นี่… เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นยิ้มแล้วถามคำถามเมื่อครู่ออกมา
“พวกนายคิดว่าทำไม ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่น ถึงได้ดึงดันจะเข้าไปในทาร์นันให้ได้ล่ะ”
หลงเยว่หงตอบไปโดยอัตโนมัติ
“ล่าอาหาร…”
ก่อนจะพูดจบเขาก็พบความผิดปกติขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่าบนภูเขายังมี ‘เหยื่อ’ อยู่ อย่างเช่นทีมไป๋เซียวเมื่อครู่ แต่ทว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นไม่ได้จู่โจมใส่พวกเขา กลับยอมวิ่งครึ่งค่อนวันเพื่อเข้าไปฆ่าคนในทาร์นันเสียอย่างนั้น
ต่อให้เขาคิดว่าเหยื่อที่นี่จะอ่อนแอกว่าและระวังตัวน้อยกว่า น่าจะเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับล่าอาหารก็เถอะ แต่ว่าเมื่อคืนเขาก็เพิ่งจะกินจนอิ่มท้องและล่าถอยไปด้วยความกลัว ไม่ควรจะกลับเข้าไปจู่โจมเร็วขนาดนี้นี่นา
พึงรู้ว่า ‘โรคไร้ใจ’ นั้นมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘โรคหวนคืนบรรพกาล’ ความหมายก็คือมนุษย์ได้เสื่อมถอย สูญเสียสติปัญญาและความคิด กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์ป่าไป
แต่ถึงแม้จะเป็นสัตว์ป่าก็ตาม เมื่อเจอกับสถานที่ที่ทำให้หวาดกลัวหรือได้พบสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็ยังต้องหลีกลี้ให้อยู่ห่างจากที่นั่น ไม่กล้าเข้าใกล้ในช่วงเวลาหนึ่ง นอกเสียจากว่าจะหิวโซและไม่มีอาหารอื่นอีกแล้ว ถึงจะย่อมเสี่ยงอันตรายเข้าไปอีกครั้ง
แม้แต่สัตว์ป่าก็ยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็น ‘โรคไร้ใจ’ เลย
“นี่มันไม่สมเหตุผลเท่าไหร่…” ไป๋เฉินช่วยพูดประโยคครึ่งหลังแทนหลงเยว่หง
ซางเจี้ยนเย่าทำสีหน้าครุ่นคิด
“บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าเนื้อมนุษย์ที่นี่อร่อยกว่า…
“เพื่ออาหารอร่อย ก็เลยยอมเสี่ยง”
นายเอาตัวเองมาวัดคนอื่นหรือไงยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำ หันกลับไปมองเมืองเล็กๆ ของทาร์นันแล้วพูดอย่างครุ่นคิด
“หรือว่าที่นี่จะมีของอะไรดึงดูดเขานะ”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็พลันตระหนักได้ว่าความหมายของเธอนั้นแทบไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะพูดออกมาเลย จึงรีบพูดเสริมอีกหน่อย
“หมายถึงของอย่างอื่นที่ไม่ใช่อาหารน่ะ”
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ยังต้องการอะไรอย่างอื่นด้วยเหรอ” หลงเยว่หงพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย
“หาคู่” ซางเจี้ยนเย่าให้คำตอบ
จากนั้นเขาก็อธิบายอย่างจริงจัง
“ในทาร์นันมีคุณยายคนหนึ่งที่เคยเป็นคนรักของเขา เคยฝ่าฟันร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน
“แม้ว่าเขาจะป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ลืมเลือนทุกอย่างไปจนหมดสิ้น แต่ก็ยังจำได้ว่าต้องไปตามหาเธอ คุ้มครองเธอ ทำให้เธออยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงตลอดไป”
ได้ยินแบบนี้ทำเอาซึ้งจนแทบน้ำตาไหลพรากเลยแฮะ… หลงเยว่หงคิดตามวิธีคิดของซางเจี้ยนเย่าแล้วพบว่านี่เป็นเรื่องราวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง
และที่สำคัญที่สุดก็คือเขานึกถึงต้นเรื่องไม่ออก จำไม่ได้ว่ารายการวิทยุเคยเอาเรื่องนี้มาออกอากาศด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าซางเจี้ยนเย่านั้นได้พัฒนาจากการ ‘อ่านมาเล่า’ ไปสู่การถักทอเรียงร้อยเรื่องราวขึ้นมาด้วยตนเอง
“ก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่นะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกภาพตามสถานการณ์ที่ซางเจี้ยนเย่าอธิบายออกมา รู้สึกว่ามันทั้งน่ารันทดและซาบซึ้งกินใจในเวลาเดียวกัน
นี่ถ้าหากว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นเหยื่อ ไม่ได้กินเลือดกินเนื้อ ภาพในจินตนาการก็คงงดงามบรรเจิดยิ่งกว่านี้ไปแล้ว
ไป๋เฉินเม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร
โดยไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าเล่าอะไรต่อ เจี่ยงไป๋เหมียนรีบพูดตัดบท
“นี่ก็เป็นความเป็นไปได้ประการหนึ่ง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ว่ายังมีอะไรอย่างอื่นดึงดูดเขาเช่นกัน”
หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรออก
“ฮัลโหล เจ้าอารามโจวใช่ไหม”
เสียงโจวเยว่ดังขึ้นจากปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์
“ฮ่า ฮ่า ครั้งนี้ฉันจำคุณได้ คุณคือเซวียสือเยว่จากทีมเฉียนไป๋!”
น้ำเสียงของเธอนั้นมีความภาคภูมิใจเจืออยู่อย่างเปี่ยมล้น
“ตอนที่โทรไป มันก็แสดงชื่อฉันที่บันทึกไว้ในรายชื่อ ขึ้นมาบนหน้าจออยู่แล้ว…” เจี่ยงไป๋เหมียนมุมปากกระตุกขณะที่ตอบกลับไป
โจวเยว่กระแอม
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
เธอรีบถามต่อทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เจี่ยงไป๋เหมียนสานต่อหัวข้อสนทนาเดิม
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่องก็คือว่า…” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างย่อๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกไป๋เซียวหลินถง “ตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางคุณ”
“ตกลง ฉันจะแยกแยะจริงเท็จอย่างระวัง” โจวเยว่ยืนยันกลับมา
เจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนเรื่องถาม
“เจ้าอารามโจว ทำไม ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นถึงจู่โจมทาร์นันล่ะ ภูชีลาร์ไม่ได้มีถิ่นฐานของมนุษย์เพียงแค่แห่งเดียวเสียหน่อย”
โจวเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง
“คงต้องไปถามเขาแล้วล่ะ”
เจ้าอารามโจว… คุณกับซางเจี้ยนเย่านี่พูดภาษาเดียวกันเลย… เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบอะไร หลังจากพูดจาตามมารยาทอีกสองสามประโยคก็วางสาย
* * * * *
ณ ทางแยกด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทาร์นัน
โจวเยว่ที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวมัดเชือกป่าน นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งวงกลม มองไปยังภูชีลาร์
ที่เอวของเธอมีกระจกแปดทิศบานหนึ่งห้อยอยู่ บนหน้าผากมีกระจกส่องหน้าบานหนึ่งมัดเอาไว้ ข้างกายมีหุ่นจักรกลที่ไม่มีระบบปัญญาเทียมยืนด้านข้างฝั่งละตัว
นี่ต่างไปจากด่านป้องกันของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ โดยสิ้นเชิง โจวเยว่นั้นแทบไม่มีการเตรียมการใดๆ มีเพียงแค่ปักป้ายไม้เอาไว้ด้านหลัง บนป้ายมีเศษกระจกฝังไว้เป็นสัญลักษณ์ของมังกร
นี่คือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง ‘มังกรพยับ’
“น่าแปลก เขาไปทำอะไรที่ทาร์นันกันนะ…” หลังจากที่วางสาย โจวเยว่ก็พูดกับตัวเองด้วยความสงสัย
* * * * *
ริมฝั่งแม่น้ำโมวีลซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทาร์นัน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนคล้อย แล้วพูดกับพวกซางเจี้ยนเย่า
“ผลัดกันไปหาอะไรกินสักหน่อยเถอะ”
หลงเยว่หงร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ผมขอไปฉี่ก่อนนะ”
พูดจบเขาก็หยิบขวดพลาสติกที่เตรียมเอาไว้ เดินไปไม่กี่ก้าวเพื่อใช้หน้ารถเป็นที่บังตา จากนั้นก็รูดซิปเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
นี่เป็นแผนที่พวกเขาตกลงกันไว้โดยมีวัตถุประสงค์คือจะได้ไม่ต้องเดินไปไกล เป็นการป้องกันว่าจะได้ไม่ถูกอิทธิพลจากภาพหลอนจนทำให้กะระยะและทิศทางผิดจนเดินไปเหยียบกับระเบิดของตัวเอง หรือร่วงลงไปในหลุมดักเข้า
เรื่องความกระอักกระอ่วนนั้นไม่ต้องพูดถึง นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่
แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้บริเวณที่คอยปกป้องเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงเก็บรวบรวมขวดพลาสติกจากร้านแผงลอยและโกดังของหุ่นยามจักรกลมาด้วย
เสียงดังชี่เป็นสาย หลงเยว่หงหลับตาพริ้มในระหว่างที่กำลังปลดปล่อยอย่างสบายอารมณ์
แล้วทันใดนั้นเขาก็พลันพบว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน ต่างก็มองเขาเป็นตาเดียวด้วยสายตาแปลกพิกล
นี่มัน… หลงเยว่หงรู้สึกงุนงง
เดี๋ยวนะ นี่ฉันยังไม่ได้เดินไปหน้ารถเหรอเนี่ย… หลงเยว่หงรู้ตัวขึ้นมา รีบก้มมองเป้ากางเกงตัวเองทันที
เปียกแฉะไปเรียบร้อย
ขวดพลาสติกในมือเขายังไม่ได้เปิดฝาออกเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น!
นี่ก็เหมือนกับเวลาที่ปวดปัสสาวะในความฝัน หลังจากตามหาห้องน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายจนกระทั่งเจอได้ในที่สุด จากนั้นก็ปลดปล่อยออกมาอย่างสบายใจ
ณ ขณะนี้ หลงเยว่หงไม่ทราบว่าจะเอาศีรษะไปซุกไว้ที่ไหน ไม่ทราบว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี
“นี่มันเล่นแรงไปแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็นต่ออิทธิพลของภาพหลอนนี้
ขณะเดียวกันก็เป็นการปลอบใจหลงเยว่หงไปในตัว
ซางเจี้ยนเย่าตีหน้านิ่ง พูดกับหลงเยว่หงอย่างจริงจัง
“เราต้องพิสูจน์ตัวตนกันอีกที
“นายฉี่ราดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“เวร!” หลงเยว่หงอับอายกลายเป็นโทสะทันที
“ปิ๊งป่อง ปฏิกิริยาตอบสนองถูกต้อง” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รู้สึกว่าตนเองถูกด่าแม้แต่น้อย
เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ก็เห็นว่าทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็ยกสองมือขึ้นมาเล็งปืนใส่ตน
สีหน้าพวกเขาประหนึ่งว่ากำลังมองดูสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง เป็น ‘คนไร้ใจ’ ตนหนึ่ง
สองมือซางเจี้ยนเย่าขยับเล็กน้อยก่อนจะชะงักค้างไว้ ราวกับว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ต่อหน้าในขณะนี้เป็นเพียงแค่การแสดง
ปัง! ปัง! ปัง!
เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ต่างก็ลั่นไกยิงออกมา
ซางเจี้ยนเย่ายังคงยืนนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหว ประหนึ่งว่ากำลังแข่งขันประชันความกล้าอยู่กับใครสักคน
แทบจะในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนร่างกายถึงกับหดเกร็งอย่างไม่อาจทนไหว
เพียงหนึ่งถึงสองวินาทีหลังจากนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ค่อยๆ สิ้นสติเนื่องจากความเจ็บปวดเหลือประมาณ ชีวิตเริ่มหลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว ทัศนวิสัยดำมืดลงไป
ในความมืดมิดอันเงียบสงัด เสียงโหวกเหวกค่อยๆ ดังขึ้นมา และดังขึ้นทุกขณะ
“ของปลอม!”
“มันต้องเป็นของปลอมแน่ๆ”
“อย่าทำให้ฉันกลัวสิ”
“ฉันคิดว่าต้องระวังให้มากขึ้นอีก ตอนนี้ให้รวบรวมเบาะแสเพิ่มเติม รอให้มีหลักฐานมากพอถึงจะสรุปได้”
“ทะเลาะเรื่องอะไรกัน คุยกันด้วยเหตุผลสิ”
“ต้องพูดว่า ‘กรุณา’ ด้วย”
* * * * *
ท่ามกลางเสียงถกเถียงกันนั้น ความมืดมิดก็มีช่องค่อยๆ เปิดออก มีแสงสว่างจ้าส่องเข้ามา
ซางเจี้ยนเย่าลืมตาอย่างรวดเร็ว มองเห็นเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ทุกคนต่างมองมาที่ตนเองอย่างกังวล
“เมื่อกี้นายเป็นอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงเครียด
เมื่อครู่เธอเห็นร่างซางเจี้ยนเย่าสั่นกระตุก สัญญาณไฟฟ้าชีวภาพก็พลันปั่นป่วน หน้าผากมีเหงื่อเปียกชุ่ม
“เกือบถูกภาพหลอนฆ่าตายน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างเคร่งขรึม “ทำให้ผมนึกถึงม้าฝันร้าย ‘ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง’ ของมันยังลึกล้ำกว่าภาพหลอนมรณะเมื่อกี้นี้อีก”
“เรื่องเป็นยังไง” หลงเยว่หงพอจะคาดเดาได้อย่างเลือนลาง
ซางเจี้ยนเย่าบรรยายเกี่ยวกับ ‘ประสบการณ์ชีวิต’ เมื่อครู่ของตนเอง สุดท้ายก็บอกว่า
“น่าจะเป็นเพราะเขายังไม่เคยตาย ก็เลยไม่สามารถจำลองความรู้สึกได้อย่างสมจริง”
“มันจะไปเหมือนกันได้ไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ “‘ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง’ นั่นมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตสำนึกของนาย ก็เลยมีผลกระทบมากกว่า อืม… แต่ไม่ว่ายังไงการใช้ภาพหลอนชนิดนี้ถึงแม้จะไม่เหมือนกับ ‘ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง’ แต่ก็มีท่วงทำนองที่คล้ายคลึงกัน ใกล้เคียงกับ ‘ความกลัว’ ในเขตพลังของ ‘ธชียมโลก’ มาก ดังนั้นจะต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี อย่าตกใจกลัวจนตาย”
หลงเยว่หงรู้สึกกังวลและไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
นี่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเผชิญมา
“เราจะมัวแต่ตั้งรับอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้” เขาถอนหายใจ แสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ หันไปมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูด “แผน 5”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าหยิบโทรโข่งจากหลังคารถจี๊ปมา
แล้วตอนนี้เขาก็ทำจมูกฟุดฟิด หันไปพูดกับหลงเยว่หง
“ที่แท้ที่นายฉี่ราด ก็ไม่ใช่ภาพหลอน”
“…เชี่ย!” หลงเยว่หงตอบกลับอย่างโมโห ความหวาดกลัวในใจแทบจะหายไปหมด
ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะ จากนั้นก็ยกลำโพงขึ้นมาแล้วหันไปทางถนนที่นำไปสู่ภูชีลาร์
นี่คือหนึ่งในแผนของพวกเขา
ใช้โทรโข่งเพื่อขยายระยะทางของ ‘ตัวตลกชักจูง’ โน้มน้าวศัตรูจากระยะไกลเหมือนกับที่ถานเจี๋ยในชุมชนศิลาแดงทำ
ถึงแม้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะใกล้เคียงกับสัตว์ป่า อาจจะฟังภาษาคนไม่เข้าใจ และดูเหมือนว่า ‘ตัวตลกชักจูง’ คงจะใช้ไม่ได้ผล แต่เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงบทสนทนาร้อยคำถามกับทีมไป๋เซียวในภาพหลอนก็รู้สึกว่าภายในจิตใต้สำนึกลึกๆ ของศัตรูนั้นน่าจะยังมีสติปัญญาของมนุษย์อยู่ในระดับหนึ่ง สามารถได้รับอิทธิพลจากพลังเช่นกัน
ดังนั้นหลังจากมองดูทีมไป๋เซียวจากไปแล้ว เธอก็ปรึกษากับพวกซางเจี้ยนเย่าไป๋เฉินอยู่สักพัก แล้วเสริมแผนดังกล่าวขึ้นมา
ส่วนเรื่องที่ว่าจะได้ผลหรือไม่นั้น เธอเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน
ฟู่… หวังว่าตานี่จะเลือกใช้ ‘คำง่ายๆ’ ที่แม้แต่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็ฟังรู้เรื่องนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นด้านหนึ่งก็คาดหวังเอาไว้ อีกด้านหนึ่งก็พยายามช่วยซางเจี้ยนเย่านึกหา ‘วาทศิลป์’ ที่จะใช้
แต่แล้วในตอนนี้เอง ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้โทรโข่งเพื่อส่งเสียงออกไปให้ไกล
“บรู๊ววว!”