคำถามแรกนะ

“พวกนายคิดว่าอะไรที่ทำให้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลัวจนเผ่นแน่บไป”

ไป๋เฉินคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เอ่ยปากตอบอย่างใจเย็น

“น่าจะเป็นกระจกนั่น กระจกแปดทิศน่ะ”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท