คำถามของซางเจี้ยนเย่านั้นไม่ได้มีอะไรผิดแปลกแม้แต่น้อย ทว่ามันโผล่มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับบทสนทนาก่อนหน้า จึงทำให้กู้ป๋อรู้สึกงุนงง
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ”
“ก็ถามไปอย่างนั้นแหละครับ” คำตอบของซางเจี้ยนเย่าทำเอากู้ป๋อถึงกับแน่นหน้าอกไปพักหนึ่ง
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของเขา ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือเอนหลังพลางกล่าวเสริม
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
โอ้… ที่หัดมาได้เอามาใช้แล้วสิ หรือว่านี่เป็นประโยคที่นายติดใจที่สุดละเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ขัดขวางกระบวนท่าของซางเจี้ยนเย่าเพราะเธอเองก็อยากรู้เช่นกันว่ากู้ป๋อนั้นรู้จักตู้เหิงหรือไม่
กู้ป๋อสูดปาก
“คุณคือสาวกของ ‘มายาฉาย’ งั้นเหรอ
“แต่ผมได้ยินมาว่าคุณเตรียมเข้าร่วมกับ ‘นิกายเตาหลอม’ นี่นา”
ในฐานะของประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น เขาย่อมต้องมีช่องทางข่าวสารอยู่แล้ว
“การที่ผมเตรียมเข้าร่วมกับ ‘นิกายเตาหลอม’ กับความชื่นชมที่ผมมีต่อหลักปรัชญาบางประการของ ‘นิกายมังกรพยับ’ นั้นไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกัน” ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
โดยเฉพาะเมื่อได้รับศีล… หลงเยว่หงช่วยเสริมให้เขาอยู่ในใจ
กู้ป๋อผงกศีรษะ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“งั้นทำไมคุณถึงได้หัดท่าสักการะของ ‘นิกายมังกรพยับ’ ล่ะ”
“เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้คำพูดครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
จู่ๆ กู้ป๋อก็รู้สึกว่าขืนคุยเรื่องนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่เสียเวลาเปล่า ซ้ำยังจะทำให้เขาถึงกับกระอักเวลาได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าควรเลิกคุยเรื่องนี้ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นต่อดีกว่า
“ผมไม่ทราบว่าตู้เหิงที่พวกคุณพูดถึงนี่เป็นตู้เหิงไหน ชื่อนี้มีคนใช้อยู่หลายคน เท่าที่ผมเห็นมาก็มีสามสี่คนเข้าไปแล้ว”
“เขาเรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักโบราณวัตถุ’ มีผมยาวสีดำ มีเครารอบปาก…” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายรูปลักษณ์ของตู้เหิงโดยสังเขป
กู้ป๋อย้อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมเคยเจอเขาจริงๆ ตอนนั้นเขามาทาร์นันเพื่อสำรวจซากเมืองรอบๆ พวกเราได้คุยกันนิดหน่อย
“เขามีอะไรแปลกหรือไง ผมรู้สึกว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง นอกจากเรื่องที่หน้าตาค่อนข้างดี ก็มีเรื่องความเยือกเย็นสุขุม ชอบสอนคนอื่นแค่นั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบข้อสงสัยของกู้ป๋อ เธอถามต่อ
“เรื่องนั้นเกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว”
“เกือบสี่สิบปีแล้วละมั้ง…” กู้ป๋อพูดอย่างไม่ได้มั่นใจมากนัก
แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ… เรื่องนั้นมันผ่านมานานแสนนานมากแล้ว
“ถ้างั้นฉันจะบอกคุณให้ สี่สิบปีต่อมา ตู้เหิงก็ยังคงเป็นแบบนั้นเป๊ะเลยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบคำถามก่อนหน้าของกู้ป๋อ
กู้ป้อ ‘สูด’ ปาก
“นี่มันยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว…”
เขาย้อนนึกรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“เขาทำตัวเป็นปกติมาก ผมแค่รู้สึกอย่างเลือนลางว่าเขากำลังตามหาของบางอย่าง หรือไม่ก็เรื่องบางเรื่อง”
กู้ป๋อเกรงว่าพวกหลงเยว่หงจะไม่เข้าใจ จึงยกตัวอย่างอื่นมาประกอบ
“ก็อย่างพวกผมที่เป็นนักคุ้ยน่ะ ฮ่า ฮ่า นักคุ้ยขยะนั่นแหละ เวลาที่เข้าไปในซากเมืองแต่ละครั้งก็ระบุชัดเจนไม่ได้หรอกว่าจะไปหาอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือต้องไปหาข้าวของที่มีราคาค่างวด ทั้งๆ ที่ไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นอะไร”
ที่แท้แล้วคำว่า ‘นักคุ้ยขยะ’ นี่ก็เป็นชื่อเรียกทั่วไปตั้งแต่เหนือจรดใต้เลยสินะ… หลงเยว่หงกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็จัดว่าเป็นนักคุ้ยขยะอย่างเป็นทางการคนหนึ่งแล้วเช่นกัน
“พวกเราก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบคำ
กู้ป๋อได้พบกับตู้เหิงเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นจึงไม่มีข้อมูลมากเท่าไหร่ หัวข้อสนทนานี้ก็เลยสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
เขามองดูทุกคนรอบๆ แล้วหยิบแผนที่ความละเอียดสูงออกมาฉบับหนึ่ง
“พวกคุณต้องปกป้องที่ทางแยกปากทางเข้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นั่นมีเส้นทางที่ทอดตรงไปยังภูเขา…”
เส้นทางสายนี้ไม่ใช่ทางที่พวกซางเจี้ยนเย่าใช้เดินทางในตอนนั้น มันเชื่อมต่อกับเทือกเขาภูโบราณซึ่งมนุษย์มิอาจย่างกราย
* * * * *
ณ ปากทางแยกที่มุ่งไปยังภูชีลาร์ ริมฝั่งแม่น้ำโมวีลซึ่งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทาร์นัน
‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่ถือโอกาสเรียกร้องวัตถุปัจจัยมาเป็นจำนวนมาก ขับรถจี๊ปมุ่งตรงมายังที่แห่งนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองท้องฟ้าแล้วหันหน้าเหลือบมองเมืองเล็กที่อยู่ด้านหลังก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“เอาละ มาติดตั้งข้าวของต่างๆ ตามแผนกันเถอะ คิดเสียว่านี่เป็นแบบเรียนสำหรับการฝึกสร้างด่านป้องกันก็แล้วกัน
“อ้อ ต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะด่านให้สอดคล้องกับลักษณะของเป้าหมายด้วยนะ จะไปยึดติดเถรตรงไม่ได้”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงดัง
วินาทีถัดมาเขาก็ยกกระจกเต็มตัวบานหนึ่งขึ้นแล้ววิ่งตรงไปยังทางแยกอย่างกระฉับกระเฉง ก่อนจะเสียบไว้ที่รอยแตกบนพื้นดินแล้วใช้ก้อนหินหนุน
หลงเยว่หงเองก็ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน
เพียงไม่นานนัก ทางแยกทั้งหมดก็ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกระจกเต็มตัวหลายบานหันหน้าออกด้านนอก เหลือไว้เพียงช่องให้ถอยกลับเข้าทาร์นัน
“ดูแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันแฮะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนในฐานะที่เป็น ‘ผู้บัญชาการ’ มองดูผลลัพธ์แล้วยิ้มพูดกับตัวเอง
ซางเจี้ยนเย่าพูดแนะนำอุปกรณ์ด้วยท่าทางจริงจัง
“นี่คือค่ายกลแสงทองแปดทวาร สามารถสยบปีศาจ กำราบมาร ขจัดภูติผี”
“เรื่องพวกนี้ก็มีในรายการวิทยุด้วยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนประหลาดใจเป็นล้นพ้น
ถึงแม้ว่าเธอนั้นแทบจะไม่ได้ฟังรายการวิทยุ เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการท่องอินเทอร์เน็ตเสียมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอรู้สึกว่ารายการวิทยุของบริษัทนั้นผ่านการคัดสรรมาแล้ว ไม่ได้หลุดโลกขนาดนั้น
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผมแอบดูหนังผีของเจ้าของโรงแรมมาน่ะ”
“แต่นั่นไม่ใช่ค่ายกลแสงทองแปดทวารเสียหน่อย…” ในตอนนั้นหลงเยว่หงก็แอบดูด้วยเหมือนกัน
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ฉันรู้สึกว่าเอาคำว่า ‘ค่ายกล’ ‘แสงทอง’ ‘แปดทวาร’ ทั้งสามคำมารวมกัน มันฟังดูเท่กว่าน่ะ”
หลงเยว่หงผู้ไม่เคยเถียงชนะ รีบกลับหลังหันไปเอาข้าวของออกมาจากท้ายรถจี๊ป
ซึ่งของพวกนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ทุ่นระเบิด พลั่ว ตะปู และเชือกป่านเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปตามจุดต่างๆ แล้วพูดขึ้น
“ขุดหลุมตรงนั้นทำเป็นหลุมดักแล้วโยนตะปูลงไป… จากนั้นก็เอาเชือกป่านสองเส้นขึงล้อมบริเวณเอาไว้… ตรงนี้ ตรงนั้น แล้วก็ตรงนู้นให้ฝังกับระเบิด…”
หลังจากออกคำสั่งเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดด้วยความพึงพอใจ
“ปัญหาสำคัญที่สุดของพลังสร้างภาพหลอนก็คือมันจะส่งผลเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดและตอบสนองได้เท่านั้น
“แต่ไม่สามารถทำให้ของพวกกับระเบิด เชือก ตะปู หลุมดักเห็นภาพลวงตาได้
“ดังนั้นพอติดตั้งพวกมันไว้ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพหลอนแบบไหนก็ไม่มีทางทำให้มันขยับเขยื้อนได้เด็ดขาด ความจริงเรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…”
เพื่อป้องกันการบิดเบือนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า เธอจึงเลือกของ ‘ย้อนยุค’ ที่ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
“ผมกลัวเสี่ยวหงจะไปเหยียบเข้าน่ะสิ” ในระหว่างที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังขุดหลุม เขาก็แสดงความกังวลออกมา
“นี่ฉันโง่ขนาดนั้นเลยเรอะ” หลงเยว่หงทักท้วง
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา
“เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรม…”
“พอเลย!” หลงเยว่หงรีบหยุดเขาได้ทันการ
เจี่ยงไป๋เหมียนก็ช่วยพูดให้
“ขอเพียงแค่ไม่ถูกอิทธิพลของภาพหลอน ในตอนนี้เสี่ยวหงถือว่าพึ่งพาได้มากแล้ว”
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเลือกติดตั้งกระจกเต็มตัวก่อนที่จะขุดหลุมดักและติดตั้งกับระเบิด
มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะ ‘จำผิด’ เดินเข้าไปเหยียบเสียเอง
หลังจากง่วนกับการทำงาน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็สร้างด่านป้องกันจนเสร็จเรียบร้อย พวกเขายังทำป้ายไม้ที่มีหลอดไฟเอาไว้ระหว่างกระจกสองบานที่หันหน้าไปทางภูเขาด้วย
บนป้ายไม้เขียนเอาไว้ว่า
‘ถนนสายนี้ห้ามผ่าน กรุณาเข้าเมืองทางประตูตะวันออกเฉียงเหนือ’
ผู้ที่รับผิดชอบประตูทางตะวันออกเฉียงเหนือก็คือ ‘นิกายมังกรพยับ’ ซึ่งมีโจวเยว่เป็นผู้คุ้มกัน
“ฟู่… เสร็จเรียบร้อย!” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เพียงแค่ยืนสั่งด้วยปากเท่านั้น เธอยังลงแรงร่วมด้วยช่วยกัน แต่มุ่งเน้นไปในเรื่องการตรวจสอบสัญญาณไฟฟ้าของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในระแวกใกล้เคียงมากกว่า
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร เธอก็หันไปทางรถจี๊ปแล้วเอ่ยขึ้น
“พวกเราจะไปอยู่หลังรถจี๊ป ไม่ต้องสนใจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“โจวเยว่บอกไว้แล้วว่าทำมากก็ผิดมาก ทำน้อยก็ผิดน้อย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้หลงเยว่หงก็ถอนใจโล่งอก ถึงแม้ศัตรูจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้สึกว่าด่านป้องกันรอบตัวก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
หลังจากทุกคนเข้าประจำตำแหน่งที่กำหนดไว้แล้ว คนทั้งสี่ก็พูดคุยสองสามประโยคเป็นครั้งคราว
ซึ่งนี่ก็มีคำถามพิลึกคำตอบพิลั่นรวมมาเป็นบางทีด้วย
“นายฉี่รดที่นอนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ห้าขวบ…”
นี่ไม่ได้เป็นเพราะซางเจี้ยนเย่าเจตนาทำให้หลงเยว่หงอับอาย แต่เป็นการตรวจสอบตัวตนเป็นระยะ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมารวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเชื่อว่าภาพลวงตาที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นสร้างขึ้น เกิดจากข้อมูลของตัวเขาเองมากกว่าจะเป็นความทรงจำและอารมณ์ของเป้าหมาย
ดังนั้นหากสหายข้างกายกลายเป็นตัวปลอมก็ย่อมไม่มีทางตอบคำถามส่วนตัวได้แน่นอน ถึงแม้ว่าผู้ถามจะถูกบิดเบือนด้วยภาพหลอนก็ไม่มีทางได้รับคำตอบที่ถูกต้องอยู่ดี
นี่เป็นวิธีที่ใช้เพื่อต่อกรกับการ ‘ประสงค์ร้าย’ ได้
ด้วยเหตุนี้ซางเจี้ยนเย่าจึงได้เตรียมร้อยคำถามสำหรับหลงเยว่หงเอาไว้
* * * * *
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยสู่ประจิม สีสันบนฟากฟ้าอ่อนลงอย่างช้าๆ
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมจัดการเรื่องราวสำหรับค่ำนี้ก็พลันมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นออกมาจากภูเขา เข้ามาใกล้ทางแยก
เป็นรถยนต์สีน้ำเงินเข้มเสริมแผ่นโลหะ ดัดแปลงยกแชสซีสูง ล้อขนาดใหญ่
ซางเจี้ยนเย่าหยิบโทรโข่งขึ้นมาแล้วผิวปากตะโกนออกมา
“พี่ชายรูปหล่อ!”
เสียงตะโกนนี้ทำเอาคนในรถรู้สึกงุนงงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังสับสนต่อเพศสภาพของคนผู้นี้
ผ่านไปไม่กี่วินาทีประตูรถก็เปิดออก คนทั้งสี่ลงมาจากรถ
คนหนึ่งเป็นชายที่เสี้ยวศีรษะด้านขวาส่องประกายโลหะสีเงิน หน้าผากมีเศษกระสุนที่ดูไม่ปกติฝังอยู่ อีกคนเป็นหญิงสาวลักษณะอ่อนโยนมีความรู้ เส้นผมยาวตรงสีดำขลับ อีกคนสวมชุดคลุมนักบวชสีดำของโลกเก่า ส่วนสูงเกือบเท่าซางเจี้ยนเย่า มีรอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้า สุดท้ายคือชายสวมเครื่องแบบทหารสีกากีมีหมวกเบเร่ต์ที่เข้าชุดกัน ใบหน้าเป็นแบบฉบับชาวแดนธุลีตามมาตรฐาน แต่เป็นสันชัดเจนมากกว่า
พวกเขาก็คือกลุ่มนักล่าซากอารยะที่พวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนได้ประสบพบเจอที่แหล่งน้ำในภูชีลาร์
“ที่นี่ห้ามผ่านเหรอ” ชายที่ศีรษะครึ่งเสี้ยวเป็นโลหะเอ่ยถามขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบโทรโข่งอีกอันขึ้นมา
“ช่วยไปยืนที่หน้ากระจกด้วย”
เธอเกรงว่าอีกฝ่ายอาจไม่ยินดีทำตาม จึงกล่าวเสริมขึ้นอีก
“นี่เป็นการพิสูจน์ตัวตนว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมน่ะ
“พวกคุณก็รู้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเชี่ยวชาญด้านไหนที่สุด”
นักล่าซากอารยะทั้งสี่คนนั่นสื่อการกันครู่หนึ่งแล้วผงกศีรษะ จากนั้นก็เดินไปที่กระจกเต็มตัวทีละคน ให้เงาสะท้อนปรากฏในนั้นสองสามวินาที
หญิงสาวอ่อนโยนดูมีความรู้กับชายที่สวมชุดคลุมนักบวชสีดำถือโอกาสนี้จัดแต่งทรงผมตัวเอง
“พวกคุณชื่ออะไร” ซางเจี้ยนเย่าถามผ่านโทรโข่ง
“ไป๋เซียว” ชายที่มีไฝใต้ตาซ้าย หัวกะโหลกครึ่งเสี้ยวส่องประกายโลหะ เอ่ยตอบเสียงดัง
“หลินตง” นี่คือชื่อของหญิงสาวผู้นั้น “เป็นคนที่ศึกษาด้านชีววิทยา”
บังเอิญชะมัด บริษัทเราก็ชื่อ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เหมือนกัน… ระหว่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำ ชายที่สวมเสื้อคลุมนักบวชสีดำมีรอยยิ้มอบอุ่นก็ตอบออกมา
“เหลย”
“จางเส้าเผิง” ชายที่สวมเครื่องแบบทหารพูด
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทุกคนต่างมองดูกระจกกันหมดแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ตั้งคำถามขึ้นมาก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะถาม
“ที่แหล่งน้ำสุดท้ายในภูชีลาร์ พวกเราคุยอะไรกัน”
คนทั้งสี่สบตากัน จากนั้นไป๋เซียวก็ตอบกลับมา
“คุยเรื่องซากปรักรอบเมืองทาร์นัน”
ดวงตาหลงเยว่หงชะงักค้างทันที
ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้พูดคุยกับนักล่าซากอารยะทีมนี้แม้แต่คำเดียว หลังจากนั้นก็มีเพียงแค่อีกฝ่ายที่เอ่ยเตือนว่ามี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ อยู่บริเวณภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้!