รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 303 ค่ำคืนเดียวกัน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 303 ค่ำคืนเดียวกัน

ตอนที่ 303 ค่ำคืนเดียวกัน

ณ โบสถ์ตื่นตัว ใต้ดินชั้นหนึ่ง

เป็นเพราะเพิ่งมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เก๋อฃเก่อเหมียวที่นอนไม่ค่อยหลับจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

“เป็นไรไปเหรอ” เก๋อเก่อหลินผู้เป็นพี่สาวที่นอนอยู่ข้างกายเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือ

เเก่อก๋อเหมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งอึดใจ

“จะ ปะ… ไปห้องน้ำน่ะ”

ตอนแรกเธอกำลังจะพูดว่า ‘เยี่ยว’ แต่พอคิดได้ว่าผู้คุมที่ชื่อล็อคบอกว่าพอเข้ามาในนาวาแล้ว เวลาพูดต้องใช้คำสุภาพ ไม่งั้นจะทำให้มิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่พอใจ จึงต้องฝืนเปลี่ยนวิธีพูด

สำหรับคนเร่ร่อนแดนร้างที่มาจากนิคมเล็กๆ นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างฝืนไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่การที่มีอาหารกินวันละสามมื้อ มีสภาพแวดล้อมที่มั่นคงปลอดภัย เตียงอันอบอุ่นอ่อนนุ่ม และอนาคตที่ไม่ต้องแยกจากพี่สาว เรื่องพวกนี้จึงเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเอง

แม้ว่าการเรียนภาษาแม่น้ำแดงจะเป็นเรื่องน่าปวดหัว เก๋อเก่อเหมียวก็รู้สึกว่านั่นยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ยากทน แถมยังทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขด้วยซ้ำ ราวกับแต่ละคำที่เธอเรียนรู้มันคือประกายแห่งความหวังชิ้นเล็กชิ้นน้อย หากสะสมได้มากพอก็จะบรรลุความหวังได้

“พี่ไปด้วย” เก๋อเก่อหลินรู้สึกว่าถึงแม้น้องสาวจะอายุสิบห้าปีแล้ว อีกทั้งเนื่องจากนิคมถูกโจมตีจนสูญเสียพ่อแม่ไปจึงทำให้เธอกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกไม่น้อย ทว่าเธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจอยู่ดี

พี่น้องสองสาวมะงุมมะงาหราคลำทางออกจากห้องโดยใช้แสงไฟจากทางเดินที่ลอดเข้ามาตามรอยแยกของบานประตู

เพื่อไปห้องน้ำโดยอาศัยความทรงจำ

ระหว่างทางพวกเขาเจอกับยามที่ ‘นาวาบาดาล’ ส่งมาให้เดินลาดตระเวน ซึ่งหลังจากอธิบายจุดประสงค์ที่พวกตนออกมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้สร้างความยุ่งยากให้

เสียงกดน้ำดังขึ้น เก๋อเก่อเหมียวมองโถชักโครกด้วยสีหน้างุนงง

“พี่ เจ้านี่มันสะดวกดีจัง” เธอรู้สึกอารมณ์หวั่นไหวจนอดถอนใจออกมาอีกครั้งไม่ได้

เธอจำได้ว่าขนาดบ้านของผู้อาวุโสที่มีสิทธิ์มีเสียงที่สุดในนิคมก็ยังไม่มีของแบบนี้เลย

เก๋อเก่อหลินร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“วันที่ดีกำลังจะมาถึงแล้วจริงๆ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองเห็นเส้นทางในอนาคต

เธอจำได้ว่าผู้คุมที่ชื่อล็อคบอกว่ามิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่เพียงแต่จะไม่ห้ามคนรับใช้จับคู่กันเท่านั้น ซ้ำยังสนับสนุนให้ทุกคนแต่งงานมีลูกกันอีกด้วย

สองพี่น้องรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ใช้น้ำมาล้างมือ พอล้างเสร็จแล้วก็ออกจากห้องน้ำ เดินกลับไปตามทางเดิม

ในตอนที่พวกเธออยู่ห่างจากห้องนอนหกคนห้องนั้นอีกเพียงไม่กี่ก้าว ยามของ ‘นาวาบาดาล’ สองคนก็เดินลาดตระเวนผ่านมาพอดี

พวกเขานั้นมีคนหนึ่งเป็นชาวแดนธุลีผมดำตาสีน้ำตาล ผงกศีรษะให้พวกเธออย่างเป็นมิตร

หัวใจเก๋อเก่อหลินเต้นระรัว ยิ้มตอบอย่างเขินอาย

“สวัสดีตอนดึกค่ะ”

“อย่าวิ่งแบบนั้นสิ” ยามชาวแดนธุลีคนนั้นเอ่ยเตือน

“ค่ะ นายท่าน” เก๋อเก่อหลินยิ้มอย่างประจบประแจง “ต้องลำบากพวกคุณแล้ว”

ถึงแม้ว่าพี่น้องสองสาวนั้นจะไม่ได้หน้าตาดีมากนัก แต่ท่ามกลางทาสชุดนี้ก็นับว่าดีกว่าคนอื่นๆ ไม่น้อย ยามลาดตระเวนทั้งสองคนของ ‘นาวาบาดาล’ จึงไม่ได้รังเกียจ เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องเรียกแบบนั้นหรอก ไว้พอพวกเธอได้เข้าไปในนาวาเมื่อไหร่ พวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว”

เก๋อเก่อหลินรีบฉวยโอกาสนี้เอ่ยถามอย่างจริงใจ

“นายท่านทั้งสอง หนูได้ยินจากผู้คุมล็อคบอกว่าถ้าผ่านการฝึกฝนได้ก็จะสามารถเลือกงานได้ตามความสมัครใจของตัวเอง เรื่องนี้จริงหรือเปล่าคะ”

“ถูกแล้วล่ะ เพียงแต่ตัวเลือกงานจะมีจำกัด แล้วก็มีโควต้าเรื่องจำนวนคนด้วย…” ยามชาวแดนธุลีอธิบายอย่างรวบรัด

เก๋อเก่อหลินกุมมือน้องสาวมองไปยังคนทั้งสองอย่างกระตือรือร้น

“งั้นควรเลือกงานอะไรดีเหรอคะ”

ยามชาวแดนธุลีเงียบงันไปชั่วขณะ หันไปมองสหายชาวแม่น้ำแดงข้างตัว จากนั้นก็มองดูกล้องวงจรปิดเหนือศีรษะที่เป็นของโบสถ์ตื่นตัว ไม่ได้เป็นของ ‘นาวาบาดาล’ ก่อนจะพูดอย่างใคร่ครวญ

“พยายามอย่าเลือกงานใกล้ตัวมิสเตอร์ดิมาร์โก้ เขา… เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เป็นคนโมโหง่าย พอโมโหแล้ว…”

เขาไม่ได้พูดอย่างชัดเจนเพราะมีความหวาดกลัวบางอย่างราวกับหินผามาถ่วงอยู่ในใจจนหนักอึ้ง

ยามชาวแม่น้ำแดงอีกคนหนึ่งเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยเตือนเก่อเก๋อหลินเก๋อเก่อเหมียว

“คนรับใช้อย่างพวกเธอ พวกเราต้องหาเข้ามาเติมอยู่บ่อยๆ เอ่อ… ภายในนาวานั้นใหญ่มาก…”

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอีก เดินจากไปเพื่อปฏิบัติภารกิจการลาดตระเวนต่อ

เก๋อเก่อเหมียวฟังอย่างมึนๆ งงๆ หลังจากฟังจนจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

ส่วนเก๋อเก่อหลินนั้นสีหน้าเปลี่ยนแปรไปหลายครั้ง พอจะเข้าใจความนัยของอีกฝ่ายได้อย่างเลือนลาง

พวกคนรับใช้ก่อนหน้านี้ถูกมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไล่ออกเพราะความโมโหอย่างนั้นเหรอ…

ไม่สิ… ผู้คุมล็อกคบอกว่าเมื่อเข้าไปในนาวาแล้ว นอกจากจะถูกส่งออกไปจัดการกิจธุระ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถออกไปได้ หลังจากนี้ถ้ามีชีวิตอยู่ก็เป็นคนของนาวา ถึงตายก็ต้องกลายเป็นผีของนาวา…

อย่าบอกนะว่า… พวกคนใช้… พวกคนใช้ที่มาก่อนหน้านี้… ตายไปหมดแล้ว…

เก๋อเก่อหลินหวนนึกถึงดวงตาฉายแววสงสารและสีหน้าเคร่งขรึมของยามทั้งสองเมื่อครู่ ก็รู้สึกมากขึ้นทุกขณะว่าการคาดเดาของตนเองนั้นถูกต้อง

ตายหมดแล้ว… ตายกันหมด…

ฝีเท้าเก๋อเก่อหลินเริ่มซวนเซ เกิดความรู้สึกประหนึ่งหนีเสือปะจระเข้

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคนเร่ร่อนแดนร้างอย่างตนเองกับน้องสาวนั้นไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร สามารถมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ถ้าหากครั้งนี้ไม่สามารถเข้าไปในนาวาได้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องถูกขายไปที่ไหน กลายเป็นโสเภณี ทุกข์ทรมานจนสิ้นลม แต่คงไม่มีใครที่ไม่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นใช่ไหมล่ะ

เมื่อกลับเข้ามาถึงห้อง ปีนขึ้นเตียงไปอย่างเงียบเชียบ

เก๋อเก่อหลินมองดูน้องสาวที่ผล็อยหลับไปแล้วก็บังเกิดความโศกเศร้ารุนแรงเอ่อล้นออกมาจากภายในจนไม่อาจทานทน

เธอซุกหน้ากับผ้าห่ม ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย

ทางเดินด้านนอก ยามนาวาสองคนเมื่อครู่เหลือบมองกันพลางทอดถอนใจเบาๆ

“เฮ้อ…”

* * * * *

“เฮ้อ…”

ใต้ดินชั้นสอง ด้านข้างปากทางช่องระบายอากาศ อวี๋เทียนถอนหายใจอย่างเงียบๆ

หลังจากเขากับโปเต้กลับเข้าไปในนาวาตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะตื่นเต้นมาก อยากจะระดมทุกคนที่รู้จักให้ร่วมมือกับนิกายตื่นตัวเพื่อล้มล้างระบอบดิมาร์โก้ที่โหดร้าย ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น

นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่มีความมั่นใจมากนัก อีกทั้งช่วงนี้ก็ไม่ได้รับความกดดันจากดิมาร์โก้เท่าไร จึงขาดชนวนที่จะใช้กระตุ้นดินระเบิด

และเมื่อนึกถึงที่อีกฝ่ายบอกกับตนเองว่าเขาทั้งคู่ต้องทำเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น อวี๋เทียนกับโปเต้จึงให้ความร่วมมือในระดับหนึ่ง รอดูความคืบหน้าต่อไป

ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี พวกเขาก็จะเข้าร่วมอย่างไม่ลังเล

อวี๋เทียนทอดถอนใจไม่ทราบว่าเรื่องราวจะประสบความสำเร็จหรือไม่ กอปรกับเมื่อครู่ได้สบตาสาวใช้คนหนึ่งจึงรู้สึกหัวใจไหวหวั่น

พ่อของเขาเป็นยามเก่าแก่คัดค้านเรื่องนี้หัวชนฝาเพราะว่าสาวใช้คนนั้นยังมีสมาชิกครอบครัวสายตรงซึ่งต่างก็เป็นคนรับใช้

เช่นกัน

ใน ‘นาวาบาดาล’ นั้น พวกยามนับได้ว่าเป็นตัวตนที่มีสถานภาพที่ค่อนข้างพิเศษ พวกเขาแทบจะไม่ถูกสังหารอันเนื่องมาจากความโหดร้ายของดิมาร์โก้ รวมไปถึงครอบครัวด้วยเช่นเดียวกัน

นี่จึงทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งซึ่งกลุ่มคนรับใช้หมายปอง หวังจะได้เหรียญทองคุ้มภัยเพื่อปกป้องชีวิต

พวกยามเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้เท่าใดนัก

เพราะหลังจากคนรับใช้แต่งงานกับยามแล้วจะได้รับการผ่อนปรนจากดิมาร์โก้ในระดับหนึ่งก็จริง แต่พวกเขาก็ยังมีสมาชิกครอบครัวสายตรงอยู่ หากสมาชิกครอบครัวเหล่านั้นทำอะไรผิดหรือกระตุ้นโทสะดิมาร์โก้ก็จะถูกฆ่าอย่างทารุณ ซึ่งตามนิสัยของดิมาร์โก้แล้วก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะลงมือกับครอบครัวของยามที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อขจัดอันตรายที่แฝงเร้นอยู่

ดังนั้นการแต่งงานกันเองในกลุ่มพวกยามจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

นี่ทำให้ยามจำนวนไม่น้อยรู้สึกถึงความมีสถานภาพที่เหนือกว่า

ทว่าเรื่องของหัวใจนั้น ความรู้สึกย่อมอยู่เหนือเหตุผล

อวี๋เทียนเกิดความกังวลในเรื่องนี้ การลงมือของนิกายตื่นตัวจึงทำให้เขามองเห็นความหวังรำไร

ระหว่างที่ความคิดมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัว ตัวเขาที่กำลังถือปืนกลมือก็หันหน้าไปมองโปเต้ผู้เป็นสหาย พบว่าอีกฝ่ายมีความตึงเครียดกังวลใจอยู่บ้าง

อวี๋เทียนสั่นศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นเพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลใจไป

ไม่แน่ว่านิกายตื่นตัวอาจจะเลิกล้มแผนการไปแล้วก็ได้…

ขณะที่เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ผ่านช่องระบายอากาศซึ่งมีลูกกรงโลหะขวางไว้ มีกล้องวงจรปิดสามตัวติดตั้งอยู่ในบริเวณนี้อย่างไม่มีจุดอับสายตา ใต้กล้องวงจรปิดแต่ละตัวก็มียามอีกสองคนคอยเฝ้าอยู่ตามปกติ

พวกเขามีกันทั้งหมดสี่คน ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สามคนเป็นชาวแม่น้ำแดง อีกหนึ่งเป็นชาวแดนธุลี ทั้งหมดสวมเครื่องแบบสีเขียวมะกอกถือปืนกลมือรุ่นล่าสุด

จากมุมที่อวี๋เทียนกับโปเต้มองไป การป้องกันเช่นนี้ยังไม่ถึงกับเป็นกำแพงเหล็กยากทะลวง แต่ก็ใช่ว่าจะบุกเข้ามาได้ง่ายๆ ผู้บุกรุกจะต้องเผชิญกำลังเสริมที่ส่งออกมาจากห้องตรวจตราอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

แล้วในขณะนี้เอง ต่อหน้าต่อตาพวกเขาก็บังเกิดประกายไฟฟ้าสีเงินสว่างวาบขึ้นมา

ไฟฟ้าลัดวงจรงั้นเหรอ…

นี่คือความคิดแรกที่แว่บขึ้นมาในหัวของอวี๋เทียนกับโปเต้

ในขณะเดียวกัน ในห้องเฝ้าสังเกตการณ์ที่ใต้ดินชั้น 6 ยามสองคนที่ผลัดเวรมารับผิดชอบก็มองเห็นประกายไฟฟ้าผ่านหน้าจอเช่นกัน ก่อนที่ภาพจะหายไปกลายเป็นหน้าจอสีดำมืด

“ยามในพื้นที่ B3 ไปตรวจดูว่ากล้อง B12 มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบเรื่องการตรวจตรารีบใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ซื้อจาก ‘สวรรค์จักรกล’ ติดต่อไปสั่งซื้ออุปกรณ์ตัวใหม่ทันที

เสียงของเขาดังขึ้นในหูของอวี๋เทียนและคนอื่นๆ ผ่านลำโพงในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง

อวี๋เทียนแหงนหน้ามองกล้อง B12 พบว่าจุดอินเทอร์เฟซที่เชื่อมต่ออุปกรณ์มีรอยไหม้

ทันใดนั้นเขาก็เห็นมือโบกให้ตนเองผ่านช่องว่างด้านหลังลูกกรงโลหะของช่องระบายอากาศ

รูม่านตาอวี๋เทียนขยายออกทันที

จากนั้นก็ค่อยๆ ละสายตากลับมาตามสัญชาตญาณ

วินาทีถัดมา ประกายไฟฟ้าก็สว่างวาบขึ้นมาอีกสองครั้ง

ในห้องตรวจการณ์ คนที่เพิ่งพูดผ่านลำโพงเมื่อครู่นี้เห็นว่าภาพจากกล้อง B10 B11 ก็หายไปด้วย

ก่อนที่เขาจะสั่งการเพิ่มเติม อวี๋เทียนก็รู้สึกตัวและใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดไว้ใต้ปกเสื้อพูดตอบกลับ

“กล้องสามตัวที่จุดนี้เสีย น่าจะเกิดปัญหาที่วงจร”

ในตอนนี้เขาพบว่าตัวเองกลับสงบเยือกเย็นกว่าที่คิดไว้

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องไปทำเรื่องอันตราย เพียงแค่รายงานไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นออกไปตามตรงเท่านั้น

“พวกนายลองไปตรวจดูหน่อย ฉันจะรีบส่งคนไปซ่อมให้” ชายที่อยู่ในห้องตรวจการณ์คนนั้นปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรฐาน

อวี๋เทียน โปเต้ และยามอีกสองกลุ่มแยกกันไปตรวจสอบอย่างเชื่อฟัง

ในระหว่างขั้นตอนนี้ อวี๋เทียนกับโปเต้เจตนายึดบริเวณใต้ช่องระบายอากาศไว้ เพื่อให้คนที่เหลือไปที่จุดอื่น จะได้ยืนหันหลังให้ทางด้านนี้

ลูกกรงของช่องระบายอากาศค่อยๆ ขยับออกไปอย่างเงียบเชียบ

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงปากยื่นขนดกและเจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามทยอยกระโดดลงมาทีละคน

พวกเขาไม่มีทางขจัดเสียงกระทบพื้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขามีไส้ศึกที่คอยช่วยทำเสียงต่างๆ เพื่อปกปิดอำพรางความเคลื่อนไหวเป็นระยะ

ซางเจี้ยนเย่าไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เผ่นโผนโจนทะยานประดุจพยัคฆ์ลงจากภูเขา พุ่งเข้าใส่ยามทั้งสองคนที่กำลังตรวจสอบกล้องโดยหันหลังมาทางนี้

พลั่ก! พลั่ก!

เขาสับแขนซ้ายขวาลงไปที่กกหูของเป้าหมายทั้งสอง

อีกด้านหนึ่งนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ทำให้ยามอีกสองคนสุดท้ายหมดสติได้อย่างง่ายดาย แล้วจัดการให้พวกเขา ‘นั่ง’ พิงผนังโดยไม่เกิดเสียงกระแทกพื้น

หลังจากจัดการเรื่องพวกนี้จนเสร็จสิ้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ส่งสัญญาณไปที่ช่องระบายอากาศ

เกอนาวาหุ่นยนต์สีดำเงินสวมเสื้อเชิ้ต ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงิน เขากระโดดลงมาทำให้เกิดเสียงดังเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นมา เปิดนิ้วโลหะออกแล้วเสียบเข้าไปในอินเทอร์เฟซที่เกี่ยวข้องของกล้อง B12

ที่ด้านหลังของเขา ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารก็เข้ามาใน ‘นาวาบาดาล’ ทีละคน

อวี๋เทียนและโปเต้ต่างรู้สึกประหวั่นแต่ก็โล่งใจในเวลาเดียวกัน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท