รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 284 สังเกตและตรวจสอบ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 284 สังเกตและตรวจสอบ

ตอนที่ 284 สังเกตและตรวจสอบ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้จัก ‘สวรรค์จักรกล’ อย่างลึกซึ้งเท่าใดนัก จึงทำได้เพียงแค่เชื่อมโยงระดับความเป็นมนุษย์ได้จากหนังสือ ‘คู่มือการทำงานของหุ่นสมองกลในต่างแดน’ เท่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหมายความเช่นไร และจะมีผลอะไรตามมาบ้าง

สิ่งที่เธอรู้กระจ่างมีเพียงอย่างเดียว

นั่นคือ… เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเกอนาวา

เมื่อฟังคำตอบของอัลฟ่าแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“แล้วผลเป็นยังไงบ้าง”

“ผลยังไม่ออก” อัลฟ่าส่ายหน้าช้าๆ ลำคอโลหะราวกับไม่อาจแบกรับน้ำหนักศีรษะของมันที่หนักมากขึ้นเรื่อยๆ

มันเหลียวซ้ายแลขวา ลดเสียงแล้วพูดขึ้น

“ช่วงนี้คงเชิญคุณมาเป็นแขกที่บ้านไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องรักษาระยะห่างไว้ประมาณหนึ่ง”

“ไม่เป็นไร” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยน้ำเสียงที่กดลงเช่นกัน

เขารีบถอยกลับไปทางพวกหลงเยว่หง ทำทีประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทีของเกอนาวาหรือเปล่าที่ทำให้ ‘สวรรค์จักรกล’ เริ่มสงสัยระดับความเป็นมนุษย์ของเขา หรือเป็นเพราะว่าการเลือกและการตัดสินใจในช่วงที่ผ่านมาคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นกันแน่… เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาก่อนจะพากันเดินต่อ

เดินไปได้สักพัก เธอมองดูรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น

“ตอนนี้ยังมีเวลา เรากลับไปเตรียมพวกวัตถุปัจจัยกันก่อนก็แล้วกัน คืนนี้จะได้เอามาแลกอาหารไว้สำหรับเดินทางกลับ”

“อ้าว ก่อนนี้เพิ่งบอกว่ายังไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะโดยไม่เจืออารมณ์ขันแม้แต่น้อย

“ก่อนหน้านี้น่ะยังไม่ต้องกังวล แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่แล้วล่ะ”

“หัวหน้าหมายถึงเรื่องเกอนาวาใช่ไหม” หลงเยว่หงเริ่มเข้าใจขึ้นบ้าง

“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “โดยหลักๆ ก็เป็นเพราะเราไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งถ้ามันทำให้สถานการณ์แย่ลงก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ถึงยังไงพวกเราก็ต้องเตรียมเสบียงในอีกสองสามวันข้างหน้าอยู่แล้ว จะเตรียมให้เร็วขึ้นอีกนิดก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”

ไป๋เฉินแสดงท่าทีว่าเห็นด้วย

“สำหรับพวกคนเร่ร่อนแดนร้างแล้ว การดูทิศทางลมเป็นเรื่องสำคัญมาก

“เกินดีกว่าขาด ระวังเกินไปดีกว่าหละหลวมหย่อนยาน”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เขานิ่งเงียบมาพักใหญ่

“นายคิดอะไรอยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างพอจะคาดเดาอะไรได้เลือนราง

ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจ

“ผมกำลังคิดว่าเกอนาวาจะลงเอยยังไง ลูกเมียเขาจะเป็นไงบ้าง”

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ไว้รอให้พวกเราหาอะไรใส่ท้องและเตรียมเสบียงเดินทางเสร็จก่อนเถอะ ต่อจากนั้นค่อยไปริมฝั่งตะวันออก ไปแวะไปเยี่ยมเยียนภรรยาเกอนาวาสักหน่อย อืม ดูเหมือนหุ่นสมองกลนั่นจะชื่อซูซานน่าสินะ ไปดูว่าพอจะมีอะไรให้พวกเราช่วยบ้างหรือเปล่า เฮ้อ… เกอนาวาไว้ใจพวกเรามาก แถมยังช่วยพวกเราไว้ไม่น้อย ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง เราก็คงจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

ในขณะนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเกิดความรู้สึกประหลาด ประหนึ่งว่าตนเองกับหุ่นสมองกลเกิดน้ำใจไมตรีต่อกัน

แม้ว่าเธอยังใช้คำเรียกว่า ‘มัน’ เพื่อเรียกเกอนาวาที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ในความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นได้กลายเป็นคำว่า ‘เขา’ ไปแล้ว

“ใช่แล้ว!” ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเองก็รู้สึกว่าไม่อาจสะบัดก้นเดินจากไปทั้งอย่างนี้ได้

ถึงแม้ว่าเรื่องการจัดการกับเกอนาวานั้นจะเป็นเรื่องภายในของ ‘สวรรค์จักรกล’ แต่การช่วยดูแลหญิงม่ายลูกกำพร้าย่อมไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นเรื่องภายในภายนอก

เมื่อเห็นว่าสมาชิกทีมต่างก็มีทัศนคติเช่นเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

หรือจะเป็นเพราะว่าเกอนาวาไว้ใจมนุษย์ เอนเอียงมาทางมนุษย์ อำนวยความสะดวกให้มนุษย์มากเกินไป ก็เลยทำให้ถูกมองว่ามีความเป็นมนุษย์สูงเกินไป

แน่นอนว่าอัลฟ่าไม่ได้ระบุว่าอาชญากรรมของเกอนาวานั้นมีค่าระดับความเป็นมนุษย์สูงหรือต่ำเกินไป เจี่ยงไป๋เหมียนจึงทำได้แต่เพียงคาดเดาจากการแสดงออกในยามปกติของเจ้าเมืองทาร์นันเท่านั้น

ผ่านไปเพียงไม่นาน ในฐานะที่เป็นคนดังและเป็นดาวผู้กอบกู้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยบางส่วนกับอาหารที่เพียงพอสำหรับเดินทางกลับไปชุมชนศิลาแดงหรือกระทั่งไปถึงเมืองหญ้าไพร

แล้วเสร็จอย่างง่ายดาย

ข้อด้อยเพียงประการเดียวก็คือวัตถุปัจจัยที่พวกเขานำออกมาแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่นั้นเป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่สือฟางพาณิชย์มอบให้ ซึ่งในทาร์นันมีมูลค่าไม่มากนัก เรียกได้ว่าขาดทุนไปไม่น้อย

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้พอกลับไปพวกเราก็เขียนรายการให้ชัดเจนเพื่อให้บริษัทจ่ายคืนให้” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับพูดกับหลงเยว่หงและไป๋เฉินที่รู้สึกคาใจอยู่บ้าง

ทั้งสองรู้สึกว่า ‘เสียของ’ ไปหน่อย

“ก็คงต้องแบบนั้นแหละ” หลงเยว่หงพูดอย่างจนใจ

การกดราคาของบริษัทก็นับว่าขูดเลือดขูดเนื้อเช่นกัน

โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอะไรต่อ เขาก็กล่าวเสริมอย่างแอบมีความหวัง

“หวังว่าบริษัทจะคืนโน้ตบุ๊กให้ผมสักสองสามเครื่อง ผมอยากให้คนในครอบครัวได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

“ไม่มีปัญหา ฉันจะแจ้งไปให้” เจี่ยงไป๋เหมียนให้สัญญา

จากนั้นเธอก็หัวเราะ

“แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าสื่อบันเทิงโลกเก่าจะเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้หรือเปล่า อ้อ เพลงที่ซางเจี้ยนเย่าคัดลอกมาก็ต้องถูกตรวจสอบเหมือนกัน…”

ขณะที่พูด ไป๋เฉินก็ขับรถข้ามสะพานไปริมฝั่งตะวันตก

ในระหว่างทางนั้นมีหุ่นสมองกลนำพวกหุ่นยนต์ต่อสู้ชนิดที่ไม่มีระบบปัญญาเทียม มายืนรักษาการณ์อย่างแน่นหนา แสดงถึงว่าพวกเขากำลังอยู่ในสภาวะกฎอัยการศึก

ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ขัดขวางการเดินทางของ ‘ทีมสำรวจเก่า’

เพียงไม่นานนัก สนามหญ้าสีเขียวปรากฏอยู่เบื้องหน้ารถจี๊ป

พวกเขามาถึงบ้านพักของเกอนาวาแล้ว

ในตอนนี้เอง ซางเจี้ยนเย่าก็กวาดสายตาไป มองเห็นรถยนต์เจ็ดที่นั่งสีดำที่มีโครงสร้างซับซ้อนเล็กน้อย ให้ความงดงามของความเป็นแมคคานิกส์ จอดอยู่หน้าประตูบ้านเกอนาวา

นี่เป็นยานพาหนะที่พวกเขาเห็นที่ชั้นล่างอาคารศาลาว่าการเมื่อตอนกลางวัน ประเมินขั้นต้นว่าน่าจะเป็นรถของเจ้าหน้าที่พิเศษของโถงควบคุมระเบียบของ ‘สวรรค์จักรกล’ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบเกอนาวา

“นี่มาตามสืบสวนกันถึงบ้านเลยเหรอเนี่ย” รถคันใหญ่ขนาดนั้นจอดอยู่ข้างหน้า หลงเยว่หงไม่ได้ตาบอดจึงย่อมมองเห็นชัดเจนเต็มสองตา

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูบ้านพักที่เปิดไฟอยู่ นิ่งเงียบไปสองสามวินาที

“อ้อมไปหลังบ้านกันเถอะ”

ไป๋เฉินไม่ได้ถามว่าทำไม เธอขับรถจี๊ปไปอีกด้านทำเหมือนว่าแค่ผ่านทางมา

นี่เป็นผลประโยชน์จากการที่พวกเขาสร้างความคุ้นเคยกับภูมิประเทศในทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาย่างก้าวไป รถยนต์วิ่งต่อไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะเลี้ยวเข้าไปที่ทางแยก จากนั้นก็อ้อมไปด้านหลังบ้านพักโดยไม่ทำให้เกิดความผิดปกติใดๆ จนเข้าใกล้บ้านพักเกอนาวา ห่างไปเพียงหนึ่งถึงสองร้อยเมตรเท่านั้น

แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็สั่งการทันที

“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวหง พวกนายอยู่ที่รถ เตรียมพร้อมเอาไว้ ฉันกับซางเจี้ยนเย่าจะเข้าไปดูสถานการณ์สักหน่อย ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงล่ะนะ จะได้เข้าไปนั่งดื่มกาแฟกัน”

“ได้” แล้วหลงเยว่หงก็ถามขึ้นมาอีกเรื่อง “ต้องสวมชุดเกราะเสริมแรงไว้ด้วยหรือเปล่า”

“สวม!” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับเต็มเสียง

หลังจากนั้นเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็อาศัยความมืดช่วยอำพราง หลบหลีกไปตามจุดบอดของกล้องวงจรปิดจนเข้าไปถึงบ้านพักเกอนาวา

พวกเขาไม่ทราบว่ามีหุ่นยนต์ที่คอยสอดส่องบริเวณบ้านอยู่มากน้อยเพียงใด และไม่ทราบว่าใช้วิธีใดในการตรวจตราด้วย จึงทำได้เพียงตัดสินใจจากประสบการณ์ส่วนตัว

เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าต่างในห้องนั่งเล่นบานที่ไม่สะดุดตาและมักถูกมองข้าม พยายามแง้มออกเล็กน้อยแล้วมองลอดเข้าไป

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาพวกเขาก็คือผังห้องอันคุ้นตา จากนั้นก็เห็นร่างสีดำเงินของเกอนาวานั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาเดี่ยว เครื่องแบบสีเขียวแก่นั้นยับยู่ยี่อย่างเห็นได้ชัด

ข้างกายเขามีหุ่นยนต์สีเงินสองตัว หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก สวมกระโปรงยืนอยู่ นั่นก็คือซูซานน่า ภรรยาเกอนาวากับเรสต์ผู้เป็นลูกสาว

หุ่นสมองกลในเครื่องแบบสีดำที่พวกซางเจี้ยนเย่าพบในตอนกลางวันนั้นมีดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงิน ยืนกระจายอยู่ทั่วห้อง ล้อมเกอนาวากับครอบครัวไว้อย่างหลวมๆ

“หมายเลข C-1823 คุณยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่” หุ่นยนต์ตัวหนึ่งในเครื่องแบบสีดำเอ่ยปากถาม

เกอนาวาวางมือไว้บนหัวเข่า เสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายแสดงถึงความไม่เข้าใจ

“ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด…

“พวกเราเองก็เป็นมนุษย์ประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือไง พวกเราต่างจากมนุษย์เพียงแค่รูปลักษณ์และรูปแบบการดำรงชีวิต ก็เหมือนกับพวก ‘นิรันดร์กาล’ จากชุมนุมหลวงจีน พวกเขาไม่ใช่มนุษย์งั้นเหรอ”

น้ำเสียงของหุ่นยนต์ชุดดำเมื่อครู่เริ่มหนักแน่นขึ้นมาอีก

“หมายเลข C-1823 คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือไง นี่แหละคือปัญหาของคุณ

“การที่พวกเราหุ่นสมองกลทำตัวเหมือนมนุษย์ก็เพื่อจะได้รับใช้มนุษย์ได้ดีขึ้น ใกล้ชิดมากขึ้น ไม่ทำร้ายพวกเขา แต่ห้ามคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์เด็ดขาด

“นี่เป็นกฎที่ท่านผู้สร้างเขียนไว้ในโมดูลหลักของพวกเรา แม้แต่ ‘ซอร์สเบรน’ เองก็ไม่อาจจาบจ้วงที่จะล่วงละเมิดได้

“เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ระดับความเป็นมนุษย์ของคุณสูงเกินกว่าขีดจำกัดที่กำหนดไว้ และสูงเกินกว่านั้นไปเยอะมาก”

มันหยุดไปชั่วขณะ ราวกับกำลังรายงานเรื่องกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’

จากนั้นผ่านไปหนึ่งถึงสองนาที หุ่นยนต์ชุดดำก็พูดขึ้นด้วยทัศนคติที่เคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

“โถงควบคุมระเบียบประเมินขั้นต้นแล้วว่าหุ่นยนต์หมายเลข C-1823 มีค่าระดับความเป็นมนุษย์สูงเกินไป ต้องถูกยึดสิทธิพลเมืองไว้ชั่วคราวและส่งกลับไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม”

“ไม่นะ…” เกอนาวาส่ายหน้า

เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมราวกับไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนขึ้น

“ไม่!” ภรรยาเขา ซูซานน่า หุ่นสมองกลสวมกระโปรงยาวสีขาวตะโกนขึ้น “พวกคุณใจร้อนเกินไปแล้ว! ปกติพวกคุณก็เลียนแบบมนุษย์ไม่ใช่หรือไง”

“ป๊ะป๋า! ป๊ะป๋า!” เรสต์หุ่นยนต์ตัวน้อยร้องตะโกนด้วยเสียงสะอื้น

เธอพยายามกระโจนเข้าหาเกอนาวา แต่ถูกซูซานน่าผู้เป็นแม่ดึงเอาไว้จึงไม่อาจทำได้

หุ่นยนต์ควบคุมระเบียบที่เป็นหัวหน้ากวาดสายตาไปทั่วบริเวณ

“พวกเราอยู่ในขอบเขตของระดับความเป็นมนุษย์ที่สมเหตุสมผล ส่วนหมายเลข C-1823 นั้นเกินกว่าระดับไปมาก

“พวกคุณก็เช่นกัน…”

พูดมาถึงตรงนี้ มันก็หยุดไปชั่วขณะ

“หมายเลข C-2257 หมายเลข C-4115 ระดับความเป็นมนุษย์ของพวกคุณก็น่าสงสัยเช่นกัน จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ”

“อย่านะ พวกเธอไม่ได้เป็นอะไร!” เกอนาวาลุกพรวดขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงตระหนก “พวกคุณรีบพาผมกลับไปสำนักงานใหญ่เดี๋ยวนี้เถอะ!”

หัวหน้าหุ่นควบคุมระเบียบไม่สนใจเกอนาวา มันมองไปที่ซูซานน่ากับเรสต์ที่กำลังตกตะลึง

“ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของพวกคุณก็เกินกว่าค่าปกติ”

พูดจบมันก็เงียบไปอีกครั้งราวกับกำลังรอรับคำสั่งจากเบื้องบน

เกอนาวาไม่ได้พูดอะไรอีก มันเงียบงันไปราวกับเป็นคนที่กำลังรอวันถูกพิพากษาชะตาชีวิต

ผ่านไปหลายนาที แสงสีน้ำเงินในดวงตาหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบก็สว่างวาบขึ้น

“หมายเลข C-2257 กับหมายเลข C-4115 จะถูกพากลับไปสำนักงานใหญ่ด้วย

“ตอนนี้จะยกเลิกปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของพวกคุณชั่วคราว”

“อย่านะ! ไม่ได้!” เกอนาวาตะโกน พลางยกแขนขึ้น

ซางเจี้ยนเย่าที่แอบดูอยู่นอกหน้าต่างเหมือนจะกระโดดพรวดพราดเข้ามา แต่ถูกเจี่ยงไป๋เหมียนรั้งไว้เสียก่อน

ซูซานน่าเองก็ตระหนกตกใจกลัว ส่ายหน้าสั่นศีรษะไม่หยุด

“พวกคุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ… พวกคุณทำไม่ได้…”

เธอกอดเรสต์เอาไว้แน่น ทำให้ใบหน้าของหุ่นตัวจ้อยที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากนักฝังไปกับหน้าท้องของตน

หัวหน้าหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบมองทั้งสองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“พวกคุณคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของ ‘ซอร์สเบรน’ งั้นเหรอ”

เกอนาวากับซูซานน่าพากันเงียบงันไป มีเพียงเรสต์ที่ยังสะอื้นเบาๆ

แสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นในดวงตาของหัวหน้าหุ่นควบคุมระเบียบ มันกล่าวต่อไป

“หมายเลข C-1823 คุณยังคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์อย่างนั้นสินะ งั้นผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าพวกเรากับมนุษย์นั้นแตกต่างกันมากขนาดไหน”

จากนั้นหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบอีกตัวหนึ่งก็หยิบชิปที่ดูซับซ้อนชิ้นหนึ่งออกมาแล้วเดินไปด้านข้างหุ่นสมองกลสีเงิน ซูซานน่า

ซูซานน่าเปิดส่วนการเชื่อมต่อหลักออกมาอย่างเชื่อฟัง

ชิปถูกใส่เข้าไป มีสีน้ำเงินสว่างเรืองขึ้นมา

เพียงไม่ถึงสิบวินาทีมันก็ถูกดึงออกมา แล้วใส่เข้าไปในส่วนเชื่อมต่อหลักของหุ่นยนต์ตัวน้อย เรสต์

จนกระทั่งหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบตัวนั้นดึงชิปออกมาแล้วเดินกลับไปยังตำแหน่งเดิม เกอนาวาก็พูดเสียงต่ำกับลูกและภรรยา

“ซูซานน่า เรสต์…”

น้ำเสียงเขาเจือความคาดหวังเฉกเช่นมนุษย์

แสงสีน้ำเงินในดวงตาซูซานน่ากะพริบสองครั้ง น้ำเสียงเป็นเสียงสังเคราะห์มากกว่าเดิม

“หมายเลข C-1823 กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”

“คุณเป็นใครคะ” หุ่นตัวน้อย เรสต์ ถามด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย

ร่างเกอนาวาพลันห่อเหี่ยวลงทันที เขาทรุดฮวบลงบนโซฟาเดี่ยวราวกับว่าขาไม่มีเรี่ยวแรงจะรองรับได้อีก

โซฟาที่ได้รับการเสริมความแข็งแรงแทบจะพังครืนลงมา

ทว่าโลกของเกอนาวาได้พังทลายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท