รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 289 หุ่นสมองกลที่สับสน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 289 หุ่นสมองกลที่สับสน

ตอนที่ 289 หุ่นสมองกลที่สับสน

ไม่มี… หลงเยว่หงเกือบจะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป

ไม่มีมนุษย์อยู่ในสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’ เลยงั้นเหรอ

อย่างนั้นที่นั่นก็เป็นเมืองที่ปกครองโดย ‘ซอร์สเบรน’ และหุ่นสมองกลอย่างสมบูรณ์เลยเหรอเนี่ย

และที่เหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้นก็คือภายในเมืองเช่นนั้น หุ่นสมองกลกลับยังต้องมีการวัดระดับความเป็นมนุษย์เพื่อจะรับใช้มนุษย์ให้ดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายมนุษย์ และจะต้องไม่คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ด้วย

พวกมันโดยส่วนใหญ่ ตั้งแต่เกิดออกมาจากโรงงานจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ไปจนถึงอนาคตกาลที่มองเห็นได้ ล้วนแต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสใกล้ชิดติดต่อกับมนุษย์ด้วยซ้ำ คำว่า ‘มนุษย์’ สำหรับพวกมันแล้วอาจเป็นเพียงแค่ข้อความที่ปรากฏให้เห็น เป็นรหัสโปรแกรม เป็นรูปภาพ เป็นสัญลักษณ์ เป็นอะไรได้เพียงเท่านั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนเงียบงันไปครู่ใหญ่ก่อนจะทอดถอนใจ

“มิน่าล่ะ ‘ซอร์สเบรน’ ถึงไม่ยอมให้พวกเราไปพบที่สำนักงานใหญ่ของพวกคุณ ยอมเพียงแค่ให้สื่อสารผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น”

ก่อนหน้านี้เธอก็สังหรณ์ใจอยู่เลือนลางว่าจะมีมนุษย์อยู่ใน ‘สวรรค์จักรกล’ หรือไม่

“ที่จริงก็ยังมีเหตุผลอื่นด้วย” เกอนาวาอธิบายในสิ่งที่ตนเองรู้ “อย่างเช่นพวกสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทดลองที่สำคัญ และหุ่นสมองกลที่พยายามสร้างสังคม ซึ่งพวกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับ ผมจึงไม่อาจพูดถึงได้”

คุณยังคิดว่าตัวเองยังเป็นสมาชิกของ ‘สวรรค์จักรกล’ อยู่อีกสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เอ่ยปากเตือนอีกฝ่ายไปว่าตอนนี้คุณกลายเป็นของชำรุดที่ถูกปลดระวางแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความลับใดๆ ทั้งสิ้น

แต่เธอเองก็ไม่มั่นใจว่าพวกหุ่นสมองกลนั้นจะมีระบบทำลายตัวเองหากทำให้ความลับรั่วไหลหรือไม่

เกอนาวาไม่ได้สานต่อหัวข้อสนทนานี้ เขาถามกลับไปในระหว่างที่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินยังคงตกตะลึงกับสถานะที่เป็นอยู่ของ ‘สวรรค์จักรกล’

“พวกคุณมาจากที่ไหนกัน?

“ ไม่เพียงแต่จะมีมันสมองอันโดดเด่น ยังมีแม้กระทั่งชุดเกราะเสริมแรงทางทหารอีกด้วย”

ถึงขนาดที่สามารถโค่นหุ่นสมองกลในการต่อสู้ลุยเดี่ยวได้ นี่มันออกจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!

เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับไปมองพวกซางเจี้ยนเย่าก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย

“พวกเรามาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ น่ะ

“ว่าไง สนใจมาเข้าร่วมกับพวกเราไหม”

แม้ว่าเธอยังไม่ได้รายงานกลับไปที่บริษัท และทาง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็อาจจะไม่เห็นด้วย ทว่าเรื่องมารยาทนั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำ

“‘ผานกู่ชีวภาพ’ งั้นเหรอ…” หุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวาทวนคำ หลังจากนิ่งเงียบงันไปหลายวินาทีก็เอ่ยปากขึ้น “ตอนนี้ผมคิดเพียงแค่อยากจะไปตามหาทายาทของท่านผู้สร้าง ดูว่าเขาได้ทิ้งอะไรไว้ให้กับพวกเราชาวหุ่นสมองกลบ้างหรือเปล่า”

“เข้าใจแล้ว”

“นั่นสินะ”

ทั้งซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็ตอบคำ ไม่ได้ยืนกรานเกลี้ยกล่อม

ว่ากันตามตรงแล้ว ใจจริงของเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่คิดจะรายงานเรื่องของเกอนาวาให้กับบริษัทหรอก เพราะนั่นจะหมายความว่าการจัดการเรื่องต่างๆ ในอนาคตของเกอนาวานั้น เธอจะไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงหรือช่วยเหลืออะไรได้เลย

แต่ถ้าหากยังคงรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็จะมีสมาชิกภายนอกที่แข็งแกร่งทรงพลังเพิ่มเข้ามา ทำให้เรื่องราวต่างๆ ในภายภาคหน้านั้นสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสำหรับหุ่นสมองกลเฉกเช่นเกอนาวาแล้ว การเข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแทบไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์สักเท่าใดนัก

เขาไม่หวั่นเกรง ‘โรคไร้ใจ’ ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ไม่อาจติดเชื้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวโหย อีกทั้งยังไม่ต้องกลัวการจู่โจมของสัตว์กลายพันธุ์และสัตว์ร้ายนานาชนิด

เขาต้องการเพียงแค่พลังงาน ชิ้นส่วนอะไหล่ น้ำมันหล่อลื่น โมดูลสำหรับอัปเกรด การบำรุงรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ และอะไรอื่นๆ จำพวกนั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนพลันจินตนาการถึงฉากที่มีหุ่นยนต์สีดำเงินถือกล่องข้าวเดินไปที่เคาน์เตอร์ในโรงอาหาร เอ่ยปากบอกพนักงานหญิงว่า “คุณน้าครับ ขอแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง U-32 ของ ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ กับน้ำมันหล่อลื่นรสกาแฟหน่อย”

และถ้าหากว่าหุ่นสมองกลนั่นพูดด้วยน้ำเสียงที่มีสำเนียงท้องถิ่นเจือด้วยก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

และแน่นอนว่าเธอเองก็รู้ว่าถ้าหากเกอนาวานั้นต้องการเข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จริงๆ ชั้นที่เขาพักอาศัยและแผนกที่เข้าร่วมย่อมต้องแตกต่างไปจากพนักงานทั่วไปอยู่แล้ว แต่ตนเองก็ยังอดจินตนาการไปในทิศทางนั้นไม่ได้อยู่ดี

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเก็บเอาความคิดพวกนั้นกลับลงไป จากนั้นก็พูดอย่างใคร่ครวญ

“ตอนนี้พวกเราต้องกลับไปบริษัทเพื่อรายงานและพักผ่อนสักระยะหนึ่งก่อน ถึงจะเดินทางไป ‘ปฐมนคร’

“คุณจะไปหาที่หาทางระหว่างรอพวกเราออกมาแล้วไปพร้อมกัน หรือว่าจะเดินทางไปเองล่ะ”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็ช่วยแนะนำจากใจจริง

“ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งมีความแข็งแกร่ง ยิ่งมีกำลังมากขึ้นนะ”

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะคำว่า ‘คน’ ก็เลยทำให้เกอนาวารู้สึกหวั่นไหว หรือเป็นเพราะคิดว่าการลงมือเพียงลำพังนั้นมันอันตรายเกินไปกันแน่ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้น

“ผมจะไปหาสถานที่เพื่อรอพวกคุณแล้วเดินทางไปด้วยกันก็แล้วกัน อ้อ ยังต้องไปหาที่ชาร์จด้วยน่ะ”

ในฐานะที่เป็นมนุษย์โลหะ หากไม่มีไฟฟ้าก็หมายถึงต้องนิ่งเป็นหุ่นรูปปั้น

“งั้นไปรอที่เมืองหญ้าไพรก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนได้คิดวางแผนเอาไว้แล้ว “แต่คุณต้องปลอมตัวสักหน่อย อย่างเช่นติดตั้งแผ่นกรองแสงที่เป็นสีแดง ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นหุ่นยนต์ธรรมดา คุณก็รู้นี่ว่าเมืองหญ้าไพรมีสัมพันธภาพกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ถ้าเกิดมีใครพบหุ่นสมองกลเข้า ก็ต้องแจ้งไปยัง ‘ซอร์สเบรน’ แหง”

เมื่อเห็นเกอนาวานิ่งเงียบไปไม่ได้ตอบคำ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ตอนพวกเราออกไปข้างนอกก็ปลอมตัวตลอดเหมือนกัน คุณดูสิ…”

เนื่องเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกอนาวาจึงล้มเลิกวิธีคิดที่จะตอบสนองในลักษณะเดียวกับมนุษย์ เขาเปิดใช้งานดวงตาเสริมที่อยู่ด้านหลังศีรษะเพื่อมองดูซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่ากำลังสวมหน้ากากที่มีขนดกและปากยื่น

“ตกลง” เกอนาวายอมรับคำอธิบายของเขา

ซางเจี้ยนเย่าปลดหน้ากากออกแล้วเอ่ยตักเตือนเกอนาวาด้วยท่าทางกังวล

“พอไปถึงเมืองหญ้าไพรแล้ว เวลาเดินบนท้องถนนถ้ามีคนเข้ามาหาก็ต้องระวังไว้ให้มากๆ นะ หุ่นยนต์ไปไหนมาไหนตัวคนเดียวเนี่ย เป็นขุมทรัพย์เดินได้เลยล่ะ ไม่รู้ว่านักล่ากี่คนต่อกี่คนที่จ้องกันตาเป็นมัน อยากจะตีหัวลากกลับบ้านไป…”

ณ เวลานี้ สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับแข็งทื่อไป ในหัวมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น

ไม่น่าปล่อยให้เจ้าหมอนี่ดูซีรีส์จากโลกเก่าเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ!

หลงเยว่หงได้ยินแล้วก็มุมปากกระตุก

จากหางตาของเขา เห็นว่าไป๋เฉินผงกศีรษะเล็กน้อย

พยักหน้าเนี่ยนะ!

นี่เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย!

เจี่ยงไป๋เหมียนสติคืนสู่ร่าง กลั้นใจรีบขัดจังหวะคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใยของซางเจี้ยนเย่า

“สรุปก็คือในหมู่มนุษย์ก็มีคนนิสัยไม่ดีอยู่ไม่น้อย คุณต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ อย่าเชื่อใครสุ่มสี่สุ่มห้า”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

“ผมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาแล้วไม่น้อย” เกอนาวาพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน

ใช่ไหมล่ะ… หลงเยว่หงมองสลับไปมาระหว่างเกอนาวา เจี่ยงไป๋เหมียน และซางเจี้ยนเย่าอยู่หลายตลบ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สนทนาต่อในหัวข้อนี้ เธอถามขึ้นอย่างครุ่นคิด

“ที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกคุณ บันทึกเรื่องของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไว้ว่ายังไงบ้างเหรอ”

เธอรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่ากองกำลังของหุ่นสมองกลนั้นประเมินบริษัทของตนเอาไว้เช่นไร

หลงเยว่หงเองก็เฉกเช่นเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปตักน้ำ เขามีหน้าที่รับผิดชอบด้านการคุ้มกัน ในเวลานี้จึงรู้สึกกระหายขึ้นมาเล็กน้อย ระหว่างที่รอคำตอบจากเกอนาวาเขาก็หยิบถุงน้ำขึ้นมาคลายเกลียวเปิดฝาแล้วยกขึ้นมาดื่ม

เกอนาวาจ้องมองตรงไปด้านหน้าด้วยดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงิน ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ

“คาดว่าน่าจะเป็นองค์กรลับที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของ ‘โรคไร้ใจ’”

พรวด!

น้ำในปากหลงเยว่หงพุ่งพรวดกระจายเต็มที่วางแขนและคอนโซลกลาง

“แค่ก แค่ก โอย สำลักน่ะ” หลังจากสูดหายใจแล้วเขาก็รีบอธิบายให้รู้

เกอนาวาไม่ได้ใส่ใจเขา เอ่ยปากพูดต่อ

“‘โรคไร้ใจ’ นั้นเป็นการถดถอยในระดับชีวภาพ พวกคุณเป็นกองกำลังที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพมากที่สุด อีกทั้งยังลึกลับมากด้วย ไม่มีใครรู้ว่าศูนย์บัญชาการพวกคุณตั้งอยู่ที่ไหน”

ที่แท้ก็ใช้การอนุมานนี่เอง หลงคิดว่าจะมีหลักฐานอะไรเสียอีก… หลงเยว่หงโล่งอกขึ้นมาทันที

ทว่าเรื่องที่เจี่ยงไป๋เหมียนใส่ใจนั้นกลับเป็นปัญหาอื่น นั่นคือ ดูเหมือน ‘ซอร์สเบรน’ จะเชื่อว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เป็นสถาบันวิจัยสักแห่ง

“ที่จริงแล้วทางพวกเราเองก็ประสบกับสถานการณ์ ‘โรคไร้ใจ’ ระบาดอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน และยังไม่มีทางรักษาอีกด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายแบบรวบรัดออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ “พอออกจากภูชีลาร์แล้วพวกเราจะไปที่ชุมชนศิลาแดง”

เดิมทีเธอเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะกลับไปชุมชนศิลาแดงเร็วขนาดนี้ จะว่าไปแล้วความขัดแย้งจนนองเลือดระหว่างมนุษย์ชั้นรองกับชาวชุมชนก็เพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าไร ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุตามวัตถุประสงค์ของซางเจี้ยนเย่า ยังคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย อีกทั้งยังต้องรอมุขนายกคนใหม่ของโบสถ์นิกายตื่นตัวเดินทางมาถึง

ทว่าในตอนนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านพลังงาน!

พวกเขามีแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับชาร์จเพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น แต่ทั้งรถจี๊ป ชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร และเกอนาวา ต่างต้องบริโภคพลังงานจากแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงทั้งสิ้น

รถจี๊ปมีแบตสองชุดสลับผัดเปลี่ยน ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารมีแบตสองแพ็ค ส่วนเกอนาวามีแบตสำรองสิบก้อนถ้วน

พูดให้ชัดเจนก็คืออาศัยเพียงแค่แผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์หนึ่งแผงย่อมไม่มีทางชาร์จแบตเตอรี่ได้ครบหมดทุกก้อน

แน่นอน

ด้วยเหตุนี้เจี่ยงไป๋เหมียนจึงตั้งใจว่าจะไปหาแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงมาเพิ่มอีกเพื่อสำรองไว้ในตอนที่หาสถานที่สำหรับ

ชาร์จไฟได้ จะได้ใช้งานให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ชุมชนศิลาแดงนั้นเป็นจุดขนถ่ายสินค้าเถื่อนที่สำคัญที่สุดในย่านนี้เพราะฝั่งตะวันตกติดกับ ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ จึงทำให้เป็นสถานที่สะดวกสุดสำหรับการหาซื้อแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และระยะทางก็ถือว่าเหมาะสม ไม่ไกลจนเกินไป

ของพวกนี้ไม่ใช่หัวผักกาดที่จะหาซื้อได้ง่ายๆ ตามตลาดผัก

* * * * *

แม้บอกว่าจะไปชุมชนศิลาแดงก็ตาม แต่เส้นทางที่เลือกใช้นั้นกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากเส้นทางที่เดินทางไปทาร์นัน

เพื่อเป็นการป้องกันการไล่ล่าของยามจักรกล เกอนาวาจึงเลือกใช้ทางที่ออกจากภูชีลาร์ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ว่าจะต้องอ้อมค่อนข้างไกลและใช้เวลามากกว่าจะไปถึงชุมชนศิลาแดง แต่นี่ก็เพื่อความปลอดภัย

ระหว่างการเดินทางนี้ เป็นเพราะต้องการให้เกอนาวาประหยัดพลังงาน สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กับตัวเขาจึงสลับผลัดเปลี่ยนกันขับและพักผ่อน

ยามเที่ยงของวันหนึ่ง ดวงตะวันสาดแสงจ้า รถจี๊ปจอดอยู่ริมลำธาร

ขณะที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แบ่งงานกันตักน้ำเตรียมอาหาร เกอนาวาซึ่งว่างงานกำลังยืนอยู่หน้ารถมองแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเลื่อนลอย ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร

“กำลังสับสนอยู่งั้นเหรอ” เสียงซางเจี้ยนเย่าดังขึ้นใน ‘หู’ ของเขา

เกอนาวายังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบคำ

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมกางเกงผ้าหนาสีน้ำเงินลายทแยงมุมเดินเข้ามาที่หน้ารถจี๊ปพลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังสับสนลังเลใจอยู่นะ”

เกอนาวาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้น

“คุณมองออกด้วยเหรอ”

“ผมเดาเอาน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าล้วงสองมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “อยากถามอะไรหรือเปล่า ผมอาจจะช่วยตอบให้ก็ได้นะ ถ้าเรื่องไหนผมตอบไม่ได้ ก็ยังมีพวกเขาช่วยตอบให้”

‘พวกเขา’ หมายถึง เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ที่เพิ่งจะกรอกน้ำและกินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จนั่นเอง

เกอนาวาที่ยังคงจ้องมองแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ พูดขึ้นอย่างลังเล

“ขอบอกตามตรงนะ ผมไม่ได้มั่นใจอีกแล้วว่าหุ่นสมองกลน่ะเท่าเทียมกับมนุษย์

“ในตอนนั้นคุณก็ได้เห็นแล้ว คนจากโถงควบคุมระเบียบเพียงแค่ปรับเปลี่ยนโปรแกรมไปนิดหน่อยพร้อมกับปิดกั้นข้อมูล เพียงแค่นั้นกลับทำให้ซูซานน่ากับเรสต์จำผมไม่ได้แล้ว ทำเหมือนผมเป็นคนแปลกหน้า

“ในตอนนั้นพวกเธอดูเหมือนเป็นแค่ชุดข้อมูลที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ไม่ใช่มนุษย์…”

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะขึ้นมา

“มนุษย์เองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน คุณดูสิ…”

ในระหว่างที่พูด สายตาเขาก็จับจ้องไปที่หลงเยว่หง

หลงเยว่หงถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว

“นายจะทำอะไรน่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาพลางส่ายหน้า

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ แบบนั้นมันเป็นการดูหมิ่นกันไปหน่อย”

จากนั้นเขาก็หันกลับมาทางเกอนาวาแล้วอธิบายอย่างละเอียด

“ผมเป็นผู้ตื่นรู้ มีพลังพิเศษที่สามารถสร้างสถานการณ์ลักษณะนั้นให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ได้เหมือนกัน

“เฮ้อ นี่ถ้าตอนนี้มีโจรโผล่มาสักคนก็ดีสิ ผมจะได้ทำให้ตอนเช้าผมเป็นเพื่อนกับเขา ตอนบ่ายผมกลายเป็นพ่อเขา พอถัดไปวันรุ่งขึ้นผมกับเขาเราต่างก็ไม่รู้จักกัน กลายเป็นคนแปลกหน้าไปเลย”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท