รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 294 วิศวกรรมสังคม

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 294 วิศวกรรมสังคม

ตอนที่ 294 วิศวกรรมสังคม

ประโยค ‘ห่างกันไว้นั่นคือสหายที่ดี’ อันคุ้นเคยนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตอนนี้ได้กลับมาชุมชนศิลาแดงแล้วจริงๆ

ที่นี่คือนิคมที่ชาวนิคมทุกคนเป็นสาวกของนิกายตื่นตัว ทุกคนตื่นตัวกันจนขึ้นสมอง เน้นเรื่องการซ่อนตัวและรักษาระยะห่างไว้ตลอดเวลา

คนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้พบเจอเมื่อวานนี้ต่างก็ไม่ได้พูดคุยสนทนากันเลย เพียงแค่มีปฏิสัมพันธ์อันเบาบางเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ขัดขวางการมีชื่อเสียงของชุมชนศิลาแดง เป็นทัศนคติที่ไม่ต้องการทำตัวเด่น จึงไม่สามารถแสดงให้เห็นลักษณะประจำถิ่นหรือนิสัยทางศาสนาได้

ในระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่บ้าง

ความหมายของเธอก็คือ…

เห็นไหมล่ะ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะนายต้องการระบายความโกรธก็เลยเปิดเผยความลับออกมาจนทำให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ตื่นรู้ ตอนนี้ถูกเขาเตรียมการรับมือมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางเข้าใกล้ไปกว่านี้ได้แล้ว ไม่สามารถอาศัย ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อสร้างเพื่อนคนสำคัญสำหรับการลอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้อีก

นั่นก็หมายความว่า ‘แผนการที่มีโอกาสเป็นได้’ ซึ่งซางเจี้ยนเย่าวาดไว้นั้นถูกปิดตายทันทีอย่างน้อยหนึ่งในสามส่วน และหนึ่งในสามส่วนที่ว่านี้กลับเป็นส่วนที่ทำให้อัตราการประสบความสำเร็จมีค่อนข้างสูงอีกด้วย

สำหรับเจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว ในใจเธอนั้นแอบหวั่นไหว รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี

เธอตอบพ่อบ้านอูลล์ริชด้วยรอยยิ้ม

“ฉันเข้าใจในความระวังตัวของคุณค่ะ”

หลังจากเกิดเรื่องครั้งก่อน การที่ตอนนี้ไม่ถูกปิดประตูใส่หน้าทันทีก็นับว่ามีมารยาทมากแล้วล่ะนะ

เห็นชัดว่าพ่อบ้านอูลล์ริชไม่คิดจะกล่าวทักทายกัน เขาเอ่ยปากถามทันที

“พวกคุณมีธุระอะไร”

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่เกอนาวาซึ่งสวมแว่นกันแดด

“ก็อย่างที่คุณเห็น เราพวกได้รับหุ่นยนต์มาตัวหนึ่งน่ะ แต่ทางเรามีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเอาไว้สำรองไม่พอ ก็เลยอยากจะซื้อขายกับคุณสักหน่อย”

ในตอนที่เธอพูดอยู่นั้น ซางเจี้ยนเย่าก็มองไปที่เกอนาวาแล้วพูดเหมือนเขาเป็นหุ่นยนต์ธรรมดาทั่วไป

“นี่ เปิดเพลงให้มิสเตอร์อูลล์ริชฟังหน่อย”

เกอนาวาวิเคราะห์สถานการณ์แล้วรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการปลอมตัว ดังนั้นจึงใช้โมดูลเล่นเพลงที่ติดตั้งไว้ จากนั้นก็มีเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศดังออกมาจาก ‘ปาก’

“Only…”

เขาเพิ่งจะร้องออกมาได้เพียงแค่คำเดียวก็ถูกเจี่ยงไป๋เหมียนขัดจังหวะเสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก มิสเตอร์พ่อบ้านเขาเข้าใจน่า”

อูลล์ริชมีความเข้าใจในทีมนักล่าซากอารยะกลุ่มนี้อยู่ระดับหนึ่ง จึงไม่ได้สนใจตลกคั่นฉากนี้ เขาพูดต่อด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูหนาว สินค้าที่เก็บไว้เมื่อสิ้นปีถูกส่งออกไปหมดแล้ว คงต้องรออีกสักเดือนสองเดือนกว่าพวกพ่อค้าของเถื่อนจาก ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ จะมาถึงน่ะ”

ความหมายของเขาก็คือ ในขณะนี้ ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ เองก็ไม่มีสินค้าในสต็อกเช่นกัน หากต้องการสินค้าที่ลักลอบเข้ามาชุดใหม่ก็ต้องรอไปอีกระยะหนึ่ง

หลงเยว่หงสรุปคำพูดออกมาได้ว่า…

เจ้าบ้านเองก็ไม่ได้มีของเหลือเฟือหรอกนะ!

ในขณะนี้เขาเริ่มเข้าใจความกลัวของไป๋เฉินที่มีต่อสื่อบันเทิงโลกเก่าอย่างแจ่มแจ้งแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะมีหัวหน้าทีมคอยควบคุม มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติ มีการถูกไล่ล่าจาก ‘สวรรค์จักรกล’ เขาคิดว่าตัวเองอาจจะเสพติดไปแล้วก็ได้

ผู้คนจากโลกเก่านี่ช่างเสวยสุขกันเสียจริง!

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยอมแพ้ เธอคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้น

“‘นาวาบาดาล’ น่าจะต้องใช้แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงจำนวนมาก พวกคุณต้องมีสำรองเอาไว้บ้างอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าพอจะเจียดออกมาสักหน่อยได้ไหม เรื่องราคาก็ต่อรองกันได้

“แล้วพออีกเดือนสองเดือนตอนที่สินค้าล็อตใหม่มาถึง ไม่แน่ว่าตอนนั้น ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ อาจมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ผลิตรุ่นใหม่ที่มีความจุมากกว่าเดิมก็ได้ใช่ไหมล่ะ นี่ก็เท่ากับว่าเราช่วยพวกคุณเคลียร์สินค้าค้างสต็อกไง”

อูลล์ริชคิดถึงสิ่งที่นักล่าซากอารยะทีมนี้แสดงให้เห็นในชุมชนศิลาแดงก่อนหน้านี้ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้านายของตนในตอนนั้นตกใจกลัวแต่ไม่ได้โกรธ ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น

“คุณต้องการเท่าไหร่

“ถ้าหากไม่มากนัก เดี๋ยวผมจะกันเอาไว้ให้”

เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้ม

“ห้าสิบก้อน”

อูลล์ริชสำลักออกมาทันที ไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ดูจริงจังสมเป็นมืออาชีพได้อีกต่อไป

เวลาผ่านไปยี่สิบสามสิบวินาที ในที่สุดเขาก็กลับมาสงบเยือกเย็นตามเดิม

“จะใช้มากขนาดนั้นเลยเหรอเรอะ”

นี่คิดจะก่อตั้งทีมยามจักรกลหรือไงกัน…

จำนวนขนาดนี้ถ้ากระเบียดกระเสียรสักหน่อยก็สามารถรองรับหุ่นยนต์ได้ถึงสิบตัว ขอเพียงแค่ไม่ได้เปิดใช้โมดูลที่กินพลังงานมากจำพวกอาวุธเลเซอร์ หรือต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง

“ทางคุณสามารถจัดหาให้ได้มากที่สุดกี่ก้อน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนการตอบ

อูลล์ริชครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ห้าก้อน”

“น้อยไป” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นในนามของเจี่ยงไป๋เหมียน

“ถ้าจะเอามากขนาดนั้นก็ไม่มีหรอก” อูลล์ริชยังคงยืนกรานไม่สั่นคลอน

งั้นฉันจะให้ซางเจี้ยนเย่าบุกเข้าไปในนาวา แล้วรื้อโกดังพวกนายซะ! เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างฉุนเฉียวอยู่ในใจ ก่อนจะไตร่ตรองคำพูด

“งั้นช่วยเก็บแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงห้าก้อนนี้ให้พวกเราสักสามวัน พวกเราจะลองไปถามที่อื่นดูก่อน”

เธอไม่คิดจะอยู่ในชุมชนศิลาแดงนานนัก เพราะถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับ ‘สวรรค์จักรกล’ และตอนอยู่ในทาร์นันพวกเขาก็เปิดเผยไปแล้วว่าตนเองมาจากชุมชนศิลาแดง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าไม่ช้าก็เร็ว ทีมไล่ล่าจาก ‘สวรรค์จักรกล’ จะตามมาจนถึงที่นี่

ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะมีความคิดบางอย่างที่ต่างไป แต่ก็รู้สึกว่าระวังไว้ก่อนจะดีกว่า

“ไม่มีปัญหา” อูลล์ริชไม่ได้ร่ำไร

ตามความเห็นของเขา การยอมเสียแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเพียงห้าก้อนแล้วสามารถสลัดนักล่าซากอารยะทีมนี้ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้อีกฝ่ายไม่จ่ายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

* * * * *

เมื่อออกมาจากห้างสรรพสินค้าใต้ดิน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ขับรถตรงไปยังทะเลสาบจนไปถึงบ้านพักริมทะเลสาบที่อันเฮอบัสมักจะมาพัก

ด้านนอกของลานจอดรถใต้ดิน ไป๋เฉินเพิ่งจะเหยียบเบรก เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองไปที่ทางเข้า เอ่ยด้วยความสงสัย

“ข้างในไม่มีคนอยู่…”

“นั่นสิ” ซางเจี้ยนเย่าและเกอนาวาต่างก็ให้คำตอบยืนยันตามลำดับ

เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปหาเกอนาวา

“คุณติดตั้งโมดูลเก็บกู้ระเบิดไว้ด้วยหรือเปล่า”

“มี” เกอนาวาชี้ไปด้านนอก “จะให้ผมไปสำรวจดูก่อนไหม”

“อื้ออืม” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

หลังจากมองเกอนาวาลงจากรถไป ซางเจี้ยนเย่าก็พูดอย่างเศร้าใจ

“ผมคิดว่าเขาติดตั้งเกม Minesweeper[1] ไว้เสียอีก”

ดูเหมือนเขาจะอิจฉาในเรื่องแบบนี้มาก

เจี่ยงไป๋เหมียนนึกทบทวน

“นั่นน่าจะรวมอยู่ในโมดูลสื่อบันเทิงนะ

“เอ่อ… หุ่นสมองกลอย่างเขาจะมาเล่นเกม Minesweeper ทำไมล่ะนั่น ทักษะการคำนวณของเขาดีกว่าพวกเราตั้งเยอะ”

ระหว่างที่สนทนากันอยู่ เกอนาวาก็ตรวจสอบยืนยันได้แล้วว่าทางเข้าลานจอดรถใต้ดินไม่มีทุ่นระเบิดหรือกับระเบิดฝังอยู่ มันปลอดภัยมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนจึงให้ไป๋เฉินขับรถเข้าไปข้างใน

หลังจากการค้นหาอย่างละเอียด พวกเขาก็พบร่องรอยการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่ค่อนข้างใหม่

“จากร่องรอยนี้ คิดว่าพวกนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อคืนหรือเพิ่งจะออกไปเมื่อตอนเช้า” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้การประเมินในเบื้องต้นมาตั้งคำถาม

ตัวเธอนั้นคาดว่าเมื่อคืนนี้พวกอันเฮอบัสกับลูกน้องยังคงอยู่ที่นี่

ไป๋เฉินพิจารณาแล้วตอบออกมา

“บางทีพวกเขาอาจจะได้รับข่าวที่พวกเรากลับชุมชนศิลาแดงมาแล้ว ก็เลยรีบไปตั้งแต่เมื่อคืน”

“ปฏิกิริยาตอบสนองขนาดนี้ มันจะตื่นตูมเกินไปล่ะมั้ง พวกเรายังไม่ทันจะทำอะไรเขาเลยนะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยความโมโหระคนขบขัน

แน่นอนว่าเธอเองก็ยอมรับว่าเรื่องที่ไป๋เฉินพูดออกมานั้นมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดสำหรับสาวกผู้ศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’ และอันเฮอบัสเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยโดน ‘ทีมสำรวจเก่า’ เล่นงานมาก่อน

* * * * *

ณ ย่านที่พักแรม ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ กลับไปที่ห้องพักของตัวเอง

ขณะนี้ยังไม่ถึงเที่ยงวัน

พวกเขาได้ฟังเรื่องราวจากพวกสมาชิกยามเมืองมาว่าพวกอันเฮอบัสนั้นจากไปตั้งแต่กลางดึกจริงๆ โดยทิ้งลูกน้องบางส่วนไว้ เขาบอกว่าจะไป ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจ

ในคราวนี้เจี่ยงไป๋เหมียนมั่นใจได้แล้วว่าหมอนั่นกลัวเรื่องที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กลับมาจนขึ้นสมอง

“พวกเราน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามออกมาตอนที่อยู่ในรถ

แต่ไม่มีใครตอบ

หลังจากส่งโทรเลขกลับไปบริษัทและแจ้งตารางการเดินทางเสร็จ ตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนเดินออกจากห้องก็เห็นซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่นอกประตู มองดูอีกฝั่งของย่านพักแรม ตกอยู่ในห้วงความคิด

“คิดอะไรอยู่นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามอย่างระแวง

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ละสายตากลับมา เขาพูดพึมพำ

“ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะสามารถใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ กับคนรับใช้พวกนั้นเพื่อลอบเข้าไปข้างใน ‘นาวาบาดาล’ ได้หรือเปล่าน่ะ…”

“เป็นไปไม่ได้หรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนปฏิเสธความคิดของซางเจี้ยนเย่าออกมาโดยตรง “คนรับใช้พวกนั้นจะไปฝึกอบรมที่ชั้นใต้ดินของโบสถ์นิกายตื่นตัวระยะหนึ่ง รอจนคุณสมบัติผ่านเกณฑ์แล้วถึงจะเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้ นายคิดว่าตัวเองสามารถแฝงตัวปะปนอยู่ภายใต้การตรวจตราเข้มงวดได้นานขนาดนั้นหรือไง ไม่ใช่ว่าพ่อบ้านของดิมาร์โก้จะไม่รู้จักนายเสียหน่อย”

ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรออกมา แต่หุ่นสมองกลสีดำเงินก็เข้ามาใกล้เสียก่อน มันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความเป็นเสียงสังเคราะห์เล็กน้อย

“พวกคุณกำลังคิดหาหนทางแทรกซึมเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ อยู่เหรอ”

“เขาต่างหากที่คิด ไม่ใช่ฉัน” เจี่ยงไป๋เหมียนแยกแยะอย่าง ‘ชัดเจน’

เกอนาวาถือแว่นกันแดดที่แลกมาจากชุมชนศิลาแดงไว้ในมือข้างหนึ่ง ใช้น้ำเสียงราบเรียบพูดขึ้น

“การดัดแปลงระบบของ ‘นาวาบาดาล’ นั้นเป็นฝีมือของพวกเรา ‘สวรรค์จักรกล’”

นั่นสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาตามสัญชาตญาณทันที

“พูดกันว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ และก็บอกว่าตอนนั้นมีเพียงหุ่นวิศวกรที่ไม่มีระบบปัญญาประดิษฐ์เท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”

“อย่าบอกนะว่าพวกคุณแอบสำรองข้อมูลเก็บไว้ หรือไม่ก็สร้างช่องโหว่ร้ายแรงเพื่อเจาะเข้าไปน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างตื่นเต้น

เกอนาวาสั่นศีรษะโลหะของตน

“พวกเรามีจรรยาบรรณในวิชาชีพ”

จากนั้นก็เขาก็พูดความคิดของตนเองออกมา

“แต่ตราบใดที่ยังมีการใช้เครือข่ายข้อมูล ก็ยังสามารถเจาะระบบเข้าไปได้”

“คุณมีวิธีงั้นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถาม

เกอนาวาพูดโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง

“สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าตัวผมเพียงลำพังคงทำไม่ได้ จะต้องมีคนคอยให้ความร่วมมืออยู่ข้างในด้วย

“คนคนนั้นจะต้องบอกให้ผมรู้ถึงระบบโครงสร้างทั่วไป จากนั้นผมถึงจะเขียนไวรัสใส่ไว้ในแฟลชไดร์ฟ แล้วให้เขาเอาเข้าไปข้างในเพื่อใส่เข้าไปในโหนดของเครือข่ายข้อมูล…”

แม้เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจถึงสิ่งที่เกอนาวาพูดออกมา แต่ก็ยังคงรู้สึกเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปอยู่ดี

เธอไม่เคยสัมผัสกับ ‘การสู้รบ’ ในลักษณะนี้มาก่อน

แม้ว่าเธอเคยใช้ชิปเสริมช่วยเจาะระบบของป้ายตรานักล่าและเคยพยายามบุกรุกระบบภายในของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่ามาก่อนก็ตาม ทว่าเรื่องการใช้เครือข่ายข้อมูลเพื่อแทรกซึมเข้าไปเปิด ‘ประตู’ ของกองกำลังแห่งหนึ่งนั้น นี่เป็นเรื่องที่เพียงแค่เคยอ่านเจอมาจากหนังสือโลกเก่าเท่านั้นเอง

บนแดนธุลี สถานที่ส่วนใหญ่ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ ไม่มีระบบเครือข่าย ไม่มีอินเทอร์เน็ต จึงไม่มีข้อกำหนดพื้นฐานที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนย่อมขาดประสบการณ์ในด้านนี้ที่จะเชื่อมโยงความสอดคล้องระหว่างสิ่งที่อธิบายไว้ในหนังสือกับโลก

แห่งความเป็นจริงโดยตรง

เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนต่างมองตนเองเป็นตาเดียวโดยไม่ได้เอ่ยปาก เกอนาวาจึงกล่าวเสริม

“การเขียนไวรัสนั้น สำหรับหุ่นสมองกลแล้วถือเป็นเรื่องง่ายมาก มีแบบสำเร็จรูปมากมายเอาไว้ให้อ้างอิงได้

“ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องตามหาคนภายในที่จะสามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยวิศวกรรมสังคม[2]เพื่อบรรลุเป้าหมาย…”

เขายังพูดไม่จบ ก็เห็นซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มพูดขึ้น

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นฝีมือผมเอง”

________________________________________

[1] Minesweeper (扫雷) เกมกู้ระเบิดที่ติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows

[2] วิศวกรรมสังคม (社会工程学) Social engineering คือ การสื่อสารเพื่อพยายามหลอกลวงเป้าหมายให้คล้อยตาม จะได้ขโมยข้อมูลหรือทรัพย์สิน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท