ตอนที่ 280 “ห้อง”
ไอนอร์ชะงักไป
“ฮา จะเป็นไปได้ยังไง
“ฉันหมายถึง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่เจอในทาร์นันตั้งแต่สมัยนู้นแล้วน่ะ”
โดยไม่รอให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าถามอะไรอีก เธอรีบถามกลับด้วยความสงสัย
“แล้วในระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเหรอ”
คุณมาดามเจ้าของโรงแรม อายุอานามของคุณก็ปาไปสามสิบกว่าแล้ว ใกล้จะสี่สิบเต็มที ทำไมถึงชอบเรื่องซุบซิบ อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านนักนะ… ในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเจียงเสี่ยวเยว่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนได้เรียนรู้คำศัพท์จากยุคเก่ามาไม่น้อย
แต่เธอก็เข้าใจได้เพราะเรื่องซุบซิบนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับอายุหรอก ยิ่งว่างมากก็ยิ่งมีเรื่องเม้าท์มอยมากเป็นธรรมดา
“ที่จริงเรื่องนี้มันเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันน่ะ เรื่องก็คือว่า ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ คนหนึ่งของ ‘นิกายมังกรพยับ’ ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’…” เจี่ยงไป๋เหมียนเล่าทุกเรื่องเท่าที่จะเล่าได้ ปกปิดไว้เพียงแค่ประเด็นสำคัญสองสามเรื่องเท่านั้น
ถ้าหากมาดามเจ้าของโรงแรมตั้งใจขุดคุ้ยจริงๆ ยังไงก็ต้องได้ยินเรื่องราวของเจียงเสี่ยวเยว่อยู่แล้ว
“อย่างนี้นี่เอง” ไอนอร์ที่สวมกระโปรงยาวงดงามผงกศีรษะ “ฟังแล้วเหมือนหนังผีเลยเนอะ โดยเฉพาะตอนที่กระโดดตึกครั้งสุดท้ายนั่น”
“ใช่” ซางเจี้ยนเยากับหลงเยว่หงเห็นพ้องต้องกัน
นี่ถ้าหากว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเลือกวิธีการฆ่าตัวตายแบบอื่น บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้สึกเช่นนี้ก็ได้ แต่พอเขากระโดดลงมาจากอาคารชั้นบนเช่นเดียวกับเจียงเสี่ยวเยว่ จึงทำให้คนอื่นรู้สึกถึงการเชื่อมโยงบางประการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็นับได้ว่าเป็นผลงานของคุณครึ่งหนึ่งล่ะน่า เอาไว้ฉันจะพูดกับตาเฒ่ากู้ให้เอง ดูว่าจะให้รางวัลพวกคุณยังไงดี” ไอนอร์นั่งลงไปอีกครั้ง มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปพลาง พูดอย่างยิ้มแย้มไปพลาง
หลงเยว่หงรู้สึกติดใจในความสัมพันธ์ระหว่างมาดามเจ้าของโรงแรมกับประธานกู้อยู่บ้าง จึงอดถามออกมาไม่ได้
“มาดามไอนอร์ คุณสนิทกับประธานกู้งั้นเหรอ”
“สนิทสิ ทำไมจะไม่สนิทล่ะ ทุกคนที่นี่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันมาหลายปีดีดัก ถ้าฉันบอกว่าไม่สนิท พวกคุณจะเชื่อไหมล่ะ” ไอนอร์หัวเราะฮิฮะ “ตาแก่หนังเหนียวนั่นอะไรๆ ก็ดีทั้งนั้น เสียอย่างเดียวใจเสาะไปหน่อย ยอมพลาดดีกว่ายอมเสี่ยง”
คุยกันอีกสองสามประโยค ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ขึ้นลิฟต์กลับไปชั้นสอง
ไอนอร์เงยหน้ามองตามแผ่นหลังจนพวกเขาหายไปด้านหลังประตูลิฟต์ก่อนจะค่อยๆ ละสายตากลับมา
เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง
* * * * *
ภายในห้องสีชมพูที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาหมี ชุดเดรสลูกไม้ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สารพัดชนิด
ไอนอร์นั่งขัดสมาธิบนเตียง จ้องมองบานประตูสีแดงสดด้วยความสงสัย
ด้านหลังเธอนั้นก็คือหัวเตียง ที่นั่นแขวนภาพตกแต่งขนาดใหญ่ไว้บานหนึ่ง เป็นภาพวาดของทะเลมืดครึ้มที่มีประกายแสงระยิบระยับ มีเกาะสองสามเกาะเป็นเงาเลือนลาง
ไอนอร์กระโดดลงจากเตียง เดินก้าวไปยังประตูห้องแล้วจับด้ามจับสีทองเหลือง
เธอบิดแล้วดึงเบาๆ ประตูสีแดงก็เปิดออก
ด้านหลังบานประตูเป็นทางเดินซึ่งมีพรมสีเหลืองแก่ผืนหนา ทั้งสองข้างของทางเดินเป็นห้องเรียงราย
ไม่ว่าจะมองดูทางเดินฝั่งซ้ายหรือขวา มันก็ทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด
ห้องจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนล้วนแต่มีบานประตูไม้สีแดงสด ตัวล็อกแบบเก่าสีทองเหลือง นอกจากตัวเลขสีทองบนประตูแล้ว ประตูทุกบานก็เหมือนกันทุกประการ
ไอนอร์ก้าวไปบนทางเดิน เหลียวซ้ายแลขวา กวาดสายตามองดู ‘หมายเลขประตู’ ที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์รูปแบบ
ไม่ทราบว่าร่างเธอนั้นสั่นเทาตั้งแต่เมื่อใด
ในเวลานี้ เฉลียงทางเดินนี้เงียบสงัดมาก ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ไม่กี่วินาทีถัดมา ไอนอร์ก็กลับหลังหันเดินกลับเข้าห้อง ปิดประตูไม้เสียงดังปัง
บานประตูสีแดงสดของเธอนั้นมีตัวเลขสีทองที่ระบุตัวตนเอาไว้ว่า
‘506’
* * * * *
ภายในห้อง 221 หลงเยว่หงเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนนำเครื่องส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายออกมา
“หัวหน้าจะไม่รอให้คุยกับ ‘ซอร์สเบรน’ เสร็จก่อนถึงค่อยรายงานกลับไปบริษัทเหรอ” เขาไม่ปิดบังความสงสัย
ก่อนหน้านี้เกอนาวาได้แสดงออกมาอย่างชัดแจ้งแล้วว่ารอให้จัดการเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ จบไปก่อน และเก็บกู้หุ่นสมองกลกับหุ่นผู้ช่วยที่ตกหน้าผาไปกลับมาได้ ก็จะจัดการให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้สนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’
นั่นก็คือเรื่องที่ต้องรอไปอีกสองสามวัน
เจี่ยงไป๋เหมียนเขียนเนื้อหาโทรเลขไปก็หัวเราะฮาฮาตอบเขาไปด้วย
“ถึงแม้ฉันจะรู้สึกว่า ‘นิกายมังกรพยับ’ ไม่น่าจะทำเรื่องประเภทฆ่าคนปิดปากก็เถอะ แต่พวกเราจะลดการระวังตัวไม่ได้”
“ใช่ ห้ามเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา” ซางเจี้ยนเย่ากลับคืนสู่ฐานะ ‘สมาชิกกิตติมศักดิ์’ ของนิกายตื่นตัว
“นี่มัน…” หลงเยว่หงได้ยินก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้าง
ระหว่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนเร่งมือเขียนเนื้อหา เธอก็หัวเราะขึ้นมา
“เรื่องแบบนี้น่ะ ต้องจำไว้ให้มั่นว่าหนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น ดังนั้นพวกเราเลยต้องรายงานเรื่องที่เรารู้มาในช่วงเวลานี้กลับไปก่อน
“ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดจู่ๆ พวกเราขาดการติดต่อไป อย่างน้อยบริษัทก็จะได้รู้ว่าน่าจะต้องเริ่มค้นหาจากที่ไหนใช่ไหมล่ะ”
หลังจากที่พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจออกไป จู่ๆ เธอก็พลันชะงักขึ้นมาแล้วชำเลืองมองซางเจี้ยนเย่าโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าเขายังคงมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“อะแฮ่ม…” เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอม “ฉันเขียนลงไปแบบนี้ พวกนายคิดว่าจะมีปัญหาอะไรไหม”
เธออ่านเนื้อหาโทรเลขที่ร่างไว้ออกมาหนึ่งรอบ
ไป๋เฉินฟังอย่างเงียบๆ จนจบแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มีรายละเอียดน้อยเกินไปหรือเปล่า”
เนื้อหาโทรเลขที่เจี่ยงไป๋เหมียนร่างเอาไว้เล่าเพียงแค่ที่มา การได้พบ และจุดจบของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น รวมถึงเหตุการณ์ที่เจียงเสี่ยวเยว่กระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการคาดเดา การประเมิน การตรวจสอบ และบทบาทของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่มีต่อเรื่องนี้
แน่นอนว่านี่รวมถึงตัวเลข ‘ห้า’ ‘ศูนย์’ และ ‘สาม’ ด้วย แต่ไม่มีการตีความที่เกี่ยวข้อง
ส่วนท้ายสุดของโทรเลข เจี่ยงไป๋เหมียนยังเล่าว่าอีกสองสามวันก็น่าจะได้สนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’
“โทรเลขจะเขียนเนื้อหาได้มากสักแค่ไหนเชียว เอาไว้รอกลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ก็ค่อยเขียนรายงานที่เสริมเนื้อหาในส่วนของสถานการณ์ปัจจุบันเข้าไปด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นนับเป็นผู้ช่ำชองประสบการณ์ด้านนี้อยู่แล้ว
ครั้งก่อนที่ส่งโทรเลขไปบอกบริษัทว่ามาถึงทาร์นันแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พวกเขาช่วยคนจนได้รับคอมพิวเตอร์ตอบแทนมาเช่นกัน
“ส่งเป็นข้อความต่อเนื่องไปหลายๆ ฉบับก็ได้นี่” ซางเจี้ยนเย่าให้คำแนะนำ
“พวกเขาไม่ต้องการแบบนั้นหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับมาอย่างเร็ว
‘พวกเขา’ นั้นหมายถึงพวกพนักงานของฝ่ายการสื่อสารของ ‘แผนกความมั่นคง’
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็แปลต้นฉบับโทรเลขอย่างรวดเร็วแล้วส่งกลับไป
รอจนกระทั่ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ กินอาหารเที่ยงเสร็จ เตรียมจะงีบกันสักหน่อย ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ส่งโทรเลขตอบกลับ
“…ทำได้ไม่เลว… สนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’ เสร็จก็กลับบริษัทไปพักได้”
เมื่อได้ยินเจี่ยงไป๋เหมียนอ่านประโยคครึ่งหลังออกมา หลงเยว่หงก็รู้สึกดีใจจนน้ำตาแทบไหล
พวกเขารอนแรมอยู่บนพื้นโลกมาเนิ่นนานหลายเดือนนับตั้งแต่ท้ายฤดูใบไม้ร่วงจนเข้าสู่ปลายฤดูหนาว
เมื่อคำนึงถึงระยะเวลาการเดินทางที่จำเป็นต้องใช้ พวกเขาคงพลาดเทศกาลที่คึกคักที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกๆ ปีของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไปแล้ว นั่นคือเทศกาล ‘ข้ามปี[1]’
นี่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกคิดถึงบ้านยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น
ขณะที่หลงเยว่หงคิดจะเอ่ยปากขึ้นมาว่า ‘ในที่สุด’ แต่ซางเจี้ยนเย่ากลับแสดงความเห็นเสียก่อน
“แบบนี้เหมือนจะเป็นลางเลยแฮะ”
นั่นสินะ… จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าระหว่างนี้อาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือเปล่า
ไป๋เฉินเหลือบมองหลงเยว่หงอย่างแทบจะไม่สังเกตเห็นแล้วก็ละสายตากลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตบหน้าผาก
ตัวเองเบาๆ
“มีอะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
“เป็นธรรมเนียมของพวกเราชาวเร่ร่อนแดนร้างแถบนั้นน่ะ” ไป๋เฉินอธิบายสั้นๆ “ถ้าหากว่าพูดอะไรอัปมงคลหรือได้ยินอะไรที่เป็นลางร้าย ก็ให้รีบตบตัวเอง ทำทีเป็นว่าเรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น”
“จริงเหรอ” หลงเยว่หงรีบเลียนแบบการกระทำของไป๋เฉินทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออีกอย่างสงสัย
“งั้นทำไมถึงไม่เคยเห็นเธอทำมาก่อนเลยล่ะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ มีคำพูดที่เป็นลางแบบนี้
ไป๋เฉินนิ่งเงียบไปสองวินาที
“ก็ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องโชคลางอะไรเลยน่ะ”
“…” หลงเยว่หงถึงกับพูดไม่ออก
* * * * *
นอนกันจนกระทั่งเย็น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ถึงจะลุกจากเตียง ออกไปหาของใส่ท้อง
พวกเขาเดินผ่านตรอกซอกซอยอันเงียบสงบจนมาถึง ‘ถนนเลียบน้ำ’
เสาไฟถนนของที่นี่ไม่ได้เว้นระยะไกลมาก พวกมันส่องสว่างทุกดวงจนทำให้ถนนทั้งเส้นสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
ภายใต้แสงไฟถนน ร้านค้าแผงลอยทยอยตั้งแผงกันทีละร้านทีละร้านๆ ข้าวของเหล่านั้นล้วนหามาจากซากเมืองของโลกเก่าทั้งสิ้น
ผู้คนที่เทศนา ร้องเพลง เต้นรำ แสดงการทรงตัว ล้วนมากระจุกรวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน ทำให้ ‘ถนนเลียบน้ำ’ ดูครึกครื้นมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็เหมือนกับที่ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ได้เห็นเมื่อตอนที่มาถึงทาร์นันในคืนแรก
เมื่อหวนนึกถึงความอ้างว้างเงียบงันของเมื่อสองวันก่อนแล้ว หลงเยว่หงก็ถอนหายใจ
“ผมเริ่มเข้าใจความหมายของงานที่พวกเราทำก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว…”
“ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะพร้อมกับยิ้ม
ดวงตาไป๋เฉินวูบไหวเล็กน้อย ไม่ทราบว่าคิดอะไร
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองหลงเยว่หงก่อนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นนายอยากจะมาช่วยมนุษยชาติด้วยกันไหมล่ะ”
ครั้งนี้หลงเยว่หงไม่ได้รีบปฏิเสธเหมือนครั้งก่อนๆ เขาเริ่มแสดงความลังเลออกมา
แต่เมื่ออ้าปากก็ชะงักไปเพราะเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าเดินไปที่อื่นเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปในกลุ่มคนที่มาจาก ‘คันชั่งเกียรติยศ’ มองดู ‘การแสดง’ อย่างตื่นตาตื่นใจ
พวกสาวกจาก ‘คันชั่งเกียรติยศ’ ยืนบนไม้ต่อขา[2] เดินไปเดินมาเพื่อแสดงการทรงตัว
นอกจากนี้ก็ยังมีการต่อตัวซ้อนเป็นชั้นๆ มีการแสดงขี่จักรยานทรงตัวบนล้อเดียว หรือสรุปสั้นๆ ก็คือพวกเขากำลังเผยแผ่คำสอนนิกายในสารพัดรูปแบบนั่นเอง
“นี่มันคณะกายกรรมชัดๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยเสียงเบาบาง
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ยืนแช่อยู่นานนักเนื่องจากกระเพาะเขาไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น
ที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ออกมาข้างนอกที่พักก็เพื่อหาอาหารใส่ท้อง
พวกเขาเดินไปที่บาร์ ‘พิราบไพร’ แล้วผลักประตูเข้าไป
เนื่องจากลูกค้าขาประจำส่วนใหญ่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล บาร์จึงค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มานั่งจับกลุ่มเล่นไพ่
เมื่อเจ้าของบาร์ไช่อี้มองเห็นทีมเฉียนไป๋เดินเข้ามา เขาก็รีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับถึงหน้าประตูร้าน ทำเอาหลงเยว่หงรู้สึกอึดอัดเมื่อเจอกับความกระตือรือร้นและอ่อนน้อมในน้ำเสียงอย่างเปี่ยมล้น
“เถ้าแก่ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
ไช่อี้ถูมือไปมา
“ต้องสิ! ต้องสิ!
“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณล่ะก็ อย่าว่าแต่เรื่องบาร์นี้จะเปิดต่อได้หรือเปล่าเลย ไม่แน่ว่าผมอาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้วด้วยซ้ำ”
“วันนี้กินอะไรไหมล่ะ ผมเป็นเจ้าภาพเอง!”
“อะไรก็ได้ง่ายๆ ขอแค่ไม่ใช่อาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง ธัญพืชอัดแท่งก็พอแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าไม่ปฏิเสธความหวังดี
ไช่อี้หัวเราะร่วน
“ไม่มีปัญหา ผมจะไปเอาเนื้อแช่แข็งที่บ้านมา เดี๋ยวจะแสดงฝีมือให้พวกคุณดู
“อ้อ ใช่… ประธานกู้บอกให้ทุกคนรวบรวมวัตถุปัจจัยมาสองวันแล้วล่ะ จะเอาไปแลกกับหมูสักตัว จากนั้นก็ไปจัดเลี้ยงกันที่อารามหนานเคอ ตั้งโต๊ะสองสามโต๊ะ ฆ่าหมูมาปรุงอาหารเพื่อเป็นการขอบคุณ”
หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ พากันน้ำลายสอขึ้นมาทันที
“ดีเลย” แม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง “แต่ว่าไปตั้งโต๊ะที่อารามหนานเคอจะดีเหรอ”
ไปจัดโต๊ะกินเลี้ยงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น แถมยังจะฆ่าหมูอีกต่างหาก แบบนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอนั่น
ไช่อี้หัวเราะ
“เจ้าอารามโจวเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอบอกว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี”
ในใจของทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ พลันมีคำพูดโประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาทันที
‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย’
[1] ข้ามปี (过年) หมายถึงข้ามปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่ของชาวจีน ก็คือ ‘ตรุษจีน’ นั่นเอง
[2] ไม้ต่อขา (高跷) ในภาษาไทยมีชื่อเรียกแบบพื้นบ้านมากมายหลากหลาย เช่น ม้าไม้ ไม้โถกเถก ขาโถกเถก ไม้โก๋งเก๋ง