ตอนที่ 282 “ซอร์สเบรน”
ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองข้อความที่เขียนไว้บนหาดทรายอยู่หลายวินาทีก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเกาะที่มีเพียงแค่แสง
อาทิตย์ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ลานหญ้า และสิ่งต่างๆ จากธรรมชาติ
เขาก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็เขียนประโยคหลังเพิ่มอีกครึ่งหนึ่งต่อจากประโยคเดิม
‘กลัวชีวิตไม่มีเป้าหมาย…’
หลังจากเขียนประโยคเหล่านี้เสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็ลุกขึ้นยืน
ร่างเขาแยกออกมา เพิ่มจำนวนขึ้นอีกแปดคนถ้วน
จากนั้นเขาก็ง่วนอยู่บนเกาะ ตัดต้นไม้ เคลื่อนย้ายก้อนหิน ขุดดินถอนหญ้า สร้างบ้านที่สุดแสนจะเรียบง่ายขึ้นมาหลังหนึ่ง
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าเหนื่อยจนหมดแรง ร่างทั้งเก้ารวมเป็นหนึ่ง แล้วค่อยๆ กลับออกมาจาก ‘ทะเลต้นกำเนิด’
ก่อนที่เขาจะกลับไปสู่โลกแห่งความจริงโดยสมบูรณ์ ก็มองเห็นว่าบ้านที่มีสภาพไม่น่าไว้วางใจที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้นค่อยๆ พังทลายลงไปอย่างช้าๆ
แล้วทุกสิ่งก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
* * * * *
หัวเตียงนอน ซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏต่อครรลองสายตาก็คือความมืดมิดอันเงียบสงัดผืนหนึ่งกับแสงสว่างเลือนรางจากนอกหน้าต่าง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ครุ่นคิดไปมาก่อนหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา
วันรุ่งขึ้นในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเช้า ซางเจี้ยนเย่าก็เล่าถึงสิ่งที่ตนเองได้ทดลองทำเมื่อคืนนี้ให้สมาชิกคนอื่นๆ ใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ฟัง
แม้ว่าหลงเยว่หงไม่อาจถอดรหัสได้ว่าเรื่องพวกนี้หมายถึงสิ่งใด แต่ก็ผงกศีรษะเชิงให้กำลังใจ
“ฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องดีนะ อย่างน้อยเกาะก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรบ้างแล้ว ไม่ได้เงียบเหมือนเดิมอีก”
“ใช่แล้วล่ะ” ไป๋เฉินเห็นด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ผงกศีรษะเบาๆ
“ฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
หลงเยว่หงผู้ซึ่งได้รับการยืนยันอย่างเป็นเอกฉันท์ก็พลันรู้สึกปลื้มปริ่มขึ้นมา แต่แล้วก็เริ่มหวั่นวิตก เกรงว่าการวินิจฉัยของตนเองจะผิดพลาดจนทำให้ซางเจี้ยนเย่าไปผิดทาง
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญแล้วพูดต่อ
“ฉันคิดว่าสิ่งที่นายกลัวอาจจะเป็น ‘ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้’ นายอาจจะกลัวว่าหลังจากที่ตัวเองยอมแพ้และสูญเสียทุกอย่างไป โลกจะกลับเป็นเหมือนเก่า เหลือเพียงแค่แสงอาทิตย์ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ลานหญ้า และสายน้ำเท่านั้นที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม”
“ก็มีบ้างเหมือนกัน” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ถ้างั้นต่อจากนี้ไปก็มุ่งไปตามแนวนี้ก็แล้วกัน พวกเราจะดูจากผลตอบรับ จากนั้นก็ค่อยๆ คิดหาหนทางเอาชนะให้ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้กำลังใจ “อืม แต่ก็ต้องลงมือในโลกความจริงด้วยเหมือนกัน”
จากความเข้าใจของเธอ ผู้ตื่นรู้ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ น่าจะต้องใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าจะไปจนถึงสุดทางและหาตัวเองพบ ถึงอย่างไรการขุดภูเขานั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าการขุดลงไปในจิตใจผู้คนมากนัก ผู้ตื่นรู้บางคนต้องติดอยู่บนเกาะไปตลอดทั้งชีวิต ไม่อาจหาหนทางฝ่าออกไปได้
คนอย่างซางเจี้ยนเย่าที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็สามารถผ่านเกาะไปได้ถึงสองเกาะ นับว่ามีอยู่น้อยมากจากจำนวนอันน้อยนิด จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกังวลใจไป
* * * * *
ผ่านไปอีกสองวัน ยามจักรกลที่นำโดยเกอนาวาก็ได้ขนย้ายเศษซากของสหายร่วมงานกลับมาจากภูชีลาร์เสร็จ
‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงได้รับแจ้งว่าสามารถไปสนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’ ได้แล้ว
ชั้นล่างของศาลาว่าการ พวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนทยอยลงมาจากรถจี๊ป ภายใต้การนำทางของหุ่นยนต์ผู้ช่วย พวกเขาจึงขึ้นไปยังชั้นบนสุด ก่อนจะเข้าไปในห้องที่ดูเหมือนห้องประชุมขนาดเล็ก
ภายในนั้นมีโต๊ะยาวตั้งไว้ตัวหนึ่ง เก้าอี้สิบกว่าตัว ชั้นวางเอกสารและวางหนังสือหนึ่งชั้น หน้าจอ LCD ขนาดใหญ่แขวนไว้บนผนัง
เกอนาวาที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ชี้ไปยังเก้าอี้สองสามตัวที่หันหน้าไปทางหน้าจอ LCD เขาใช้น้ำเสียงนุ่มทุ้มของผู้ชายที่ให้อารมณ์เสียงสังเคราะห์กล่าวขึ้น
“พวกคุณนั่งกันตามสบาย
“ผมไม่สะดวกอยู่ฟังด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ต่างหาที่นั่งลง
เกอนาวาเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีแล้วงับประตูปิด
ทันทีที่เขาออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็รีบลุกขึ้นมา บางครั้งก็เข้าไปศึกษาระบบเสียง บางครั้งก็เข้าไปสังเกตดูการเดินสาย
สุดท้ายเขาเดินไปที่ชั้นวางเอกสารแล้วกลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่ง
“อะไรเหรอนั่น” เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาด้วยความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่านั่งลงแล้วหันหน้าปกหนังสือเล่มเล็กในมือให้ดู
มันเป็นสีส้ม เขียนตัวเลข ‘0’ กับ ‘1’ ขนาดใหญ่เอาไว้ มีชื่อหนังสือที่เขียนด้วยตัวอักษรภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดง
‘คู่มือการทำงานของหุ่นสมองกลในต่างแดน’
ซางเจี้ยนเย่าสุ่มพลิกดูเนื้อหาข้างในอย่างไม่ตั้งใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนขยับเข้าไปใกล้ และถือโอกาสอ่านฆ่าเวลาไปกับเขาด้วย
‘…ไม่อนุญาตให้ทดลองกินอาหารของมนุษย์…’
‘…นำชิ้นส่วนเก่ากลับมาใช้ซ้ำ…’
‘…ห้ามซื้อขายโมดูลหลัก…’
‘…รักษาความเป็นมนุษย์ให้อยู่ในระดับ 30% ถึง 70%…’
‘…พึงใส่ใจในพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน หากจำเป็นก็สามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องได้…’
เมื่อเห็นข้อความพวกนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“อ่านดูแล้วรู้สึกแปลกๆ แฮะ…”
“ไม่มีระบุไว้ว่าห้ามเป็นเพื่อนกับมนุษย์” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าโล่งใจ
หลงเยว่หงมองดูพวกเขาอย่างรู้สึกกระสับกระส่าย
“ไม่ตื่นเต้นกันบ้างเหรอ”
พวกเรากำลังจะได้พูดคุยสนทนากับ ‘ซอร์สเบรน’ ผู้ลึกลับนะ!
นี่เป็นตัวตนที่สำคัญมากของกองกำลังใหญ่แห่งนี้
ซางเจี้ยนเย่าตอบหลงเยว่หง
“ตื่นเต้นสิ
“ถ้าเราพูดอะไรผิดแม้แต่นิดเดียว มันอาจจะสั่งให้ยามจักรกลของทาร์นันมาจับตัวเราส่งไปที่ ‘พิพิธภัณฑ์มนุษย์ที่มีพฤติกรรมสกปรก’ ก็ได้”
นายไปเอาชื่อนี้มาจากไหนเนี่ย… หลงเยว่หงพบว่าพักนี้ยิ่งทีซางเจี้ยนเย่าก็ยิ่งเก่งในการแต่งเรื่องและสร้างคำศัพท์
แต่ว่ากันตามตรงแล้ว นี่ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับความกังวลของเขา
‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่มีทางต้านทานการโจมตีจากหุ่นสมองกลจำนวนมากขนาดนั้นได้อยู่แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะเอ่ยปากพูดปลอบใจหลงเยว่หงสักสองสามคำ แต่ทันใดนั้นในหูก็ได้ยินเสียงของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เจือความเป็นเสียงสังเคราะห์ดังขึ้นมา
“ใน ‘สวรรค์จักรกล’ ไม่มี ‘พิพิธภัณฑ์มนุษย์ที่มีพฤติกรรมสกปรก’ มีแค่ ‘พิพิธภัณฑ์อารยธรรมโลกเก่า’ เท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ หันขวับไปมองหน้าจอขนาดใหญ่ในห้องประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน
บนหน้าจอมีภาพวังวนขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
“สวัสดีครับ” ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท
เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน โค้งคำนับให้
เสียงชายในวัยผู้ใหญ่เมื่อครู่นี้ดังขึ้นมาในห้องอีกครั้ง
“ทำตัวตามสบาย โปรแกรมหลักของผมมีข้อจำกัดอย่างเคร่งครัดเรื่องการจู่โจมมนุษย์ จำเป็นต้องให้เงื่อนไขต่างๆ สอดคล้องกันก่อนถึงจะลงมือได้”
“ท่านคือ ‘ซอร์สเบรน’ ใช่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะแล้วเอ่ยปากถาม
“ถูกต้อง” ภาพวังวนขยับวูบวาบ เสียงชายในวัยผู้ใหญ่เอ่ยตอบ “ที่จริงแล้วผมต่างไปจากเมนเฟรมควบคุมเมืองที่พวกคุณเคยรู้จัก อืม… จำไว้ว่าพวกคุณมีเวลาเพียงห้านาทีเท่านั้น ใคร่ครวญให้ดีก่อนจะถามอะไร”
ในฐานะตัวแทนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดเข้าประเด็นโดยตรง
“‘ซอร์สเบรน’ ที่เคารพ เราอยากรู้ว่าทำไมโลกเก่าถึงถูกทำลาย”
‘ซอร์สเบรน’ นิ่งเงียบไปสองวินาที
“นี่เป็นเรื่องที่ผมเองก็พยายามหาคำตอบเช่นกัน”
นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามต่อ
“งั้นท่านรู้ไหมว่าตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย มันเกิดอะไรขึ้น”
‘ซอร์สเบรน’ ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
“จากข้อมูลที่ผมรวบรวมไว้ รวมถึงภาพบันทึกต่างๆ ที่ผมติดตามอยู่ในขณะนั้น พอจะประเมินในเบื้องต้นได้ว่าการแพร่ระบาดของ ‘โรคไร้ใจ’ อย่างกะทันหันในเวลานั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมาภายหลัง
“ในตอนนั้นเทคโนโลยีของมนุษยชาติมาถึงระดับที่น่าตกตะลึง อย่างเช่น ‘การควบคุมนิวเคลียร์ฟิวชั่น’ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกทั้งโลกก็มีความก้าวหน้าที่สำคัญ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ประสบความสำเร็จจนถึงที่สุด แต่ก็สามารถมองเห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง
“ในทำนองเดียวกัน ระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมอัจฉริยะเองก็มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในเรื่องสำคัญ หลังจาก ‘โรคไร้ใจ’ ปะทุขึ้นในพื้นที่ทหารบางแห่ง มนุษย์ที่สูญเสียสติปัญญาไปอาจไปเจออะไรบางอย่างเข้า หรืออาจจะไปกดอะไรเล่นตามสัญชาตญาณก็ได้
“การโจมตีในระลอกแรกเกิดขึ้นจากสาเหตุเช่นนี้เอง จากนั้นระบบควบคุมอัจฉริยะของประเทศต่างๆ ที่ทำงานโดยไม่มีมนุษย์คอยควบคุมสถานการณ์ ก็ได้ใช้เงื่อนไขและการตอบสนองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทำการตอบโต้กลับไป และเนื่องจากไม่มีใครหยุดยั้งมัน นี่จึงกลายเป็นวงรอบวัฏจักรอย่างรวดเร็ว ต่อมาสงครามได้ลุกลามบานปลายจนถึงขั้นใช้อาวุธทำลายล้างพลังสูงจู่โจมทำลายซึ่งกันและกัน
“โลกมนุษย์ถูกทำลายพินาศในเวลาเพียงไม่นาน”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของ ‘ซอร์สเบรน’ ทั่วทั้งห้องประชุมก็เงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรในช่วงเวลาหนึ่ง
ข้อความง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคนี้ราวกับว่าครอบคลุมถึงสาเหตุความทุกข์ยากของมวลมนุษยชาติในตลอดช่วงระยะเวลา 60-70 ปีที่ผ่านมาได้หมดสิ้น
“มีเวลาแค่ห้านาทีเท่านั้นนะ…” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยเตือนขึ้นมา
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกตัว รีบถาม ‘ซอร์สเบรน’ ต่อ
“ดังนั้นท่านก็เลยคิดว่าสาเหตุที่โลกเก่าถูกทำลายนั้น เกิดจากการที่ ‘โรคไร้ใจ’ แพร่ระบาดอย่างฉับพลันสินะ”
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้โลกเก่าไม่มีวี่แววว่าจะถูกทำลายแม้แต่น้อย” ‘ซอร์สเบรน’ ยืนยันคำตอบ
“จริงเหรอเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด “เป็นไปได้ไหมที่ท่านไม่ได้ใส่ใจ หรือรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเอาไว้ อย่างเช่นว่าในช่วงเวลาก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย มีกองกำลังบางแห่งแอบสร้างที่หลบภัยขึ้นมา”
ในตอนนี้ คนที่เหลือของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็ทราบว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังใช้ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาเป็นตัวอย่าง
‘ซอร์สเบรน’ ให้คำตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
“สถานที่แบบนั้นอาจถูกสร้างโดยคนที่คลั่งไคล้วันสิ้นโลกก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นสถานที่ซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับการทดลองอื่นๆ มันไม่น่าเป็นการจัดสร้างเป็นที่หลบภัยในวันโลกาวินาศอย่างเฉพาะเจาะจง”
การทดลองอื่นๆ งั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญคำนี้ แล้วกลับไปยังหัวข้อหลัก
“‘ซอร์สเบรน’ ที่เคารพ ท่านคงทราบว่ามนุษย์มีการก่อตั้งสถาบันวิจัยที่เอาไว้ ‘รับมือกับอนาคต’ ขึ้นมาเก้าแห่งตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย ท่านคิดว่า ‘โรคไร้ใจ’ นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาหรือเปล่า”
“ความเป็นไปได้ข้อนี้ยังตัดทิ้งไม่ได้ แต่ ‘โรคไร้ใจ’ ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความรุนแรง การลุกลาม และความไม่แน่นอน ผมมองว่ามันเกินกว่าระดับของเทคโนโลยีมนุษย์ในขณะนั้นไปมาก” ‘ซอร์สเบรน’ ใช้คำพูดที่ค่อนข้างรัดกุมระมัดระวังตอบกลับมา
“ถ้างั้นท่านรู้หรือไม่ว่าสถาบันแห่งใดที่อยู่ทางเหนือ หมายถึงทางตอนเหนือของแดนร้างบึงดำน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อเนื่อง
‘ซอร์สเบรน’ เงียบไปสองสามวินาที
“ผมไม่ทราบ นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าถึงได้ในขณะนั้น”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสียงผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเป็นเสียงสังเคราะห์ได้หยุดไปชั่วขณะ
“ที่จริงแล้ว ต้นกำเนิดของ ‘สวรรค์จักรกล’ ก็คือหนึ่งในเก้าของสถาบันวิจัยนั่นเอง ตัวผมนั้นเป็นผลงานวิจัยหลักและเป็นงานวิจัยที่สำคัญที่สุดของสถาบันวิจัยแห่งนั้น”
ในหัวเจี่ยงไป๋เหมียนผุดความคิดหนึ่งวาบขึ้น จึงโพล่งออกมา
“สถาบันวิจัยที่สามหรือเปล่า”
มาดามเจ้าของโรงแรมเล่าว่าสถาบันวิจัยที่สามอยู่ทางทิศใต้ และที่นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นทิศใต้ ส่วน ‘สวรรค์จักรกล’ ยิ่งอยู่ใต้ลงไปกว่านี้อีก!
“ถูกต้อง” ‘ซอร์สเบรน’ ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “มนุษย์ในตอนนั้นถูกบังคับให้สร้างเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่เพื่อสถาบันวิจัยแห่งนี้”
เมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อาคารใต้ดินของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ งั้นเหรอ… ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งบังเกิดความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากถาม ‘แทน’ เธอ
“นั่นก็คือแม็กซิเมียนใช่ไหม”
แม็กซิเมียนที่ ‘สวรรค์จักรกล’ กำลังตามหานั้นอาจจะเป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยที่สาม!
รูปวังวนบนหน้าจอขนาดใหญ่หยุดหมุนไปสองวินาทีก่อนจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
“ถ้าพูดอย่างเจาะจงล่ะก็… เขาก็คือบิดาผู้ให้กำเนิดผม”
“งั้นหลังจากนั้นคุณหาเขาเจอหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความเป็นห่วง
“เจอ แต่เขาเสียชีวิตไปนานแล้วล่ะ
“ตอนนั้นเขาเปลี่ยนชื่อเป็นออเรย์แล้ว”
“ออเรย์…” เจี่ยงไป๋เหมียนทวนชื่อด้วยความสงสัย รู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู
วินาทีถัดมาไป๋เฉินก็โพล่งขึ้น
“ออเรย์ของ ‘ปฐมนคร’ น่ะเหรอ”
มูลค่าเงินที่ใหญ่ที่สุดใน ‘ปฐมนคร’ คือออเรย์ ซึ่งมันถูกตั้งชื่อตามหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘ปฐมนคร’ ขึ้นมา!
‘ซอร์สเบรน’ ตอบคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถูกต้อง เขาเป็นประชาชนคนแรก ผู้ปกครองเผด็จการคนแรก และจักรพรรดิชั่วคราวคนแรกของ ‘ปฐมนคร’… ออเรย์ อูบิส”