ตอนที่ 299 แผ่นกระดาษ
ในขณะที่เกอนาวาสัมผัสร่างพยัคฆ์ยมราชที่ดูราวกับซากมัมมี่อยู่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่มความจดจ่อจนถึงระดับสูงสุด และใช้ชิปเสริมในแขนซ้ายร่วมด้วย
เธอให้ความใส่ใจในสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนของพยัคฆ์ยมราช ‘เทพที่หลับใหล’ ผู้นี้เป็นพิเศษ หากว่าพบสิ่งผิดปกติแม้แต่นิดเดียวก็จะรีบบอกให้เกอนาวาหยุดมือทันที
ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่ข้างกายเกอนาวา เขาอยู่ในท่าทางที่พร้อมจะผลักเกอนาวาออกไปได้ทุกเมื่อ
ปลายนิ้วเกอนาวาสัมผัสผิวหนังอันแห้งเหี่ยวของพยัคฆ์ยมราชในเวลาอันรวดเร็ว
แล้วในขณะนี้เองเจี่ยงไป๋เหมียนก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพอย่างอ่อนๆ และรู้สึกว่ามีบางสิ่งก่อตัวขึ้นมาในอากาศ
เธอกำลังจะบอกให้เกอนาวาชักมือกลับมา แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับมลายหายสิ้นไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบเฉกเช่นเดิม
นี่เป็นเพราะเป้าหมายไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหุ่นสมองกล ก็เลยทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างนั้นเหรอ ไม่รู้ว่าถุงมือยางจะทำให้เกิดผลลัพธ์แบบเดียวกันหรือเปล่านะ… เจี่ยงไป๋เหมียนปิดปากที่อ้าค้างไว้ คอยสังเกตการณ์ต่อไป
แต่แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถอนหายใจด้วยความเศร้า พูดกับเกอนาวา
“ฉันอุตส่าห์คิดว่าจะได้แสดงบทผู้กล้าช่วยคนงามแล้วซะอีก”
ดูเหมือนว่าเขาเองก็รู้สึกถึงช่วงวินาทีที่จิตสำนึกซึ่งยังเหลืออยู่ของพยัคฆ์ยมราชมีปฏิกิริยาได้เช่นกัน
“คนงามเหรอ… แต่เพศที่ถูกตั้งค่าในโมดูลหลักของผมคือเพศชายนะ” ในระหว่างที่เกอนาวาใช้ฝ่ามือโลหะสีดำเงินสำรวจลูบคลำร่าง ‘เทพที่หลับใหล’ เพื่อหาสิ่งของมีค่า เขาก็แย้งคำพูดที่ไม่ถูกต้องของซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยสีหน้าของความชอบธรรม
“คำว่าคนงามในที่นี้หมายถึงบุคคลผู้งดงาม ไม่ได้แบ่งแยกชายหญิง ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์สายพันธุ์ดั้งเดิมหรือเปล่า จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือหุ่นสมองกลก็เฉกเช่นเดียวกัน”
เขาใช้คำว่ามนุษย์กลายพันธุ์แทนคำที่ใช้เรียกมนุษย์ชั้นรอง
“หรือจะหมายถึงรถยนต์ก็ได้เหมือนกัน” เจี่ยนไป๋เหมียนพูดเสริมออกมาโดยไม่รู้ตัว
พอพูดขาดคำเธอก็บ่นตัวเอง
เวลาเคร่งเครียดแบบนี้ยังจะไปร่วมวงพูดจาไร้สาระทำไมเนี่ย…
คำอธิบายของซางเจี้ยนเย่านี้ทำให้เกอนาวาพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
พูดกันตามตรง เมื่อได้เห็นผิวหนังแห้งเหี่ยว กระดูกปูดโปน ศีรษะเหมือนหัวกะโหลกของพยัคฆ์ยมราชเช่นนี้แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกว่านี่มันน่ากลัวกว่าซากศพของจริงเสียอีก ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเป็นฝันร้ายยิ่งกว่านั้นมาก
เมื่อลองถามตัวเองเธอก็ได้คำตอบว่าจำต้องเตรียมใจก่อนสักสิบกว่าวินาทีถึงจะกล้าค้นตัวร่างกายอันน่าสะพรึงของ ‘เทพที่หลับใหล’ ผู้นี้ แต่กระนั้นภายในใจก็ยังมีความรังเกียจอยู่บ้าง
ทว่าเกอนาวาไม่มีความรู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อยราวกับว่าของสิ่งนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากสิ่งอื่นๆ ที่เป็นตัวเลข ‘0’ กับ ‘1’ เท่านั้น[1]
หลังจากค้นหาโดยละเอียดแล้ว เกอนาวาก็ได้ข้อสรุปดังนี้…
“เป้าหมายสวมเพียงแค่กางเกงในสีเหลืองหนึ่งตัว เสื้อป่านสีขาวหนึ่งตัว ไม่มีวัตถุอย่างอื่นอีก และไม่มีเบาะแสใดๆ เหลืออยู่”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าคำอธิบายนี้ค่อนข้างจะพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง
ซางเจี้ยนเย่าทุบกำปั้นขวาลงบนฝ่ามือซ้าย
“เสื้อกับกางเกงในอาจจะเป็น ‘ฤทธิภัณฑ์’ เหมือนมงกุฎกับกำไลกิ่งไม้สานก็ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนมุมปากกระตุก จากนั้นเธอก็วิเคราะห์สถานการณ์อย่างจริงจัง
“ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ
“พวกมันวางเอาไว้ในที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าหากว่ามันถูกนำออกมาจาก ‘ทางเดินแห่งจิต’ หรือแม้แต่เป็นของที่เกิดมาจากพยัคฆ์ยมราชเองก็ตาม ‘มุขนายกแห่งความหวาดหวั่น’ ของนิกายตื่นตัวคนนั้นจะต้องเอากลับไปด้วยอย่างแน่นอน”
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“ผมรู้เหตุผล นั่นเป็นเพราะว่าถึงเป็นผม ผมก็ไม่เอาไปเหมือนกัน”
“ทำไมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนอยากฟังวิธีคิดนอกกรอบของเขา
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“มันเสียมารยาทน่ะ
“เหมือนเป็นพวกวิตถาร”
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกสนใจเขาทันที เธอหันไปพูดกับเกอนาวา
“คุณสำรวจร่างเขาดูอีกทีสิว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้หรือเปล่า”
เกอนาวาทำตามคำพูดของเธอ ยื่นมือโลหะสีดำเงินออกไปอีกครั้ง สอดไปใต้ร่างพยัคฆ์ยมราชเหนือพื้นโลงศพ
หลังจากลูบคลำอยู่ครู่หนึ่งเขาก็สั่นศีรษะที่เป็นโลหะ
“ไม่มี”
“ไม่มี…” ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบที่ได้รับจะไม่ทำให้ตนเองประหลาดใจก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ดี
“สาวกพวกนั้นไม่มีความเคารพกันบ้างเลย แม้แต่ฟูกปูเตียงให้เทพที่ตัวเองศรัทธาก็ยังไม่มี ปล่อยให้นอนบนพื้นโลงแข็งๆ แบบนี้ เมื่อยจะตาย” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นตนเอง
“บางทีอาจเป็นธรรมเนียมพื้นบ้านหรือไม่ก็เป็นความเชื่อทางศาสนาล่ะมั้ง” เกอนาวาพยายามวิเคราะห์เหตุผลที่กลุ่มสาวกทำเช่นนี้
เมื่อได้ฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนก็วาบเป็นประกายขึ้นทันที
เธอเอ่ยถามหลังจากครุ่นคิด
“พวกนายคิดว่าพยัคฆ์ยมราชเกิดสังหรณ์ใจขึ้นมาว่าตัวเองกำลังจะหลับใหลก็เลยตั้งใจมานอนในโลงศพนี้เอง หรือว่าเป็นเพราะหลับใหลไป จากนั้นพวกสาวกมาเห็นเข้าก็เลยอุ้มมาใส่ไว้ในโลง”
“ถ้าไม่มีข้อมูลมากพอก็ไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนั้นได้ แนะนำว่าให้ใช้วิธีการตั้งสมมติฐานในการวิเคราะห์” เกอนาวาตอบมาอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วพูดขึ้น
“เขาไม่มีทางลงมานอนเองแน่
“ถ้าผมรู้ว่าตัวเองจะหลับนะ จะต้องเอาฟูกมาปูรองก่อน ถ้าขืนนอนแบบนั้นนานๆ คงปวดตัวไปหมด”
“ถ้าหากเป็นทฤษฎีนี้ล่ะ… คือพยัคฆ์ยมราชเตรียมตัวไว้ไม่ดีพอ ซึ่งนี่ก็ยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่ากว่าจะมีผู้นำสารแห่งเทพของพวกมนุษย์มัจฉาปรากฏตัวขึ้นมาเอามงกุฎกิ่งไม้สานไป ก็ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ระบุอย่างตายตัว “อืม… แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน พยัคฆ์ยมราชไม่มีเวลาไปทำเรื่องอื่น”
เธอยังพูดต่อ
“พวกเราลองวิเคราะห์สถานการณ์ที่ว่าสาวกของพยัคฆ์ยมราชเอาร่างเขามาใส่ไว้ในโลงกันก่อนก็แล้วกัน
“กรณีนี้พวกเขาก็ควรจะจัดการตามความเชื่อทางศาสนาของ ‘วิหารยมราช’ หรือคำสั่งเสียตามปกติของพยัคฆ์ยมราชจนเสร็จเรียบร้อยใช่ไหมล่ะ ตรงนี้ยังมีเรื่องให้อนุมานอีกไม่น้อยแต่ตอนนี้ขอเก็บไว้ก่อน เพราะยังมีปัญหาที่จริงจังและสำคัญอย่างอื่นอยู่
“นั่นก็คือพวกเขานำร่างพยัคฆ์ยมราชมาจากที่ไหนก่อนจะใส่ในโลงนี้”
เกอนาวาให้คำตอบออกมาโดยตรง
“มีความเป็นไปได้สองประการ หนึ่งคือจากสถานที่ซึ่งพยัคฆ์ยมราชสิ้นสติไปในตอนนั้น สองคือจากห้องของเขาเอง ในระหว่างที่หลับไปเขาตกอยู่ในสภาพนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว”
“ถูกต้อง ดูเหมือนจะมีโอกาสเป็นไปได้มากว่าในระหว่างที่กำลังนอนอยู่บนเตียง จิตสำนึกเขาก็เข้าไปใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ในระหว่างที่กำลังสำรวจที่นั่นเพื่อตามหาประตูสู่โลกใหม่ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไปเจอปัญหาเข้า” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดคะเนเช่นนี้จากการกระทำของซางเจี้ยนเย่าตามปกติในฐานะผู้ตื่นรู้ รวมกับคำที่พยัคฆ์ยมราชใช้เล็บขูดทิ้งไว้
พยัคฆ์ยมราชทิ้งรอยขูดเปื้อนเลือดไว้ด้านในโลงศพ มันเขียนเป็นตัวอักษรคำว่า ‘โลกใหม่’
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าถามคำถามพิลึกพิลั่นอะไรออกมา เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกข้อมือเพื่อดูนาฬิกาก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นห้องของพยัคฆ์ยมราชอยู่ไหนล่ะ
“โดยปกติเขาก็ไม่ควรจะใช้โลงศพนี้เป็นเตียงใช่ไหมล่ะ ไม่ได้ปูฟูกเอาไว้ด้วย การมานอนหลับอยู่ในนี้ไม่มีทางนอนได้สบายตัวแน่ๆ ต่อให้พยัคฆ์ยมราชไม่ใช่พวกชอบหาความสุขใส่ตัว ก็ไม่จำเป็นต้องมาทรมานสังขารแบบนี้ นอกเสียจากว่ามีงานอดิเรกที่ชื่นชอบเรื่องแบบนี้หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สละไป”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง
ผู้ตื่นรู้ไม่ใช่พวกบำเพ็ญทุกรกิริยา ไม่จำเป็นต้องขัดเกลาตนเองแบบนั้น
“จากมุมมองของศาสนา พยัคฆ์ยมราชก็คือเทพที่ยังมีชีวิต ดังนั้นสถานที่ที่เขาพักอาศัยจึงต้องเป็นในวิหารแห่งนี้เท่านั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นพื้นที่บางส่วนจึงต้องดัดแปลงให้เป็นวิหาร” เกอนาวาวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตแล้วให้ข้อสรุปของตนเองออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองโดยรอบ
“แต่ว่าที่นี่น่ะ ครั้งก่อนพวกเราก็ค้นกันจนทั่วหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบบริเวณที่มีคนพักอยู่เลย…”
ในขณะที่พูดไปเธอก็หมุนตัวไปรอบๆ แล้วจับจ้องอยู่ที่บริเวณหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มออกมาในเวลาเดียวกัน
“มีอยู่ที่เดียวที่ไม่ได้หา”
เขาชี้ไปที่โลงศพ
หรือระบุให้เฉพาะเจาะจงมากกว่านั้นก็คือแผ่นหินที่ปูอยู่ใต้โลงศพ
เกอนาวาทำการวิเคราะห์แล้วก็เข้าใจความหมายของคนทั้งคู่ เขารีบเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบทันที
ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเขาก็ชี้ไปยังด้านล่างของโลงศพ
“ใต้พื้นตรงนี้มีโพรงที่ค่อนข้างใหญ่… ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นคือมันเป็นห้องขนาดเล็ก”
ใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนที่ถูกบดบังอยู่ภายใต้หน้ากากหลวงจีนรูปงามเผยรอยยิ้มออกมา
เธอเพิ่งจะวิเคราะห์ไปชุดใหญ่และตั้งสมมติฐานอันอุกอาจ ในที่สุดก็ได้รับหลักฐานมาแล้ว!
“รบกวนคุณช่วยผลักโลงนี้ออกไปหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกับเกอนาวา “ค่อยๆ นะ คอยฟังด้วยว่าฉันจะบอกให้หยุดตอนไหน”
และเฉกเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เธอตั้งใจจดจ่อ อีกทั้งยังใช้งานชิปเสริมร่วมด้วย ซางเจี้ยนเย่าเองก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับปฏิบัติการ ‘วีรบุรุษช่วยคนงาม’
เกอนาวาวางมือทั้งสองข้างไว้ที่ขอบโลง ควบคุมแรงค่อยๆ ดันไปด้านหน้า
ในระหว่างนี้สัญญาณไฟฟ้าชีวภาพของพยัคฆ์ยมราชไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ
ขณะที่โลงศพถูกเคลื่อนย้ายออกไป หลุมดำก็ปรากฏอยู่บนแผ่นหินที่ปูพื้นเอาไว้
ปากหลุมทั้งเล็กทั้งแคบ พอแค่สำหรับให้คนรูปร่างเพรียวเดินลงไปเท่านั้น ด้านล่างมองเห็นเป็นขั้นบันไดเลือนลาง หุ่นล่ำกำยำอย่างเกอนาวาต้องตะแคงตัวเพื่อผ่านเข้าไป
เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกข้อมือเพื่อตรวจสอบเวลา ก่อนจะให้เกอนาวาที่เป็นหุ่นยนต์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าทำการระบายอากาศภายในโพรง
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากวานรมองด้วยความอิจฉา ราวกับกำลังรู้สึกว่าการมีอุปกรณ์และโมดูลต่างๆ มากมายซ่อนอยู่ในร่างนั้นเป็นเรื่องสุดเท่เป็นอย่างยิ่ง
เกอนาวาจัดการสภาพแวดล้อมเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตรวจสอบสถานการณ์ภายในอย่างละเอียด
“ไม่มีแก๊สพิษ ไม่มีระเบิด ไม่มีกัมมันตภาพรังสี ไม่มีสัตว์อันตราย โครงสร้างห้องแข็งแรงมาก”
วินาทีถัดมา ซางเจี้ยนเย่าเปิดสวิทช์ไฟฉายเดินลงบันไดไปยังพื้นด้านล่าง
เจี่ยงไป๋เหมียนกับเกอนาวาตามหลังไปติดๆ
บันไดมีเพียงเจ็ดแปดขั้นเท่านั้น ซางเจี้ยนเย่าใช้เวลาไม่นานก็ลงไปถึงพื้นด้านล่าง
มันเป็นห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีเพียงหนึ่งเตียง หนึ่งโต๊ะ หนึ่งตู้ และอีกหนึ่งเก้าอี้
สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าไร้ซึ่งแสงสว่างโดยสิ้นเชิง บนโต๊ะหนังสือเก่าๆ ตัวนั้นมีลูกปัดที่เรืองแสงสีเขียวเรืองวางอยู่
มันมีขนาดเล็กมาก เพียงแค่ลูกตาของปลาทั่วไปเท่านั้น
“มุกราตรี…” ขณะเจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำ เธอก็หยุดซางเจี้ยนเย่าไม่ให้เดินเข้าไปสำรวจ แต่ให้เกอนาวาเป็นคนทำเรื่องนี้แทน
เป็นเพราะเวลาไม่เคยคอยใคร เกอนาวาจึงรีบลงมือจัดการงานให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
ภายในตู้นั้นว่างเปล่า เสื้อผ้านั้นเหมือนมีคนนำออกไปแล้ว บนเตียงมีแค่ฟูก หมอน และผ้าห่มผืนบาง ส่วนเก้าอี้นั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมของวิหารมันจึงสะอาดเป็นอย่างยิ่ง บนโต๊ะมีมุกราตรีขนาดไม่ใหญ่เท่าใดวางอยู่ ในลิ้นชักมีกระดาษหนึ่งแผ่น
“แผ่นกระดาษ…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองตามแสงไฟฉายของซางเจี้ยนเย่าไป ก็พบกับกระดาษเก่าเหลืองแผ่นนั้นเข้า
มันมีตัวเลขและสัญลักษณ์บางอย่างเขียนเอาไว้
‘1210,√
‘757,√ ,√
‘935,√
‘314,√
‘329,√
‘102’
หากว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปทาร์นัน เจี่ยงไป๋เหมียนจะต้องงุนงงสับสนกับตัวเลขเหล่านี้อย่างแน่นอน
แต่เป็นเพราะเรื่องของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น มีทั้งตัวเลข ‘503’ และมีทั้งคำอธิบายของเจ้าอารามโจว โจวเยว่ เธอจึงสามารถคาดเดาความหมายของตัวเลขเหล่านี้ได้โดยอัตโนมัติ
“นี่คือหมายเลขห้องใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ที่พยัคฆ์ยมราชเคยเข้าไปแล้วสินะ ที่ติ๊กถูกเอาไว้ก็คือสำรวจเสร็จแล้วงั้นเหรอ ตอนท้ายสุดเขาพบอะไรบางอย่างในห้อง 102 ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับโลกใหม่ แต่กลับเจอเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือเปล่านะ”
ซางเจี้ยนเย่าใช้มือข้างหนึ่งตบด้ามกระบอกไฟฉายเพื่อใช้วิธีนี้ในการปรบมือ
หุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวาตกตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากนั้นเขาก็ปรบมือด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้กลมกลืนไปกับทีม
[1] ตัวเลข 0 กับ 1 หมายถึงว่า ระบบคอมพิวเตอร์จะมองข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบตัวเลขฐานสอง ซึ่งมีค่า 0 และ 1 จากสภาวะที่มีการปิดและเปิดไฟฟ้า