รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 301 ปัญหาเรื่องสุดท้าย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 301 ปัญหาเรื่องสุดท้าย

ตอนที่ 301 ปัญหาเรื่องสุดท้าย

หลังจากประเมินเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ระบายลมหายใจอย่างไม่อำพรางเปิดเผย

“น่าเสียดาย…”

ที่เธอเสียดายก็คือความใฝ่ฝันที่จะใช้วัตถุนี้เพื่อสัมผัสประสบการณ์พลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของตนได้แตกสลายเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว

ไป๋เฉินพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด

“ดูเหมือนว่าผลกระทบที่มันสร้างขึ้นจะไม่เหมือนกับผู้นำสารมนุษย์มัจฉานะ”

พลังพิเศษของ ‘ผู้นำสารมนุษย์มัจฉา’ โดยหลักแล้วจะส่งผลต่อการหายใจและการเต้นหัวใจ

“เป็นคนละเขตพลังกัน” ซางเจี้ยนเย่าเข้าสู่โหมดจริงจัง พูดสิ่งที่ตัวเองประเมินออกมาอย่างกระชับและครอบคลุม

“อื้ออืม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “จากข้อเท็จจริงที่ว่าพยัคฆ์ยมราชสามารถใช้มงกุฎกิ่งไม้สานเพื่อเปิดโลกจิตวิญญาณของผู้นำสารมนุษย์มัจฉา และพยายามสร้างการเชื่อมต่อแบบย้อนกลับ วัตถุชิ้นนั้นก็น่าจะถูกควบผสานเข้ากับออร่าของตัวเขาเอง มุกราตรีเม็ดนี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นของที่เขาเก็บเกี่ยวได้มาจาก ‘ทางเดินแห่งจิต’ ไม่รู้ว่าเป็นของผู้แข็งแกร่งท่านไหนกันแน่…”

พูดมาถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปทางเกอนาวา

“‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกคุณได้มีการจัดหมวดหมู่พลังพิเศษผู้ตื่นรู้ไว้บ้างหรือเปล่า”

เกอนาวาสั่นศีรษะ

“พวกคุณก็เห็นแล้ว ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกเราติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วทำผ่านช่องทางของทาร์นันแทบทั้งหมด บางครั้งก็ส่งทีมไปยังสถานที่อย่างชุมชนศิลาแดง เมืองหญ้าไพร และ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้พวกเราก็ไม่ได้พบผู้ตื่นรู้สักเท่าไหร่ จึงไม่มีทางแบ่งแยกประเภทและวิเคราะห์ในเชิงลึกมากนัก”

“นั่นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเข้าใจ

เธอคาดว่า ‘สวรรค์จักรกล’ เองก็น่าจะไม่รู้ในด้านที่เกี่ยวข้องกับผู้ตื่นรู้ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ สักเท่าไร เพียงแต่ในตอนนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยังมีระดับสิทธิ์ไม่สูงพอจะรู้เรื่องนี้

จนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าใส่มุกราตรีสีเขียวเหลืองลงในถุงมือยางแล้วโยนไปให้เกอนาวาเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือขึ้นมาแตะเครื่องช่วยฟังที่หูตนเอง

“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงปัญหาเรื่องสุดท้ายเท่านั้น”

ปฏิบัติการ ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนไม่คิดจะติดต่อกับพวกขุมกำลังใหญ่น้อยในศิลาแดง และไม่คิดจะร่วมมือกับพวกถานเจี๋ยอีกด้วย

ความสำเร็จของเรื่องแบบนี้อยู่ที่ลงมือรวดเร็วไม่ให้ตั้งตัวประดุจสายฟ้าแลบ ยิ่งมีคนรู้มากก็ยิ่งมีโอกาสรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

หากราชาไม่มีความลับจะเสียขุนนาง ขุนนางไม่มีความลับจะเสียชีวิต เรื่องราวไม่มีความลับจะทำการไม่สำเร็จ![1]

ประวัติศาสตร์ของ ‘นาวาบาดาล’ นั้นยาวนานกว่าชุมชนศิลาแดงมากนัก การทำธุรกิจของพวกเขาจึงทำให้นิคมแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นมาได้ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ระหว่างชาวชุมชนศิลาแดงกับ ‘นาวาบาดาล’ จึงมีความสัมพันธ์กันหลากหลายรูปแบบ มีทั้งความขัดแย้ง มีทั้งความเกี่ยวข้องในทางซ่อนเร้น

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจแยกแยะมิตรศัตรูได้ชัดเจนเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ต้องการเสี่ยงให้ความลับรั่วไหล ถึงอย่างไร ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนมาก ใช้ทีมเล็กที่มีความสามารถจะตรงกับความต้องการมากกว่า

ส่วนการแจ้ง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแน่นอนว่าไม่มีทางเด็ดขาด เรื่องใหญ่ขนาดนี้มีหวังต้องถูกสั่งระงับ ห้ามลงมือแน่นอน

แม่ทัพออกศึก ไม่ต้องฟังฮ่องเต้

“ปัญหาอะไรเหรอ” หลงเยว่หงถามอย่างให้ความร่วมมือ

มือขวาของเจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังแตะเครื่องช่วยฟังในหูอยู่นั้นเลื่อนลงไปจับคาง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“มีคำกล่าวว่า จะเข้าใจศัตรูต้องมองให้กว้าง

“ก่อนหน้านี้ฉันตั้งข้อสมมติฐานไว้ว่าถ้าหากดิมาร์โก้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ที่ไม่ด้อยไปกว่าพยัคฆ์ยมราชแล้วจะทำยังไงกันดี”

ดูเหมือนว่าหลงเยว่หงยังมีผลของ ‘คนขี้ขลาด’ หลงเหลืออยู่ในร่าง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกเสียวสันหลังอยู่บ้าง

“งั้นก็ยกเลิกปฏิบัติการดีกว่า”

หลังจากที่เขาแสดงทัศนคติของตัวเองออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็เล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“มีวันหนึ่ง หลงเยว่หงได้พบกับผู้หญิงที่เขารู้สึกชอบจากใจจริง พวกเขาทั้งคู่ต่างมีใจให้กัน เพียงไม่นานก็เกิดความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง…”

“ยกตัวอย่างบ้าบออะไรเนี่ย!” หลงเยว่หงอดขัดขึ้นไม่ได้

แต่เขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าซางเจี้ยนเย่าต้องการสื่อถึงอะไร จึงอดใจฟังต่อ

“มีประเด็นอยู่น่า ใจเย็นๆ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ใช้คำพูด ‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย’ มาตอบ ก่อนจะแสดงสีหน้าเป็นเชิงขอโทษออกมาจากใจ “ต่อมาพวกเขาพบเรื่องอันตราย หญิงสาวคนนั้นกำลังจะตายเพราะปืนของคนอื่น ในตอนนั้นหลงเยว่หงรู้สึกว่าพลังของตนเองมีไม่มากพอ เขาจะเลือกทิ้งเธอไว้แล้วหนีไป หรือว่าจะยอมเสี่ยงตายแต่ไม่อยากเสียใจภายหลัง”

หลงเยว่หงอ้าปากค้าง ไม่ได้ตอบออกมา

ถึงแม้เขาจะคิดว่าเรื่องที่ซางเจี้ยนเย่าเล่ามานั้นไม่ได้เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้เท่าใดนัก แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมาห้าม

“เทียบแบบนี้ได้ที่ไหนกัน

“เรามีมุกราตรี แล้วก็มีเกอนาวาที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังพิเศษผู้ตื่นรู้โดยส่วนใหญ่ ต่อให้ต้องเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ยังไม่ถึงกับไม่มีกำลังที่จะต่อสู้ตอบโต้

“นอกจากนั้นพวกนายยังจำได้หรือเปล่า ตอนที่พ่อของดิมาร์โก้ป่วยหนักแล้วเกิดจลาจลใน ‘นาวาบาดาล’ น่ะ ตอนนั้นพวกเขาสูญเสียสมาชิกครอบครัวไปขนานหนักเลย สุดท้ายก็เลยทำให้ดิมาร์โก้กลายเป็นเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’

“ถึงแม้ฉันจะสงสัยว่าดิมาร์โก้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น เพียงแต่มันก็แสดงให้เห็นว่าในตอนนั้นดิมาร์โก้ยังไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ไม่งั้นเรื่องราวต่างๆ จะไม่พัฒนาไปในลักษณะนั้น

“พวกนายลองคิดดูสิ เป็นเพราะเหตุการณ์ในตอนนั้นก็เลยทำให้ดิมาร์โก้ผู้แข็งแกร่งสามารถปกป้องสมาชิกในครอบครัวตัวเองไม่ให้ถูกพวกกบฏ

ลงมือเข่นฆ่าได้ อีกทั้งยังสามารถสังหารครอบครัวของพวกญาติคนอื่นๆ ที่เกะกะขวางทางได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพวกกบฏเลยแม้แต่น้อย”

หลังจากพูดรวดเดียวจนจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เม้มปากแล้วทำให้ลำคอชุ่มชื่นชื้น

“นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ต่อให้ดิมาร์โก้พัฒนาไปได้เร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางเทียบพยัคฆ์ยมราชได้แน่ ฉันรู้สึกว่าอย่างมากสุดก็แค่แข็งแกร่งกว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่ทาร์นันนิดหน่อย…”

พูดมาถึงตรงนี้ก็พลันบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้น สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปสองครั้งสองครา

“มีอะไรเหรอ” หลงเยว่หงที่ยังคงหลงเหลืออิทธิพลตกค้างจาก ‘คนขี้ขลาด’ เอ่ยถามด้วยความกลัว

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบเขา สีหน้ามีความซับซ้อนเล็กน้อยในขณะที่มองซางเจี้ยนเย่า จากนั้นก็ถามอย่างครุ่นคิด

“นายยังจำได้หรือเปล่าว่าดิมาร์โก้พูดเกี่ยวกับ ‘ธชียมโลก’ ไว้ยังไงบ้าง”

ซางเจี้ยนเย่าราวกับเป็นคอมพิวเตอร์ในร่างมนุษย์ เขาพูดท่องคำพูดที่ดิมาร์โก้พูดไว้ในตอนนั้นอย่างสมบูรณ์ไม่ผิดเพี้ยน

“ผู้ครองกาลองค์อื่นไม่เหมือนกับ ‘ธชียมโลก’ ที่ชอบเฝ้ามองโบสถ์ของตัวเอง”

“ใช่ ใช่แล้ว คำอธิบายของดิมาร์โก้ก็คือ ‘ธชียมโลก’ ดูแลเรื่องความระวัง ดังนั้นพระองค์จึงแสดงถึงความระแวดระวังเป็นอย่างมาก” หลงเยว่หงนึกทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ ถามซางเจี้ยนเย่าอีกครั้ง

“นายยังจำตอนที่พวกเรารู้สึกถึงการจ้องมองของ ‘ธชียมโลก’ ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ทันได้ตอบ หลงเยว่หงก็เบิกตากว้าง

“พวกคุณเคยถูก ‘ธชียมโลก’ จ้องมองมาก่อนงั้นเหรอ”

ไป๋เฉินเองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เล่าให้พวกเขาฟังเพราะเกรงว่าพอได้ยินจะกลัวไปกันใหญ่ เธอยิ้มพลางถอนหายใจ

“ตอนนั้นพวกเราเองก็ไม่ได้มั่นใจนัก ยังคิดด้วยว่าอาจจะเป็นแค่ภาพหลอน แต่พอตอนนี้นึกถึงคำพูดของดิมาร์โก้ขึ้นมาก็รู้สึกว่ามันอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้”

การที่เธอไม่ได้ยกเหตุผลเรื่องอื่นมานั่นเป็นเพราะเธอพบตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าไป๋เฉินนั้นมักจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงปลอดภัย อีกทั้งยังไม่ชอบที่ถูกกีดกันให้เป็นคนนอก

หลงเยว่หงสูดปากร้องซี้ด

“พวกเราถูก… ถูกผู้ครองกาลจับตามอง…

“ผู้ครองกาลมีอยู่จริงๆ ด้วย…”

ไป๋เฉินหันมาเหลือบมองเขา ผงกศีรษะอย่างครุ่นคิดโดยไม่ได้พูดอะไร

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ตอบคำถามที่เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะถามไปเมื่อครู่

“ก่อนที่พวกเราจะรู้สึกถึงการจับจ้องของ ‘ธชียมโลก’ ตอนนั้นมุขนายกเรนาโต้เป็นโรคไร้ใจไปแล้ว วีลเชื่อว่านี่เป็นเพราะเขาลักลอบมีความสัมพันธ์กับคุณนายเทเรซ่า จึงถูกเทวทัณฑ์”

“ประโยคสุดท้ายนั่นไม่ต้องพูดก็ได้…” เจี่ยงไป๋เหมียนขัดเขาอย่างหน่ายใจ

จากนั้นเธอก็มองทุกคนรอบๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ถ้าหากเป็นเทวทัณฑ์จาก ‘ธชียมโลก’ จริง อย่างนั้นฉันก็คิดว่ามุขนายกเรนาโต้ก็ควรจะ ‘กลัว’ จนตายไปตรงๆ เลยมากกว่า

“อ้อ ถ้าหากสมมติว่าดิมาร์โก้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็สามารถตั้งสมมติฐานของตัวตนในระดับนั้นได้ว่าเป็นเทพจำแลง ซึ่งพอมาดูเรื่องการประเมินของเขาที่มีต่อ ‘ธชียมโลก’ กับความรู้สึกของพวกเราที่มีต่อการจับจ้องของ ‘ธชียมโลก’ มันก็มีข้อสรุปที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง”

ซางเจี้ยนเย่าช่วยเธอพูดต่อ

“เหตุที่ ‘ธชียมโลก’ มักจะเฝ้ามองโบสถ์นิกายตื่นตัวในชุมชนศิลาแดง นี่อาจไม่ได้เป็นเพราะต้องคอยดูแลเรื่องความระวังแค่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นไปได้ว่าอาจจะมีผู้แข็งแกร่งในระดับทางเดินแห่งจิตถูกสะกดเอาไว้ใต้โบสถ์ก็ได้

“การที่นิกายตื่นตัวไม่ได้เลือกสถานที่อื่นตั้งแต่แรก และเช่าเฉพาะชั้นบนของ ‘นาวาบาดาล’ มาทำเป็นโบสถ์ ก็น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้แหละ”

พูดๆ ไป ซางเจี้ยนเย่าก็ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองพูดมา

“ไม่สิ ตอนที่นิกายตื่นตัวสร้างโบสถ์ ดิมาร์โก้ยังไม่เกิดสักหน่อย”

เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ยังคงสงสัยในจุดนี้

“อย่าบอกนะว่าปู่ของดิมาร์โก้หรือปู่ทวดเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ด้วย

“ทายาทของผู้แข็งแกร่งระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ มีแนวโน้มที่จะตื่นรู้ และมีโอกาสเข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ มากขึ้นอย่างนั้นเหรอ… อืม… เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ในแต่ละรุ่นจะให้กำเนิดลูกมากมายหลายคน จากนั้นก็จะเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดให้เป็นผู้สืบทอด นี่เป็นการใช้จำนวนของทายาทมาแลกเปลี่ยนกับการตื่นรู้งั้นเหรอ ถ้าใครตื่นรู้ได้ก็จะกลายเป็นเจ้าของนาวาคนต่อไปอย่างนั้นเหรอ…

“หลังจากที่ลูกชายคนสุดท้องตาย ดิมาร์โก้ก็ระเบิดความบ้าคลั่งออกมา นี่เป็นเพราะลูกคนสุดท้องนั้นเป็นผู้ตื่นรู้ที่ฟ้าประทานมาอย่างนั้นเหรอ”

นี่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน ‘นาวาบาดาล’ ได้หลายจุด แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด

หลงเยว่หงรู้สึกว่าการคาดเดาของหัวหน้าทีมนั้นค่อนข้างใกล้เคียง เขาเอ่ยขึ้นอย่างหวั่นใจ

“แบบนี้ดิมาร์โก้ก็น่าจะเป็นตัวอันตรายสุดๆ เลยน่ะสิ อย่างงั้นพวกเราจะ…”

หากคิดจะจัดการกับเขา เกรงว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ คงจะมีความหวังเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่ก็เลยทำให้ฉันมั่นใจเพิ่มขึ้น”

“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปทางทิศเหนือ พูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

“นี่แสดงให้เห็นว่านิกายตื่นตัว หรือก็คือ ‘ธชียมโลก’ ไม่เพียงแต่จะไม่อำนวยพรดิมาร์โก้เท่านั้น ซ้ำยังจะให้ความช่วยเหลือเราในระดับหนึ่งอีกด้วย”

นี่เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญมาก

หลงเยว่หงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในใจก็รู้สึกมั่นคงขึ้นอีกไม่น้อย

“งั้นควรทำไงกันต่อ” ไป๋เฉินเอ่ยปากถาม

เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นยิ้มพูดขึ้น

“นี่มันก็เลยย้อนกลับไปจุดที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ว่า ‘ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงปัญหาเรื่องสุดท้ายเท่านั้น’

“ถ้าหากดิมาร์โก้เป็นผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ จริง งั้นเขาก็ต้องสามารถรับรู้การมีอยู่ของจิตสำนึกมนุษย์ได้ในบริเวณกว้าง เมื่อเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่จะเข้าไปในช่องระบายอากาศเลย แค่พวกเราเข้าใกล้ทางเข้าช่องระบายอากาศเขาก็รู้ตัวแล้ว

“เหอะ เหอะ ไม่ต้องคิดจะใช้ช่วงกลางคืนที่คนพักกันด้วย เพราะตอนที่ซางเจี้ยนเย่าหลับ เขาก็ยังตรวจจับสิ่งรอบตัวได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นผู้แข็งแกร่งระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากกว่านั้นอีก”

ซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมสามารถซ่อนจิตสำนึกตัวเองได้”

นี่เป็นความสามารถติดตัวของผู้ตื่นรู้ทุกคน ขอเพียงแค่ไม่ถูกค้นพบด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือพยายามใช้พลังพิเศษกับอีกฝ่าย ก็ไม่มีทางถูกตรวจพบ

เกอนาวาพูดด้วยน้ำเสียงในลำคอ

“ผมไม่มีจิตสำนึกของมนุษย์”

เมื่อไม่มีก็ย่อมไม่อาจถูกตรวจจับได้

เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“แต่ถ้ามีแค่พวกนายสองคน ก็ไม่มีทางเข้าไปในช่องระบายอากาศได้โดยไม่มีใครรู้หรอก ถึงเราจะมีไส้ศึกอยู่ข้างในสองคนก็ตาม”

[1] เป็นเนื้อหาจากคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง (อี้จิง) ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์ชุดวสันต์สารท (ชุนชิว) ของลัทธิขงจื๊อ พูดถึงว่าหากผู้ปกครองไม่เก็บความลับบางเรื่องไม่ให้ขุนนางรู้ จะเสียความไว้วางใจจากขุนนาง หากขุนนางไม่เก็บความลับบางเรื่องไว้ จะประสบหายนะ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท