ในยามวิกาลอันมืดมิด ริมน้ำตะวันออกที่ไร้ผู้คน เสียงดนตรีอันกระจ่างเบิกบานใจดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำให้รู้สึกประหนึ่งว่าอันตรายและความยากลำบากทุกประการล้วนอันตรธานไปกับสายลม
เจี่ยงไป๋เหมียนฮัมเพลงคลอ สภาพจิตใจถูกปรับให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์สุดขีด
หลังจากร้องคลอไปท่อนหนึ่ง เธอก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่าแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมนายถึงไม่ใช้ลำโพงล่ะ”
“ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ต้องร้องออกมาเองถึงจะถ่ายทอดความรู้สึกได้” ผู้ที่ตอบก็คือซางเจี้ยนเย่าคนที่เป็นนายแสวงความสมบูรณ์
เขายังเสนอแนะจุดที่ควรปรับปรุงอีกด้วย
“ร้องไป ตบตักเคาะจังหวะไปด้วย จะยิ่งได้อารมณ์ขึ้นไปอีกนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนนึกภาพตาม
“เอาไว้จะลองดูก็แล้วกัน”
หน้าหิ้งสักการะ โจวเยว่ที่ห้อยกระจกเอาไว้ทั่วตัว ไม่ว่าบนศีรษะ เอว มือ มองดูพวกเขาแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองราวกับเป็นแกะขาวที่เข้ากับพวกเขาไม่ได้
“มาร้องเพลงในเวลาแบบนี้จะเหมาะเหรอ”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในใจโจวเยว่ สุดท้ายเธอก็เลือกใช้วิธีที่ตนคุ้นชินที่สุดมาจัดการ
แล้วในขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะตบต้นขาฮัมเพลงขึ้นมาอีกรอบ อารามหนานเคอทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำสนิท หลอดไฟทุกดวงราวกับสูญเสียกระแสไฟฟ้าไปโดยฉับพลัน
เพียงพริบตา ภายใต้แสงสลัว เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ก็พบว่าตนเองอยู่ในย่านอาคารชุดที่มีต้นไม้สีเขียวร่มรื่น
อาคารในย่านนี้ไม่ได้สูงมากนัก แสงแดดอบอุ่นสะท้อนจากกระจกหน้าต่างแต่ละบาน ทำให้ค่ำคืนไม่อ้างว้างเงียบงันอีกต่อไป
“ย่านอาคารที่เจียงเสี่ยวเยว่กระโดดตึกงั้นเหรอ” โจวเยว่มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น
“น่าจะเป็นอย่างนั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนให้คำตอบยืนยัน
พวกเขาทั้งสามคนราวกับถูกเคลื่อนย้ายมายังที่แห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างดูประดุจของจริงทั้งสิ้น
“ข้อมูลที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นต้องการมอบให้ ถูกซ่อนเอาไว้ในภาพลวงตานี้ใช่ไหม” คำถามข้อนี้เป็นสิ่งที่โจวเยว่กังวลมากที่สุด
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“บางที… พวกเราอาจจะต้อง… ลงมือสำรวจเอง”
“ทำมากก็ผิดมาก…” โจวเยว่ยังคงยืนยันแนวคิดตนเอง
ถึงแม้ว่าพวกเขาตอนนี้ดูเหมือนกำลังยืนอยู่ในย่านอาคารที่พัก แต่ในความเป็นจริงพวกเขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับที่พวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนได้ประสบเมื่อครั้งที่แล้ว ทั้งสามไม่ต้องทำอะไรก็เข้ามาอยู่ภายในอาคารที่เกี่ยวข้อง มาถึงด้านนอกที่พักของเจียงเสี่ยวเยว่
มีผู้คนแออัดเบียดเสียดอยู่หน้าประตู ยื้อแย่งมองลอดช่องเพื่อแอบดู
น้ำเสียงตื่นตระหนก สิ้นหวัง พังทลาย ดังขึ้นในหูของโจวเยว่
“พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ…”
จากนั้นเธอก็มองเห็นภายในบ้าน สีหน้าเหยเกบิดเบี้ยวแนบอยู่กับหน้าต่างสูง เห็นเจียงเสี่ยวเยว่นั่งอยู่ที่ราวระเบียง
วินาทีถัดมา เจียงเสี่ยวเยว่ก็กระโดดไปนอกหน้าต่าง
เสียงของหนักดังกระทบพื้น เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า โจวเยว่ ต่างก็รู้สึกราวกับห้วงความคิดถูกวังวนดูดกลืนเข้าไป สติสัมปชัญญะจมลงไปในความมืดมิด จิตสำนึกราวกับปลิวหลุดร่วง สั่นไหวไม่อยู่นิ่ง
จนกระทั่งความรู้สึกเหล่านั้นถูกขจัดออกไปแล้วถึงพบว่าพวกตนนั้นยังคงอยู่ในย่านอาคารที่มีร่มไม้เขียวขจี ไม่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
เรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พวกเขาต่างก็คุ้นเคยแล้ว เข้าไปในห้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านฝูงชนที่คอยแอบดู เข้าไปในบ้านของเจียงเสี่ยวเยว่ มองดูเธอพูดพึมพำแล้วกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ประสบกับความรู้สึกประหนึ่งจิตสำนึกกลายเป็นแสงเทียนในสายลม ความเจ็บปวดที่ความคิดถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พวกเขาราวกับถูกขังวนเวียนอยู่ในช่วงเวลานี้ ไม่มีทางหลุดพ้น ไม่มีทางหนีรอด
เมื่อประสบกับการวนซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า จิตสำนึกของเจี่ยงไป๋เหมียนก็ค่อยๆ เลือนลางลงไปทุกขณะ มึนงงไปหมด
แล้วทันใดนั้นเอง ชิปในแขนซ้ายก็ส่งสัญญาณเตือนที่ตั้งเอาไว้ล่วงหน้า
นี่เป็นการเตือนว่าสภาพร่างกายเกิดความผิดปกติ!
เกิดอะไรขึ้น… ความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนกลับเป็นปกติบางส่วน พบว่าตนเองกำลังพูดประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา
ประโยคนั้นก็คือ…
“พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ…”
นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนฟื้นสติทั้งหมดแทบจะในทันที พบว่าตนเองกำลังยืนจับราวระเบียง กระจกด้านหน้าถูกเปิดออก ด้านล่างเป็นพื้นซึ่งมองเห็นสิ่งต่างๆ มีขนาดหดจนเล็กลงมาก
เธอกำลังจะกระโดดตึก!
และบริเวณตรงนั้นไม่มีร่างมนุษย์โชกเลือดนอนอยู่
นี่ฉันกลายเป็นเจียงเสี่ยวเยว่ไปงั้นเหรอ… ฉันเข้ามาข้างในภาพหลอนนี้จริงๆ ใช่ไหม… ถ้ากระโดดลงไปจริงๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น… คำถามมากมายผุดขึ้นมาในความคิดเจี่ยงไป๋เหมียน ความกลัวเอ่อล้นทะลักในใจ
เธอรีบหันหน้ามองไปทางที่ซางเจี้ยนเย่าน่าจะอยู่ตรงนั้น
แล้วเธอก็เห็นซางเจี้ยนเย่าสวมเสื้อขนเป็ดตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม ยืนอยู่ที่ราวระเบียงเช่นกัน มือหนึ่งเอื้อมมาที่ศีรษะเธอ
ในระหว่างนี้ซางเจี้ยนเย่าต้านทานแรงลมที่โหมกระโชก สายตามองพื้นด้านล่างราวกับกำลังใคร่ครวญว่าจะกระโดดลงไปดีหรือไม่
“ฉันตื่นแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยปากพูด
“งั้นก็ดีแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าชักมือขวากลับไป
“นายไม่ได้รับผลกระทบเหรอ ไม่ได้กลายเป็นเจียงเสี่ยวเยว่เหรอ”
“ผมคนที่ติดเชื้อถูกดึงออกไปแล้ว ตอนนี้ผมคือซางเจี้ยนเย่าที่เป็นนายเหตุผลน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างใจเย็น
อย่างนี้ก็ได้ด้วย… งั้นนี่ก็นับว่าเป็นข้อดีของการเป็นผู้ป่วยจิตเวชสินะ… นั่นนะสิ นี่มันไม่เหมือนกับการ ‘บังคับทำเสน่ห์’ ของเฉียวชู ไม่ใช่เจอปุ๊บก็ติดเชื้อปั๊บ จำเป็นต้องวนซ้ำไปซ้ำมาเพื่อแพร่เชื้อ การสลับบุคลิกภาพก็เลยสามารถหลุดออกมาจากผลกระทบได้… เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะด้วยความกระจ่างขึ้นมา
แล้วทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้
โจวเยว่!
“คงต้องให้เจ้าอารามโจวถูกกระตุ้นวนซ้ำต่ออีกหน่อยกว่าจะติดเชื้อสมบูรณ์” ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปข้างหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตรงไปแล้วพบว่าเจ้าอารามโจวอยู่ในห้องอื่นที่คล้ายกัน ยืนอยู่ที่ราวระเบียง เอนพิงหน้าต่างเตรียมจะกระโดดลงไป
เรือนผมสีดำของเธอยุ่งเป็นกระเซิง พูดสองประโยคซ้ำไปซ้ำมาด้วยดวงตาไร้แวว
“พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย… พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย…”
ดูเหมือนว่าเธอพยายามขัดขืน จึงทำให้ในตอนนี้ยังไม่กระโดดลงไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่สนใจอีกแล้วว่าตำแหน่งที่ถูกต้องของอีกฝ่ายจะถูกบิดเบือนด้วยภาพลวงตาหรือไม่ เธอเหยียดมือซ้ายออกไป กางนิ้วทั้งห้าชี้ไปทางโจวเยว่ทันที
ประกายแสงสีเงินพวยพุ่งออกมาสายหนึ่ง ส่งเสียงเปรียะ ส่องสว่างบริเวณโดยรอบ
เพียงชั่วพริบตา สายฟ้าก็พุ่งเข้าสู่ร่างของโจวเยว่ ทำให้ร่างเธอสั่นกระตุกไปชั่วขณะ
วินาทีถัดมา ภาพลวงตาของบานหน้าต่างที่เปิดออก ใบหน้าที่แนบชิดติดกระจก ห้องที่มีแสงสว่าง ละแวกอาคารอันร่มรื่นด้วยต้นไม้เขียวขจี ทั้งหมดต่างก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย
ซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน โจวเยว่ ยังคงนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ล้อมรอบไปด้วยหิ้งสักการะและเสาค้ำอาคาร
“ภาพหลอนเมื่อครู่มันมีอะไรแปลกๆ อยู่นะ…” โจวเยว่สะบัดมือที่ชาหนึบของเธอ “ฉันรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตด้วย”
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย” ซางเจี้ยนเย่าตอบมาประโยคหนึ่ง
หลังจากโจวเยว่ถอนหายใจ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดถึงปัญหาที่พบ
“มันแปลกจริงๆ นั่นแหละ
“ทำไมจิตสำนึกพวกเราถึงได้รับผลกระทบจนทำให้ตัวเองรู้สึกกลายเป็นเจียงเสี่ยวเยว่ไปได้”
พลังสร้างภาพลวงตาของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นไม่ใช่ว่าทำให้ข้อมูลของสภาพแวดล้อมถูกบิดเบือน กับจำลองสถานะของเป้าหมายหรอกเหรอ
เขาสามารถสร้างอิทธิพลต่อจิตสำนึกของเป้าหมายโดยตรงได้ตั้งแต่เมื่อไหร่…
เมื่อได้ยินคำถามของเจี่ยงไป๋เหมียน โจวเยว่ก็พลันตาโตขึ้นมาทันที
“ถูกต้อง ‘ภาพลวงตา’ ในเขตพลังของพวกเราทำแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็ทำไม่ได้หรอก…”
พูดแล้วเธอก็ชะงักไป จากนั้นก็แสดงรอยยิ้มกระอักกระอ่วนออกมา
เธอพลั้งปากอีกแล้ว!
เจี่ยงไป๋เหมียนข้ามประเด็นนี้ไปอย่างมีมารยาท เธอพูดอย่างใคร่ครวญ
“หรือว่าตอนที่อยู่ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ เขาได้รับฤทธิภัณฑ์ของเขตพลังอื่นมา”
“ก็เป็นไปได้” โจวเยว่เห็นด้วย
“แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ประการอื่นอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ
สีหน้าเธอกลายเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
“ที่ส่งอิทธิพลต่อจิตสำนึกของพวกเราไม่ใช่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น แต่เป็นตัวภาพลวงตาเอง”
“ตัวภาพลวงตางั้นเหรอ” โจวเยว่รู้สึกงุนงง
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายให้ฟัง
“ภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมานั้นน่าจะคัดลอกมาจากสิ่งที่เขาพบเจอมา
“และเนื่องจากเป็นการคัดลอกมา ก็อาจจะดึงเอาสิ่งแปลกประหลาดในโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่มาด้วยจนทำให้เกิดผลกระทบนี้ขึ้น”
“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…” ซางเจี้ยนเย่าช่วยสรุปคำอธิบายของเจี่ยงไป๋เหมียน “ที่ส่งอิทธิพลต่อจิตสำนึกของพวกเราไม่ใช่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ แต่เป็นโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่”
โจวเยว่ตัวเกร็ง
“ฟังดูน่ากลัวเหลือเกิน…”
จากนั้นเธอก็ผงกศีรษะเบาๆ
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีก็มีความเป็นไปได้อยู่”
“โลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่เป็นสถานที่แปลกพิสดารจริงๆ นั่นแหละ…” ซางเจี้ยนเย่าช่วยถ่ายทอดความรู้สึกของหญิงสาวทั้งสองออกมา “มิน่าล่ะ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นถึงได้ยึดมั่นถึงขนาดนี้”
โจวเยว่นั้นด้านหนึ่งก็แอบเห็นด้วย อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยปากถามขึ้น
“พวกคุณบอกว่าเขาอยากจะเข้ามาในอารามหนานเคอเพื่อแจ้งข้อมูลสำคัญให้เรารู้ไม่ใช่เหรอ
“งั้นทำไมเขาถึงไม่เข้ามาเสียทีล่ะ เอาแต่สร้างภาพหลอนใส่เราเท่านั้น”
“นั่นก็… เป็นแค่การเดาแค่นั้นเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออก
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ส่ายหน้า
“เป็นเพราะพวกคุณไม่มีมารยาทนะสิ”
“หือ” โจวเยว่มองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าด้วยความงุนงง “หรือว่าจะให้ยืนต้อนรับเขา”
ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปยังกระจกเงาที่อยู่ด้านหน้า
“ที่นี่มีแต่กระจกเต็มไปหมด แล้วจะให้เขาเข้ามาได้ยังไง”
“นั่นสิ!” โจวเยว่รู้สึกตัวขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เพิ่งจะนึกออกเช่นกัน
เธอกับโจวเยว่ต่างก็มองหน้ากัน สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ค่อยๆ พลิกกระจกทีละบานๆ เอาด้านหลังออก
ท่ามกลางเสียงลมพัดหวีดหวิว กิ่งไม้ที่อยู่ภายในอารามเต๋าก็ส่ายไหวอยู่ในความวิกาล
สองสามนาทีต่อมา เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า โจวเยว่ ต่างก็หันไปมองที่ทางเข้าห้องโถงในเวลาเดียวกัน
ในความมืดมิดมีเงาร่างสายหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมา เป็นชายสูงวัยที่อายุล่วงเลยหกสิบมาแล้ว ผมยาวสีดอกเลายุ่งเป็นกระเซิง สวมเสื้อผ้าสารพัดชนิดไว้บนร่าง ดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ
เขาเดินไปพลาง หันกลับหลังไปพลาง ในความว่างเปล่าด้านหลังนั้นมีใบหน้ามากมายปรากฏขึ้นมา สีหน้าบิดเบี้ยว นัยน์ตาแดงก่ำ
‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนี้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นวิ่ง แต่ก็ไม่อาจสลัดใบหน้ามากมายที่ห้อมล้อมเขาอยู่ในความมืดมิดได้
ด้านหน้าเขาค่อยๆ มีราวระเบียงกับหน้าต่างบานหนึ่งที่ถูกเปิดกระจกออกปรากฏขึ้นมา
‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนี้ปีนขึ้นไปบนราวระเบียง พูดพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
“พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ… พวกคุณต้องการให้ฉันตายสินะ…”
นี่เป็นน้ำเสียงของผู้หญิงที่ดูแล้วไม่น่าจะดังออกมาจากร่างผู้ชายได้เลย แต่ประหนึ่งว่าดังมาจากผู้หญิงซึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งที่อยู่ไกลออกไป
แล้วในตอนนี้เอง แววตาของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็ปรากฏภาพสะท้อนหิ้งสักการะของอารามหนานเคอ และเศษกระจกที่เป็นสัญลักษณ์ของมังกร
ทันใดนั้นเขาก็เหยียดแขนออกมา มีเสียงขลุกขลักดังจากลำคอราวกับสัตว์ป่าใกล้ตายที่พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
ซางเจี้ยนเย่า โจวเยว่ เจี่ยงไป๋เหมียน ต่างก็สืบเท้าเข้าไปในภาพลวงตาเบื้องหน้าที่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว ในที่สุดก็ได้ยินเสียงที่ราวกับรีดเร้นเค้นออกมาจากหน้าอกของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนี้
“ห้า… ศูนย์… สาม…”