รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 282 “ซอร์สเบรน”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 282 “ซอร์สเบรน”

ตอนที่ 282 “ซอร์สเบรน”

ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองข้อความที่เขียนไว้บนหาดทรายอยู่หลายวินาทีก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเกาะที่มีเพียงแค่แสง

อาทิตย์ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ลานหญ้า และสิ่งต่างๆ จากธรรมชาติ

เขาก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็เขียนประโยคหลังเพิ่มอีกครึ่งหนึ่งต่อจากประโยคเดิม

‘กลัวชีวิตไม่มีเป้าหมาย…’

หลังจากเขียนประโยคเหล่านี้เสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็ลุกขึ้นยืน

ร่างเขาแยกออกมา เพิ่มจำนวนขึ้นอีกแปดคนถ้วน

จากนั้นเขาก็ง่วนอยู่บนเกาะ ตัดต้นไม้ เคลื่อนย้ายก้อนหิน ขุดดินถอนหญ้า สร้างบ้านที่สุดแสนจะเรียบง่ายขึ้นมาหลังหนึ่ง

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าเหนื่อยจนหมดแรง ร่างทั้งเก้ารวมเป็นหนึ่ง แล้วค่อยๆ กลับออกมาจาก ‘ทะเลต้นกำเนิด’

ก่อนที่เขาจะกลับไปสู่โลกแห่งความจริงโดยสมบูรณ์ ก็มองเห็นว่าบ้านที่มีสภาพไม่น่าไว้วางใจที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้นค่อยๆ พังทลายลงไปอย่างช้าๆ

แล้วทุกสิ่งก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

* * * * *

หัวเตียงนอน ซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏต่อครรลองสายตาก็คือความมืดมิดอันเงียบสงัดผืนหนึ่งกับแสงสว่างเลือนรางจากนอกหน้าต่าง

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ครุ่นคิดไปมาก่อนหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา

วันรุ่งขึ้นในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเช้า ซางเจี้ยนเย่าก็เล่าถึงสิ่งที่ตนเองได้ทดลองทำเมื่อคืนนี้ให้สมาชิกคนอื่นๆ ใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ฟัง

แม้ว่าหลงเยว่หงไม่อาจถอดรหัสได้ว่าเรื่องพวกนี้หมายถึงสิ่งใด แต่ก็ผงกศีรษะเชิงให้กำลังใจ

“ฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องดีนะ อย่างน้อยเกาะก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรบ้างแล้ว ไม่ได้เงียบเหมือนเดิมอีก”

“ใช่แล้วล่ะ” ไป๋เฉินเห็นด้วย

เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ผงกศีรษะเบาๆ

“ฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

หลงเยว่หงผู้ซึ่งได้รับการยืนยันอย่างเป็นเอกฉันท์ก็พลันรู้สึกปลื้มปริ่มขึ้นมา แต่แล้วก็เริ่มหวั่นวิตก เกรงว่าการวินิจฉัยของตนเองจะผิดพลาดจนทำให้ซางเจี้ยนเย่าไปผิดทาง

เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญแล้วพูดต่อ

“ฉันคิดว่าสิ่งที่นายกลัวอาจจะเป็น ‘ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้’ นายอาจจะกลัวว่าหลังจากที่ตัวเองยอมแพ้และสูญเสียทุกอย่างไป โลกจะกลับเป็นเหมือนเก่า เหลือเพียงแค่แสงอาทิตย์ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ลานหญ้า และสายน้ำเท่านั้นที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม”

“ก็มีบ้างเหมือนกัน” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ

“ถ้างั้นต่อจากนี้ไปก็มุ่งไปตามแนวนี้ก็แล้วกัน พวกเราจะดูจากผลตอบรับ จากนั้นก็ค่อยๆ คิดหาหนทางเอาชนะให้ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้กำลังใจ “อืม แต่ก็ต้องลงมือในโลกความจริงด้วยเหมือนกัน”

จากความเข้าใจของเธอ ผู้ตื่นรู้ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ น่าจะต้องใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าจะไปจนถึงสุดทางและหาตัวเองพบ ถึงอย่างไรการขุดภูเขานั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าการขุดลงไปในจิตใจผู้คนมากนัก ผู้ตื่นรู้บางคนต้องติดอยู่บนเกาะไปตลอดทั้งชีวิต ไม่อาจหาหนทางฝ่าออกไปได้

คนอย่างซางเจี้ยนเย่าที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็สามารถผ่านเกาะไปได้ถึงสองเกาะ นับว่ามีอยู่น้อยมากจากจำนวนอันน้อยนิด จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกังวลใจไป

* * * * *

ผ่านไปอีกสองวัน ยามจักรกลที่นำโดยเกอนาวาก็ได้ขนย้ายเศษซากของสหายร่วมงานกลับมาจากภูชีลาร์เสร็จ

‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงได้รับแจ้งว่าสามารถไปสนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’ ได้แล้ว

ชั้นล่างของศาลาว่าการ พวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนทยอยลงมาจากรถจี๊ป ภายใต้การนำทางของหุ่นยนต์ผู้ช่วย พวกเขาจึงขึ้นไปยังชั้นบนสุด ก่อนจะเข้าไปในห้องที่ดูเหมือนห้องประชุมขนาดเล็ก

ภายในนั้นมีโต๊ะยาวตั้งไว้ตัวหนึ่ง เก้าอี้สิบกว่าตัว ชั้นวางเอกสารและวางหนังสือหนึ่งชั้น หน้าจอ LCD ขนาดใหญ่แขวนไว้บนผนัง

เกอนาวาที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ชี้ไปยังเก้าอี้สองสามตัวที่หันหน้าไปทางหน้าจอ LCD เขาใช้น้ำเสียงนุ่มทุ้มของผู้ชายที่ให้อารมณ์เสียงสังเคราะห์กล่าวขึ้น

“พวกคุณนั่งกันตามสบาย

“ผมไม่สะดวกอยู่ฟังด้วย”

เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ต่างหาที่นั่งลง

เกอนาวาเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีแล้วงับประตูปิด

ทันทีที่เขาออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็รีบลุกขึ้นมา บางครั้งก็เข้าไปศึกษาระบบเสียง บางครั้งก็เข้าไปสังเกตดูการเดินสาย

สุดท้ายเขาเดินไปที่ชั้นวางเอกสารแล้วกลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่ง

“อะไรเหรอนั่น” เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาด้วยความสงสัย

ซางเจี้ยนเย่านั่งลงแล้วหันหน้าปกหนังสือเล่มเล็กในมือให้ดู

มันเป็นสีส้ม เขียนตัวเลข ‘0’ กับ ‘1’ ขนาดใหญ่เอาไว้ มีชื่อหนังสือที่เขียนด้วยตัวอักษรภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดง

‘คู่มือการทำงานของหุ่นสมองกลในต่างแดน’

ซางเจี้ยนเย่าสุ่มพลิกดูเนื้อหาข้างในอย่างไม่ตั้งใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนขยับเข้าไปใกล้ และถือโอกาสอ่านฆ่าเวลาไปกับเขาด้วย

‘…ไม่อนุญาตให้ทดลองกินอาหารของมนุษย์…’

‘…นำชิ้นส่วนเก่ากลับมาใช้ซ้ำ…’

‘…ห้ามซื้อขายโมดูลหลัก…’

‘…รักษาความเป็นมนุษย์ให้อยู่ในระดับ 30% ถึง 70%…’

‘…พึงใส่ใจในพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน หากจำเป็นก็สามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องได้…’

เมื่อเห็นข้อความพวกนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“อ่านดูแล้วรู้สึกแปลกๆ แฮะ…”

“ไม่มีระบุไว้ว่าห้ามเป็นเพื่อนกับมนุษย์” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าโล่งใจ

หลงเยว่หงมองดูพวกเขาอย่างรู้สึกกระสับกระส่าย

“ไม่ตื่นเต้นกันบ้างเหรอ”

พวกเรากำลังจะได้พูดคุยสนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’ ผู้ลึกลับนะ!

นี่เป็นตัวตนที่สำคัญมากของกองกำลังใหญ่แห่งนี้

ซางเจี้ยนเย่าตอบหลงเยว่หง

“ตื่นเต้นสิ

“ถ้าเราพูดอะไรผิดแม้แต่นิดเดียว มันอาจจะสั่งให้ยามจักรกลของทาร์นันมาจับตัวเราส่งไปที่ ‘พิพิธภัณฑ์มนุษย์ที่มีพฤติกรรมสกปรก’ ก็ได้”

นายไปเอาชื่อนี้มาจากไหนเนี่ย… หลงเยว่หงพบว่าพักนี้ยิ่งทีซางเจี้ยนเย่าก็ยิ่งเก่งในการแต่งเรื่องและสร้างคำศัพท์

แต่ว่ากันตามตรงแล้ว นี่ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับความกังวลของเขา

‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่มีทางต้านทานการโจมตีจากหุ่นสมองกลจำนวนมากขนาดนั้นได้อยู่แล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะเอ่ยปากพูดปลอบใจหลงเยว่หงสักสองสามคำ แต่ทันใดนั้นในหูก็ได้ยินเสียงของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เจือความเป็นเสียงสังเคราะห์ดังขึ้นมา

“ใน ‘สวรรค์จักรกล’ ไม่มี ‘พิพิธภัณฑ์มนุษย์ที่มีพฤติกรรมสกปรก’ มีแค่ ‘พิพิธภัณฑ์อารยธรรมโลกเก่า’ เท่านั้น”

ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ หันขวับไปมองหน้าจอขนาดใหญ่ในห้องประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน

บนหน้าจอมีภาพวังวนขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

“สวัสดีครับ” ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท

เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน โค้งคำนับให้

เสียงชายในวัยผู้ใหญ่เมื่อครู่นี้ดังขึ้นมาในห้องอีกครั้ง

“ทำตัวตามสบาย โปรแกรมหลักของผมมีข้อจำกัดอย่างเคร่งครัดเรื่องการจู่โจมมนุษย์ จำเป็นต้องให้เงื่อนไขต่างๆ สอดคล้องกันก่อนถึงจะลงมือได้”

“ท่านคือ ‘ซอร์สเบรน’ ใช่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะแล้วเอ่ยปากถาม

“ถูกต้อง” ภาพวังวนขยับวูบวาบ เสียงชายในวัยผู้ใหญ่เอ่ยตอบ “ที่จริงแล้วผมต่างไปจากเมนเฟรมควบคุมเมืองที่พวกคุณเคยรู้จัก อืม… จำไว้ว่าพวกคุณมีเวลาเพียงห้านาทีเท่านั้น ใคร่ครวญให้ดีก่อนจะถามอะไร”

ในฐานะตัวแทนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดเข้าประเด็นโดยตรง

“‘ซอร์สเบรน’ ที่เคารพ เราอยากรู้ว่าทำไมโลกเก่าถึงถูกทำลาย”

‘ซอร์สเบรน’ นิ่งเงียบไปสองวินาที

“นี่เป็นเรื่องที่ผมเองก็พยายามหาคำตอบเช่นกัน”

นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามต่อ

“งั้นท่านรู้ไหมว่าตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย มันเกิดอะไรขึ้น”

‘ซอร์สเบรน’ ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

“จากข้อมูลที่ผมรวบรวมไว้ รวมถึงภาพบันทึกต่างๆ ที่ผมติดตามอยู่ในขณะนั้น พอจะประเมินในเบื้องต้นได้ว่าการแพร่ระบาดของ ‘โรคไร้ใจ’ อย่างกะทันหันในเวลานั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมาภายหลัง

“ในตอนนั้นเทคโนโลยีของมนุษยชาติมาถึงระดับที่น่าตกตะลึง อย่างเช่น ‘การควบคุมนิวเคลียร์ฟิวชั่น’ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกทั้งโลกก็มีความก้าวหน้าที่สำคัญ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ประสบความสำเร็จจนถึงที่สุด แต่ก็สามารถมองเห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง

“ในทำนองเดียวกัน ระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมอัจฉริยะเองก็มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในเรื่องสำคัญ หลังจาก ‘โรคไร้ใจ’ ปะทุขึ้นในพื้นที่ทหารบางแห่ง มนุษย์ที่สูญเสียสติปัญญาไปอาจไปเจออะไรบางอย่างเข้า หรืออาจจะไปกดอะไรเล่นตามสัญชาตญาณก็ได้

“การโจมตีในระลอกแรกเกิดขึ้นจากสาเหตุเช่นนี้เอง จากนั้นระบบควบคุมอัจฉริยะของประเทศต่างๆ ที่ทำงานโดยไม่มีมนุษย์คอยควบคุมสถานการณ์ ก็ได้ใช้เงื่อนไขและการตอบสนองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทำการตอบโต้กลับไป และเนื่องจากไม่มีใครหยุดยั้งมัน นี่จึงกลายเป็นวงรอบวัฏจักรอย่างรวดเร็ว ต่อมาสงครามได้ลุกลามบานปลายจนถึงขั้นใช้อาวุธทำลายล้างพลังสูงจู่โจมทำลายซึ่งกันและกัน

“โลกมนุษย์ถูกทำลายพินาศในเวลาเพียงไม่นาน”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของ ‘ซอร์สเบรน’ ทั่วทั้งห้องประชุมก็เงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรในช่วงเวลาหนึ่ง

ข้อความง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคนี้ราวกับว่าครอบคลุมถึงสาเหตุความทุกข์ยากของมวลมนุษยชาติในตลอดช่วงระยะเวลา 60-70 ปีที่ผ่านมาได้หมดสิ้น

“มีเวลาแค่ห้านาทีเท่านั้นนะ…” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยเตือนขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกตัว รีบถาม ‘ซอร์สเบรน’ ต่อ

“ดังนั้นท่านก็เลยคิดว่าสาเหตุที่โลกเก่าถูกทำลายนั้น เกิดจากการที่ ‘โรคไร้ใจ’ แพร่ระบาดอย่างฉับพลันสินะ”

“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้โลกเก่าไม่มีวี่แววว่าจะถูกทำลายแม้แต่น้อย” ‘ซอร์สเบรน’ ยืนยันคำตอบ

“จริงเหรอเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด “เป็นไปได้ไหมที่ท่านไม่ได้ใส่ใจ หรือรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเอาไว้ อย่างเช่นว่าในช่วงเวลาก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย มีกองกำลังบางแห่งแอบสร้างที่หลบภัยขึ้นมา”

ในตอนนี้ คนที่เหลือของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็ทราบว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังใช้ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาเป็นตัวอย่าง

‘ซอร์สเบรน’ ให้คำตอบออกมาอย่างรวดเร็ว

“สถานที่แบบนั้นอาจถูกสร้างโดยคนที่คลั่งไคล้วันสิ้นโลกก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นสถานที่ซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับการทดลองอื่นๆ มันไม่น่าเป็นการจัดสร้างเป็นที่หลบภัยในวันโลกาวินาศอย่างเฉพาะเจาะจง”

การทดลองอื่นๆ งั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญคำนี้ แล้วกลับไปยังหัวข้อหลัก

“‘ซอร์สเบรน’ ที่เคารพ ท่านคงทราบว่ามนุษย์มีการก่อตั้งสถาบันวิจัยที่เอาไว้ ‘รับมือกับอนาคต’ ขึ้นมาเก้าแห่งตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย ท่านคิดว่า ‘โรคไร้ใจ’ นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาหรือเปล่า”

“ความเป็นไปได้ข้อนี้ยังตัดทิ้งไม่ได้ แต่ ‘โรคไร้ใจ’ ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความรุนแรง การลุกลาม และความไม่แน่นอน ผมมองว่ามันเกินกว่าระดับของเทคโนโลยีมนุษย์ในขณะนั้นไปมาก” ‘ซอร์สเบรน’ ใช้คำพูดที่ค่อนข้างรัดกุมระมัดระวังตอบกลับมา

“ถ้างั้นท่านรู้หรือไม่ว่าสถาบันแห่งใดที่อยู่ทางเหนือ หมายถึงทางตอนเหนือของแดนร้างบึงดำน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อเนื่อง

‘ซอร์สเบรน’ เงียบไปสองสามวินาที

“ผมไม่ทราบ นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าถึงได้ในขณะนั้น”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสียงผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเป็นเสียงสังเคราะห์ได้หยุดไปชั่วขณะ

“ที่จริงแล้ว ต้นกำเนิดของ ‘สวรรค์จักรกล’ ก็คือหนึ่งในเก้าของสถาบันวิจัยนั่นเอง ตัวผมนั้นเป็นผลงานวิจัยหลักและเป็นงานวิจัยที่สำคัญที่สุดของสถาบันวิจัยแห่งนั้น”

ในหัวเจี่ยงไป๋เหมียนผุดความคิดหนึ่งวาบขึ้น จึงโพล่งออกมา

“สถาบันวิจัยที่สามหรือเปล่า”

มาดามเจ้าของโรงแรมเล่าว่าสถาบันวิจัยที่สามอยู่ทางทิศใต้ และที่นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นทิศใต้ ส่วน ‘สวรรค์จักรกล’ ยิ่งอยู่ใต้ลงไปกว่านี้อีก!

“ถูกต้อง” ‘ซอร์สเบรน’ ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “มนุษย์ในตอนนั้นถูกบังคับให้สร้างเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่เพื่อสถาบันวิจัยแห่งนี้”

เมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อาคารใต้ดินของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ งั้นเหรอ… ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งบังเกิดความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากถาม ‘แทน’ เธอ

“นั่นก็คือแม็กซิเมียนใช่ไหม”

แม็กซิเมียนที่ ‘สวรรค์จักรกล’ กำลังตามหานั้นอาจจะเป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยที่สาม!

รูปวังวนบนหน้าจอขนาดใหญ่หยุดหมุนไปสองวินาทีก่อนจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ

“ถ้าพูดอย่างเจาะจงล่ะก็… เขาก็คือบิดาผู้ให้กำเนิดผม”

“งั้นหลังจากนั้นคุณหาเขาเจอหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความเป็นห่วง

“เจอ แต่เขาเสียชีวิตไปนานแล้วล่ะ

“ตอนนั้นเขาเปลี่ยนชื่อเป็นออเรย์แล้ว”

“ออเรย์…” เจี่ยงไป๋เหมียนทวนชื่อด้วยความสงสัย รู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู

วินาทีถัดมาไป๋เฉินก็โพล่งขึ้น

“ออเรย์ของ ‘ปฐมนคร’ น่ะเหรอ”

มูลค่าเงินที่ใหญ่ที่สุดใน ‘ปฐมนคร’ คือออเรย์ ซึ่งมันถูกตั้งชื่อตามหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘ปฐมนคร’ ขึ้นมา!

‘ซอร์สเบรน’ ตอบคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ถูกต้อง เขาเป็นประชาชนคนแรก ผู้ปกครองเผด็จการคนแรก และจักรพรรดิชั่วคราวคนแรกของ ‘ปฐมนคร’… ออเรย์ อูบิส”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท