ตอนที่ 291 วันที่ดี
ยามที่ซ่อนตัวบริเวณทางเข้าชุมชนศิลาแดงจดจำรถจี๊ปได้แทบจะเวลาเดียวกับที่เห็นหน้ากากใบนั้น
ร่างพวกเขาถึงกับชะงักค้างแข็งทื่อไปสองวินาทีก่อนจะทำตามหลักปฏิบัติของนิกายตื่นตัว นั่นคือเก็บอาวุธแล้วไปหาที่ซ่อนตัว ไม่คิดที่จะกล่าวทักทายแม้แต่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เขากลับเข้ามาในรถแล้วแนะนำเกอนาวา
“นี่เป็นธรรมเนียมพื้นบ้านของที่นี่น่ะ คุณอยากสวมหน้ากากด้วยไหมล่ะ”
เกอนาวาไม่สามารถวิเคราะห์ข้อดีข้อด้อยของสถานการณ์ได้ จึงได้แต่รับคำอย่างกำกวม
“ขอคิดดูก่อนนะ”
“แค่ให้เขาสวมแว่นกันแดดไว้ก็พอแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนแนะนำความเห็นของตนในระหว่างที่ขับรถเข้าไปในชุมชนศิลาแดง “และก็ต้องเปลี่ยนชุดด้วย”
เกอนาวายังคงสวมเครื่องแบบทหารสีเขียวเข้มชุดเดิมอยู่
นี่เป็นสัญลักษณ์ของยามจักรกลเมืองทาร์นัน
“ที่นี่มีร้านขายเสื้อผ้าหรือเปล่า” เนื่องจากทั้งซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างก็สวมหน้ากากกันทั้งนั้น เกอนาวาจึงไม่ได้รู้สึกว่าการให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าจะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อตนเอง
“ไม่ต้องเจาะจงถึงขนาดนั้นหรอก แค่ถอดเสื้อนอกออกเหลือแต่เสื้อข้างในก็พอแล้วล่ะ ไว้สะดวกเมื่อไหร่ก็ค่อยไปหาซื้อมาเปลี่ยนอีกสักสองสามชุด” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
เพิ่งจะพูดขาดคำเธอก็พลันบังเกิดความคิดพิลึกพิลั่นขึ้นมา
เกอนาวาจะถามหรือเปล่าว่าจะให้ถอดกางเกงด้วยไหม…
ยังดีที่เกอนาวาไม่ได้สงสัยในเรื่องนี้ เขาขยับคอที่ทำจากโลหะพูดขึ้น
“ได้”
ในขณะที่พูดเขาก็ถอดเสื้อนอกออก
อืม… ข้อแตกต่างระหว่างหุ่นสมองกลกับหุ่นจักรกลทั่วไปก็คือไม่จำเป็นต้องถามทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตัวเอง เธอหาจุดจอดรถที่คุ้นเคยแล้วขับรถจี๊ปเข้าไปจอด
หลังจากเข้าไปในชุมชนศิลาแดงแล้ว เกอนาวายังไม่ทันจะสแกนแผนผังและโครงสร้างของสถานที่ ซางเจี้ยนเย่าก็ปรี่เข้าไปยังกล่องป้ายโฆษณาจากโลกเก่าแล้วเคาะปังปัง
ขณะที่เสียงดังก้องสะท้อน ประตูกล่องป้ายก็เปิดออก เผยให้เห็นสมาชิกยามเมืองถือปืนกลมืออยู่ข้างใน
หน้ากากเขาถูกยกขึ้นมาพาดไว้บนศีรษะ รูปลักษณ์เป็นชาวแดนธุลี
“คุณยังระวังไม่มากพอนะ” ซางเจี้ยนเย่าชี้ออกมาให้เห็น
เขาดูคุ้นเคยกับอีกฝ่าย
สมาชิกยามเมืองตอบกลับด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง
“ผมซ่อนอยู่ข้างในแบบนี้ ถ้าขืนยังจะให้สวมหน้ากากไว้อีกก็คงหายใจไม่ออก ขาดใจตายกันพอดี”
“นั่นสินะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าว่าเข้าอกเข้าใจ
เขาเปลี่ยนเรื่องถาม
“ถ้าอยากจะซื้อแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงนี่ต้องไปหาใครเหรอ”
สมาชิกยามเมืองผู้นั้นแอบถอนใจโล่งอก
“พ่อบ้านของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ที่ชื่ออูลล์ริช เขารับผิดชอบด้านพลังงานของ ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ น่ะ
“อันเฮอบัสเองก็มีช่องทางเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจมีของในสต๊อกอยู่ก็ได้”
ธุรกิจค้าของเถื่อนจัดกลุ่มแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงไว้ในหมวดพลังงาน และถึงแม้ว่าอันเฮอบัสจะเคย ‘สนับสนุน’ อาวุธจำนวนหนึ่งให้กับพวกซางเจี้ยนเย่าก็ตาม แต่ที่จริงแล้วเขาใกล้เคียงกับการเป็นผู้ค้าพลังงานมากกว่า
เขาขายอาวุธให้ปีศาจภูเขาก็เพื่อธุรกิจด้านถ่านหินนั่นเอง
“ดีมาก!” ซางเจี้ยนเย่าเผยรอยยิ้มออกมา
จากนั้นเขาก็ตั้งคำถามใหม่
“ตอนนี้ใครเป็นนายอำเภอกับหัวหน้ายามเมืองล่ะ”
“หัวหน้าถานเจี๋ยน่ะ” สมาชิกยามเมืองตอบตามความจริง
“อ้อ เขาเองเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะด้วยความยินดี “ผมชอบที่เขาด่าคนโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรน่ะ”
นี่… หลงเยว่หงรู้สึกว่าการแสดงออกของซางเจี้ยนเย่าในวันนี้ค่อนข้างโอเวอร์เกินจริงกว่าสมัยก่อนมาก
ดังนั้นเขาจึงอดพึมพำออกมาไม่ได้
“นี่เขามีอาการอาหารเป็นพิษหรือเปล่าเนี่ย”
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือป้องหู แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
“บางทีซางเจี้ยนเย่าในตอนนี้อาจจะเป็นซางเจี้ยนเย่าที่เป็นนักแสดงน่ะ”
“เอ่อ…” หลงเยว่หงอึ้งไปก่อนจะนึกขึ้นได้
เป็นเพราะซีรีส์จากโลกเก่าแหงๆ!
“ผมรู้สึกเหมือนเขาได้กลับมาบ้าน” เกอนาวาแสดงความคิดเห็นตนเองออกมา
“คนที่นี่เป็นพี่เป็นน้องกับเขาหมดนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ไป๋เฉินพึมพำเบาๆ
“เป็นเพราะสื่อบันเทิงโลกเก่า…”
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปหลายเรื่องแล้ว อย่างเช่นว่าเร็วๆ นี้มีคนจาก ‘สวรรค์จักรกล’ มาบ้างหรือเปล่า
สุดท้ายเขาก็ถามขึ้น
“มุขนายกคนใหม่เป็นใครเหรอ”
“มุขนายกอันโตนิโอล่าน่ะ ดูแข็งแกร่งมากทีเดียว”
เจี่ยงไป๋เหมียนก้าวขึ้นหน้าสองสามก้าวแล้วถามต่อ
“เขามาคนเดียวเหรอ”
“เปล่า” สมาชิกยามเมืองส่ายหน้า “ยังมี ‘มุขนายกแห่งความหวาดหวั่น’ ท่านใต้เท้านักบุญซีคมุนท์กับเจ้าหน้าที่นิกายคนอื่นด้วย แต่ว่าพอพวกเขาไปที่เกาะกลางทะเลสาบเสร็จก็กลับกันไปหมดแล้ว เกาะที่พวกคุณเคยไปกันมาน่ะ”
“แล้วพวกเขาได้ของอะไรกลับมาบ้างไหม มีอะไรเกิดขึ้นที่เกาะกลางทะเลสาบบ้างหรือเปล่า” นี่คือเรื่องหลักๆ ที่เจี่ยงไป๋เหมียนต้องการถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน” ยามเมืองผู้นั้นนึกทบทวน แสดงสีหน้าว่าตนเองก็ไม่ค่อยทราบอะไรในเรื่องนี้มากนัก “แต่ว่านะ พวกเราถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้เกาะนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม จะห้ามทำไมก็ไม่รู้ มีพวกมนุษย์มัจฉาอยู่กันเต็มขนาดนั้น ทำอย่างกับพวกเราจะกล้าเข้าไปงั้นแหละ”
ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนถามเรื่องอื่นเพิ่มเติม ทำให้พอจะทราบสถานการณ์ปัจจุบันของชุมชนศิลาแดงได้อย่างคร่าวๆ
นอกเหนือจากเรื่องการแต่งตั้งมุขนายกคนใหม่แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดก็คือคุณนายเทเรซ่า ภรรยาม่ายของเฮลเว็กซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นผู้ที่มีสถานภาพยืนหยัดได้อย่างมั่นคงแล้ว
เลห์แมน พ่อค้าอาวุธก่อนหน้านี้ก็จากไปแล้ว ว่ากันว่าในตอนที่จากไปนั้นเขามีใบหน้าซีดเผือดราวกับศพ
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไปยังโรงแรมเคชา ใช้อาหารกระป๋อง ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง เพื่อจองห้องพักสามห้อง
ครั้งนี้พวกเขาต้องจ่ายราคาสูงกว่าครั้งก่อนไม่น้อยเลยทีเดียว ทางเจ้าของโรงแรมอธิบายว่า
“ครั้งนี้พวกคุณพาหุ่นยนต์มาด้วย จะต้องชาร์จไฟบ่อยแน่ นี่เป็นค่าไฟที่เรียกเก็บล่วงหน้า”
ประโยคนี้โจมตีจุดอ่อนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ อย่างจัง
พวกเขามีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงมากมายหลายก้อนที่เตรียมจะเอามาชาร์จไฟ!
ในเวลานี้เกอนาวาเหลือแบตสำรองอีกเพียงแค่ก้อนเดียวเท่านั้น ส่วนชุดเกราะเสริมแรงทางทหารนั่นก็ไม่ได้เอามาสวมอีกเลยหลังจากที่หลงเยว่หงใช้งานไปเมื่อก่อนหน้านี้
* * * * *
ณ ย่านที่พักแรม
เจี่ยงไป๋เหมียนแจกจ่ายบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของห้องพัก
“ฉันอยู่กับซางเจี้ยนเย่าห้องหนึ่ง เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวหงอยู่ห้องหนึ่ง เหล่าเกออยู่คนเดียวอีกห้องหนึ่ง”
หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ นั้นคุ้นชินกับการจัดการที่พักเช่นนี้มานานแล้วจึงไม่มีอะไรโต้แย้ง มีเพียงเกอนาวาเท่านั้นที่เอ่ยถามอย่างลังเล
“พวกคุณเป็นคู่รักกันเหรอ”
“แค่ก…” หลงเยว่หงถึงกับสำลักน้ำลาย กระแอมออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเกอนาวาพลางหัวเราะ
“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเพศเดียวกันก็ควรพักอยู่ห้องเดียวกันหรอกเหรอ” เกอนาวาตั้งข้อสงสัย
ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
เขาตบบ่าเกอนาวา
“เหล่าเกอ คุณน่ะคร่ำครึเกินไป
“การรวมกลุ่มของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบ การเป็นคู่รักนั้นไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นแค่ชายหญิงเท่านั้น ยังมีคู่หญิงหญิง ชายชาย ชายไม่ใช่หญิงไม่เชิง ครึ่งชายครึ่งหญิง…”
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เมื่อเห็นว่ายิ่งทีเขาก็ยิ่งออกทะเลไปไกล
“แล้วก็ยังมีเหตุผลอื่นอีก” ซางเจี้ยนเย่ารีบเปลี่ยนคำพูดทันที “การจัดห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เราน่ะ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย คุณลองคิดดูสิว่าถ้าหากตอนดึกดื่นค่อนคืนผมแอบย่องออกมาทำเรื่องไม่ดี พวกเขาสองคนนี้มีปัญญาห้ามผมได้หรือเปล่า แถมพวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมไม่อยู่แล้ว”
โอ้… เหมือนนายจะภูมิใจในเรื่องนี้มากเลยนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนโมโหระคนขบขัน
เกอนาวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมเข้าใจแล้วล่ะ”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาถามว่า
“งั้นทำไมคุณถึงต้องแอบออกมาทำเรื่องไม่ดีด้วยล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าขบคิดสองสามวินาทีแล้วตอบอย่างจริงจัง
“สมองกระตุกน่ะ”
โดยไม่รอให้เกอนาวาถามว่าคำนี้มีความหมายเช่นไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เหล่าเกอ เมื่อตะกี้ที่คุณถามว่าพวกเราเป็นคู่รักกันหรือเปล่าน่ะ นั่นไม่ค่อยมีมารยาทนะ รู้ไหม คุณดูสิ เห็นไหมว่าพวกเขาดูอึดอัดกันมาก”
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงแค่หลงเยว่หงเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด ส่วนไป๋เฉินนั้นมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้รู้สึกอะไร
น้ำเสียงที่เจือความเป็นเสียงสังเคราะห์เล็กน้อยของเกอนาวาเผยถึงความรู้สึกจากใจ
“นั่นก็จริง ผมเองก็รู้ว่านั่นเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ แต่คุณก็บอกเองนี่ว่าเป็นสหายกันก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ผมเองก็ต้องการเพิ่มความเข้าใจในสังคมมนุษย์อย่างพวกคุณที่เป็นสิ่งมีชีวิตพื้นฐานคาร์บอน เพื่อต้องการสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับการเอาตัวรอดและปฏิบัติการฉายเดี่ยวต่อไปในอนาคต
“นี่ก็เป็นสิ่งที่คุณสอนเอาไว้ ดูให้มาก ถามให้มาก ฟังให้มาก หาประสบการณ์ให้มาก”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“เหตุผลที่ยกมานั้นไม่ผิดหรอก แต่คุณสามารถใช้วิธีที่มีมารยาทมากกว่านี้ได้ อย่างเช่นว่ามาถามฉันเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ถามต่อหน้าพวกเขาแบบนี้น่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…” เกอนาวาตอบด้วยน้ำเสียงเชิงว่าได้เรียนรู้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อนชั่วครู่ก่อนจะมารวมตัวอีกทีเพื่อตระเตรียมมื้อเย็น
ซึ่งในหมู่พวกเขานั้น ‘อาหาร’ ของเกอนาวาก็คือแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่กำลังชาร์จอยู่
แล้วในตอนนี้เอง พวกเขาก็รู้สึกว่าอีกฟากหนึ่งของย่านพักแรมเกิดเสียงเอะอะดังขึ้น
“มีอะไรกันเหรอ” หลงเยว่หงทอดสายตาออกไปนอกประตูด้วยความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่าวางสิ่งของในมือลงแล้วเดินออกไปดู
ภายใต้แสงตะวันชิงพลบ พวกเขาเห็นมีคนมารวมตัวกันอยู่ไกลๆ ไม่ทราบว่าทำอะไรกัน
“ผมจะออกไปดูหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าบอกคนอื่นๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ฝูงชน
เจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉิน หลงเยว่หง และเกอนาวา ต่างก็มองหน้ากัน จากนั้นก็ปิดประตูเดินออกไปด้วย
เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นพวกเขาก็เห็นสถานการณ์เบื้องหน้าได้ชัดเจน
ที่นั่นมีกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนสี่สิบห้าสิบคนกำลังรวมตัวกันอยู่ แม้จะสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ แต่ใบหน้าเหล่านั้นยังพอนับได้ว่าสะอาดสะอ้านอยู่
หลงเยว่หงชำเลืองมองก็เห็นว่ารองเท้าผ้าฝ้ายเก่าๆ ที่พวกเขาสวมอยู่มีนิ้วเท้าโผล่ออกมา เช่นเดียวกับเสื้อขนเป็ดที่สวมก็มีรูขนาดใหญ่อยู่หลายรู
หนุ่มสาวเหล่านี้มีอายุอยู่ในช่วง 15-16 ปีไปจนถึง 23-24 ปี มีผู้ชายเจ็ดแปดคนซึ่งมีสภาพภายนอกดูดีกว่า ยืนถือปืนล้อมรอบพวกเขาไว้
ชายมือปืนที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าพูดตะโกนเสียงดัง
“ฉันรู้ดีว่าที่ผ่านมานั้นพวกแกทุกคนได้รับความลำบากกันมาขนาดไหน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกขายมาเป็นทาสให้ฉันหรอก
“แต่ในตอนนี้ วันที่ดีของพวกแกกำลังจะมาถึงแล้ว!”
หนุ่มสาวที่อายุยังไม่มากจำนวนสี่ห้าสิบคนนี้รับฟังด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงตั้งใจฟังอยู่
พ่อค้าทาสยังคงพูดต่อ
“พวกแกลองคิดดูสิ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องหาที่ดีๆ ให้พวกแก งั้นฉันจะพาพวกแกมาพักที่โรงแรมทำไม ในชุมชนศิลาแดงมีอาคารร้างอยู่ตั้งเยอะแยะ จับพวกแกไปพักที่นั่นก็พอแล้ว
“เหอะ เหอะ เดี๋ยวอีกสองสามวันพวกแกก็จะได้เข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ กันแล้ว ที่นั่นน่ะ ต่อให้เป็นคนรับใช้ที่เป็นระดับต่ำสุดก็ยังมีอาหารการกินอย่างพอเพียง มีเสื้อผ้าให้ใส่ฟรีๆ ได้นอนอย่างน้อยก็วันละหกชั่วโมง ตอนเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีหมอมารักษา
“ถึงแม้ว่าจะต้องอาศัยอยู่ในปราสาทใต้ดินตลอดเวลาก็เถอะ แต่ก็ไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องโรคระบาด ไม่ต้องมากลัวโจรกลัวขโมย กลัวทหาร กลัวพวกคนเร่ร่อนอื่นๆ ไม่ต้องพะวงเรื่องถูกสัตว์ป่าโจมตี และถ้าหากว่าทำผลงานได้ดีพอ ไม่แน่นะ อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นพ่อบ้าน ถูกส่งขึ้นมาทำงานบนพื้นดินก็ได้…
“สรุปก็คือพวกแกต้องพยายามฝึกฝนเอาไว้ให้ดี มุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นผู้รับใช้ของนายท่านดิมาร์โก้ให้ได้…”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูดออกมา สีหน้าของหนุ่มสาวสี่สิบห้าสิบคนนี้ก็ค่อยๆ สดใสขึ้น
ดวงตาแต่ละคู่ของพวกเขาราวกับมีประกายระยิบระยับ
ทั้งนิ้วเท้าที่โผล่ออกมาจากรองเท้าผ้าฝ้ายและนิ้วมือที่บวมแดงของพวกเขานั้นกระดิกไปมาโดยไม่รู้ตัว
ทว่าในตอนนี้ภายในใจของหลงเยว่หงกลับมีเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่ดังขึ้นมา
‘ดิมาร์โก้เป็นคนที่โหดร้ายมาก’