รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 304 บุกตะลุย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 304 บุกตะลุย

ตอนที่ 304 บุกตะลุย

สำหรับอวี๋เทียนกับโปเต้แล้ว ผู้แข็งแกร่งจาก ‘นิกายตื่นตัว’ ได้ทำตามคำพูด มาตามสัญญา ทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้น แต่ว่าตระกูลของดิมาร์โก้นั้นปกครอง ‘นาวาบาดาล’ มานานหลายทศวรรษ สั่งสมอำนาจไว้มากมาย หากยังไม่ถึงอรุณรุ่ง พวกเขาก็ยังคงกังวลไม่อาจวางใจ

ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้น หันกลับมามองพวกเขา ยกนิ้วชี้ขึ้นมาขวางไว้ที่ริมฝีปาก

นี่นับเป็นภาษากายชนิดหนึ่งที่ใช้กันทั่วไป อวี๋เทียนกับโปเต้จึงปิดปากสนิท ไม่กล้าเอ่ยถาม

ในขณะเดียวกันไป๋เฉินที่ถือปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ และปืนกลมือ ‘คอสั้น’ ไว้ในมือกับหลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารก็นั่งยองลงไป ปลดเข็มขัดคนที่หมดสติออกมา จับสองมือไขว้หลังมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

พวกเขายังใช้ผ้าที่เตรียมไว้ยัดใส่ปากยามทั้งสี่แล้วดึงกางเกงลงมาจนถึงข้อเท้า

ด้วยวิธีนี้ก็ไม่ต้องคอยพะวงว่าหลังจากที่คนเหล่านี้ฟื้นขึ้นมาแล้วจะร้องตะโกนหรือหลบหนีไปไหนได้

ถึงแม้ ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ของเจี่ยงไป๋เหมียนจะมีเงื่อนไขว่าต้องจู่โจมอย่างรวดเร็ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่ปฏิบัติการจะสิ้นสุดลงก่อนที่ยามพวกนี้จะฟื้นขึ้นมาแล้วไปแจ้งทางนาวาก็ตาม แต่ล้อมคอกก่อนวัวหายย่อมประเสริฐกว่า เพราะสุดท้ายก็ไม่มีใครบอกได้ว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุพลิกผันหรือไม่

จนกระทั่งไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจัดการงานจนเสร็จสิ้น เกอนาวาที่ใช้มือหนึ่งยึดเกาะติดผนังไว้อย่างเหนียวแน่นก็ดึงนิ้วที่เสียบครึ่งหนึ่งลงไปในพอร์ตของกล้อง B12 กลับมา

แสงสีน้ำเงินในดวงตาเขากะพริบวูบวาบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอีกสิบยี่สิบวินาทีก็เอานิ้วเสียบกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง

เพียงไม่นานเขาก็ชักมือกลับมา นำกล้อง B12 ใส่กลับเข้าไปในส่วนเชื่อมต่อดังเดิม จากนั้นก็ซ่อมส่วนที่เสียหายจากการถูกไฟฟ้าช็อต

หลังจากจัดการซ่อมแซมกล้อง B10 และ B11 เสร็จเรียบร้อย เกอนาวาก็กระโดดลงมาที่พื้นอย่างนุ่มนวล

เขาพูดอย่างรวดเร็วแต่ชัดถ้อยชัดคำ

“ผมวิเคราะห์ระบบของนาวาเสร็จแล้ว สร้างชุดคำสั่งไวรัส และใส่เข้าไปบุกรุกระบบเรียบร้อย

“อีกสามสิบวินาที กล้องทั้งหมดจะรีสตาร์ทตัวเอง วิดีโอจะถูกเล่นภาพในช่วงสิบห้านาทีก่อนหน้านี้วนซ้ำไปเรื่อยๆ ตัวเลขเวลาจะถูกแทนที่ด้วยเวลาปัจจุบัน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในห้องตรวจการณ์ก็จะเห็นว่าทุกสถานที่ภายในนาวานั้นเป็นปกติเหมือนเมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้านี้

เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว

แน่นอนว่าหากให้เล่นภาพซ้ำๆ นานเกินไปก็จะทำให้คนอื่นๆ พบปัญหาได้ แต่ ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ นั้นไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น

“เข้าใจแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง กดเสียงพูดกับอวี๋เทียนและโปเต้ “พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าจะต้องรายงานยังไง”

อวี๋เทียนกับโปเต้มองสบตากันแล้วผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เกอนาวาเพิ่งจะพูดไปเท่าใดนัก แต่นั่นก็ยังคงทำให้พวกเรารู้สึกว่ามันช่างสุดยอดเหลือเกิน

เดิมทีพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าระบบป้องกันของ ‘นาวาบาดาล’ นั้นแม้แต่แมลงวันสักตัวก็ไม่สามารถเล็ดรอดเข้าไปได้ ผู้บุกรุกไม่มีทางบุกโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัว ทำได้เพียงต้องต่อสู้เผชิญหน้าเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าผู้แข็งแกร่งของนิกายตื่นตัวเพียงไม่กี่คนที่อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของตัวเองกับหุ่นสมองกลอีกหนึ่งตัวก็สามารถจัดการระบบตรวจการของกล้องวงจรปิดได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทำให้ใครรู้ตัว แถมยังทำให้พวกมันกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปอีกด้วย

ความมั่นใจของอวี๋เทียนกับโปเต้เพิ่มเป็นทวีคูณ

พวกเขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าปฏิบัติการโค่นล้มระบอบเผด็จการของดิมาร์โก้มีโอกาสไม่น้อยที่จะทำได้สำเร็จ!

เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาแล้ว อวี๋เทียนก็จับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ปกเสื้อขึ้นมารายงาน

“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ พวกเราลองจับนู่นแก้นี่ไป น่าจะใช้ได้ล่ะ”

ยามในห้องตรวจการณ์กำลังจะถามรายละเอียดที่เกี่ยวข้องก็เห็นว่าหน้าจอของกล้องวงจรปิดสามตัวที่ดับไปพลันสว่างขึ้นมา ทำให้เห็นสถานการณ์ของพื้นที่บริเวณ B3 อีกครั้ง

ยามทั้งสามกลุ่มรวมหกคนยืนทำหน้าที่ตัวเอง ทุกอย่างเป็นปรกติ

“ดีแล้ว งั้นฉันจะได้ไม่ต้องรีบส่งช่างไปซ่อม แต่เดี๋ยวไว้ต้องไปตรวจสอบอีกที จะได้ไม่เสียอีก” ยามที่รับผิดชอบตอบกลับผ่านการสื่อสารระหว่างพื้นที่

ปิดไว้ได้จริงด้วย… อวี๋เทียนกับโปเต้มองหน้ากันอีกครั้ง ต่างก็เห็นความแปลกใจในสายตาของอีกฝ่าย

ซางเจี้ยนเย่าเดินไปข้างหน้าพวกเขา ดึงหน้ากากลิงปากยื่นขนดกลงมาปิดหน้าพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”

เขายังพูดไม่จบก็ยกมือขวาขึ้นมาแล้ว

อวี๋เทียนกับโปเต้ตกตะลึงไปในคราแรกแต่แล้วก็เข้าใจสาเหตุ ต่างก็หันหลังให้ทีละคน เผยตำแหน่งหลังหูให้ปรากฏต่อสายตาซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าสับสันมือลงไปที่พวกเขาทีละคนด้วยแรงที่เหมาะสม

อวี๋เทียนกับโปเต้รู้สึกมึนงงแต่ไม่ถึงกับสิ้นสติไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาถือโอกาสลงไปนอนกับพื้น

ระหว่างขั้นตอนนี้พวกเขาค่อยๆ ลงไปนอนอย่างนุ่มนวลและพิถีพิถัน เหมือนกลัวว่าจะเจ็บตัว

ถ้าหากปฏิบัติการของนิกายตื่นตัวไม่ประสบความสำเร็จ เช่นนั้นพวกเขาก็จะบังคับให้ตัวเองหลับไปจริงๆ แต่ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี พวกเขาจะลุกขึ้นไปปลุกยามคนอื่นๆ เพื่อไปช่วยนิกายตื่นตัวจัดการเรื่องราวต่อจากนี้ และได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่

หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็ยื่นมือขวาไปหาเกอนาวา

เกอนาวาหยิบถุงมือยางที่ใส่มุกราตรีสีเขียวเหลืองออกมาโยนให้

ซางเจี้ยนเย่าใช้มือซ้ายคีบลูกปัดขนาดเท่าตาปลาออกมาแล้วยัดถุงมือยางเข้าไปเก็บในกระเป๋าเสื้อ

“เตรียมตัว” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นแล้วก็สูดหายใจลึก ออกคำสั่ง

ไป๋เฉินหยิบปืนกลมือ ‘คอสั้น’ ขึ้นมา ก้มลงเล็กน้อยพร้อมออกวิ่งได้ทุกเมื่อ

หลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเดินไปหน้าไป๋เฉิน และอยู่ในท่าที่คล้ายคลึงกัน

ด้านหน้าห่างออกไปคือเจี่ยงไป๋เหมียนที่ถือบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ไว้ด้วยมือข้างเดียว กับหุ่นยนต์สีดำเงินเกอนาวาที่เตรียมปืนเลเซอร์กับเครื่องยิงลูกระเบิดไว้พร้อมแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่หน้าสุดถอนหายใจด้วยความเศร้าเล็กน้อย

“น่าเสียดายที่เปิดเพลงไม่ได้…”

นั่นเป็นเพราะจะไม่มีการใช้ลูกเล่นกลอุบายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งก็คือการบุกตะลุยเข้าไปตรงๆ ตลอดทาง จะต้องเด็ดหัวดิมาร์โก้ให้ได้ก่อนที่กำลังพลส่วนใหญ่ของ ‘นาวาบาดาล’ จะตอบโต้ ถ้าระหว่างทางยังเปิดเพลงไปด้วยนั่นย่อมต้องดึงดูดความสงสัยของทีมตรวจการณ์อย่างแน่นอน

‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่คิดจะกลับเข้าไปในช่องระบายอากาศเพื่อลงไปจนสุดทาง เพราะนั่นจะใช้เวลามากขึ้น หากยิ่งล่าช้าไปเพียงใดก็ยิ่งมีโอกาสเกิดเหตุพลิกผันมากขึ้นเท่านั้น

“ดิมาร์โก้พักอยู่ใต้ดินชั้น 6 ในเขต C ที่นั่นมีเพียงแค่ห้องเดียว โดยปกติจะพักอยู่ที่นั่น แทบจะไม่เปลี่ยนที่เลย… เขต C มีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารรุ่นล่าสุดสองชุด มียามติดอาวุธแปดทีมรวมสิบหกคน กับ ‘ที่ปรึกษา’ สองคนที่มีพลังพิเศษ… เขต A เป็นที่พักของภรรยาส่วนใหญ่ของดิมาร์โก้… เขต B ตอนนี้เป็นของภรรยาคนที่กำลังตั้งครรภ์ลูกดิมาร์โก้ ห้องตรวจการณ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย…

“ไม่มีลิฟต์ที่ตรงไปเขต C โดยตรง จะต้องไปที่เขต A ก่อน แล้วใช้เขต B เพื่อผ่านไปยังเขต C…

“ภายในห้องดิมาร์โก้ดูเหมือนจะมีเส้นทางลับไว้หลบหนี มีลิฟต์ส่วนตัวอยู่ในนั้น…”

เนื้อหาที่อวี๋เทียนกับโปเต้อธิบายไว้ฉายวาบขึ้นมาในหัวเจี่ยงไป๋เหมียนทีละเรื่องทีละเรื่องๆ สุดท้ายก็เป็นภาพของดิมาร์โก้สวมชุดนักบวชสีดำของโลกเก่า

“เริ่มได้!” เธอตะโกนเสียงต่ำ วิ่งออกจากเขต B3 ของใต้ดินชั้นสอง

ตึก! ตึก! ตึก!

ซางเจี้ยนเย่าถือมุกราตรีสีเขียวเหลืองไว้ในมือซ้ายวิ่งนำเข้าไปในเขต B2

พวกยามเหล่านั้นยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองก็พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างสุดพรรณนา รีบแยกย้ายไปตามหัวมุมอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ พากันตัวสั่นงันงกอยู่อย่างนั้น

พวกเขาทั้งหมดกลายเป็น ‘คนขี้ขลาด’

นอกจากความหวาดกลัวแล้วพวกเขาก็ไม่หลงเหลือความคิดอื่นใด!

ซางเจี้ยนเย่าใช้พลังเกือบทั้งหมดเพื่อกระตุ้นอิทธิพลของมุกราตรีเพื่อให้ผลของ ‘คนขี้ขลาด’ อยู่ได้นานมากขึ้น

หลังจากที่ได้ทดลองไปก่อนหน้านี้ พวกเขายืนยันได้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผลกระทบจากอะไรเพิ่มเติม จะสามารถคงสภาวะนี้ไว้ได้นานสุดหนึ่งนาทีครึ่ง

ตึก! ตึก! ตึก!

‘ทีมสำรวจเก่า’ พุ่งทะยานตรงไปยังตำแหน่งลิฟต์ ตลอดเส้นทางนั้นบรรดายามทั้งหลายต่างก็แยกตัวราวกับแหวกกระแสน้ำ ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

พวกเขาไม่มีใครส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยเพราะเกรงว่าจะทำให้ตนเองตกเป็นเป้าหมาย พวกเขาต้องการเพียงแค่หาสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เข้าไปแอบซ่อนซุกตัวจนกว่าสิ่งน่ากลัวจะผ่านพ้นไป

ตึก! ตึก! ตึก!

‘ทีมสำรวจเก่า’ ใช้เวลาไปเพียงแค่สิบวินาทีก็พุ่งเข้าไปถึงลิฟต์แล้ว

ในระหว่างนี้ พวกเจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็รักษาระยะห่างและตำแหน่งหน้าหลังอย่างเคร่งครัด ด้านหนึ่งก็เพราะกังวลว่าจะถูกจู่โจมกระทันหัน ถูกกวาดล้างไปรวดเดียวยกทีม อีกด้านหนึ่งก็คือถ้าหากออกห่างจากซางเจี้ยนเย่ามากเกินไปก็จะตกอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากพลังของมุกราตรี

ในขณะนี้ ลิฟต์สีดำเทาสามตัวจอดอยู่อย่างเงียบเชียบเบื้องหน้าพวกเขา มันดูหนาเทอะทะมาก

เกอนาวาได้ปล่อยไวรัสที่เขาเขียนขึ้นมาเข้าไปในระบบของ ‘นาวาบาดาล’ แล้ว ดังนั้นหลังจากเข้าไปในลิฟต์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรรูดหรือป้อนรหัสผ่านอีก เพียงแค่กดปุ่มที่ตรงกับใต้ดินชั้น 6 ไฟที่ปุ่มก็สว่างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

ประตูลิฟต์เคลื่อนปิดลงอย่างช้าๆ ต่อหน้าหลงเยว่หง และใช้เวลาเพียงสองสามวินาทีก็เปิดออกอีกครั้ง

ด้านนอกเป็นโถงทางเดินที่ปูด้วยพรมสีน้ำตาลอ่อน สองข้างทางเป็นห้องมากมาย

จากแผนผังที่อวี๋เทียนโปเต้ให้มา ซางเจี้ยนเย่าถือมุกราตรีสีเขียวเหลืองซึ่งอ่อนแสงลงไปไม่น้อย รีบนำทางตรงรี่เข้าไปในบริเวณนี้

ใบหน้าเขาซ่อนอยู่ใต้หน้ากากลิงเจ้าเล่ห์จึงไม่มีใครมองเห็นสีหน้า

ในขณะนี้ ผู้คนในพื้นที่แถบนี้ที่อยู่ในห้วงนิทราต่างก็ประสบฝันร้ายอย่างไม่อาจควบคุม บางคนก็พยายามดิ้นรน บิดตัวกลิ้งไปกลิ้งมา บางคนก็ผวาตื่นขึ้นมาหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

ยามลาดตระเวนทั้งหลายล้วนไม่ต่างไปจากเพื่อนร่วมงานของตนในใต้ดินชั้นสอง แต่ละคนต่างไปหาที่ซ่อนตัว บ้างก็หลบมุมตัวสั่นเทา บ้างก็คว้าผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้อย่างมิดชิด

นี่ย่อมเกิดความเคลื่อนไหวในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เด่นชัดมากเกินไป

ภายในห้องตรวจการณ์ ยามที่รับผิดชอบกำลังเฝ้ามองหน้าจอที่เรียงรายอยู่เต็ม พวกเขาตั้งใจตรวจตราอย่างระมัดระวัง ยืนยันได้ว่าไม่มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น สถานการณ์เหมือนกับเมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้า

เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน

แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกเหมือนมีภูติผีจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่รอบตัว รู้สึกเหมือนว่าเพื่อนพ้องต้องการสังหารตนเอง

ความกล้าของพวกเขามลายหายไปหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว แต่ละคนรีบผุดลุกจากที่นั่ง วิ่งไปหาสถานที่ที่สามารถซ่อนตัวได้

ตึก! ตึก! ตึก!

‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งห้าคนวิ่งไปยังเขต C ของใต้ดินชั้นหก

ตั้งแต่พวกเขาเริ่มออกวิ่งฝ่าทะลวงเข้ามา เพิ่งจะผ่านไปเพียงสี่สิบกว่าวินาทีเท่านั้น

ณ เขต C ใต้ดินชั้น 6

ยามสองคนที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารวิ่งหนีไปก่อน เหลือเพียงแค่พวกซางเจี้ยนเย่าที่ถูกทิ้งไว้

ชายวัยกลางคนสองคนที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ตื่นรู้นั้นยังไม่ทันตรวจจับว่ามีจิตสำนึกของมนุษย์เข้ามาใกล้

ก็รีบวิ่งไปยังทางที่ปลอดภัย กลิ้งม้วนตัวเผ่นขึ้นบันไดไปเหมือนเป็นวิหคหวาดเกาทัณฑ์ นั่นเป็นเพราะพลังของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าพลังของมุกราตรีสีเขียวเหลืองมาก

คนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกระจายตัวไปอย่างรวดเร็ว

การป้องกันอันแข็งแกร่งที่น่าภาคภูมิใจของ ‘นาวาบาดาล’ สูญหายไปจนหมดสิ้นภายในเวลาเพียงแค่ไม่ถึงสามวินาที

“ในห้องมีแค่คนเดียว!” เจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง

เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดการเคลื่อนไหวอีกต่อไป

ซางเจี้ยนเย่าซึ่งวิ่งนำอยู่หน้าสุด ถือว่าคนในห้องนั้นเป็นเป้าหมายหลักของ ‘คนขี้ขลาด’ มาตลอด ในตอนนี้ก็ยิ่งไม่ลดความผ่อนคลาย

ตึก! ตึก! ตึก!

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมชุดลายพรางสีน้ำเงินเทา ห้อตะบึงไปที่ประตูห้องดิมาร์โก้ แล้วส่งลูกเตะกระแทกประตูไม้สีแดงเข้มให้เปิดออก

เขาไม่ได้ติดตามเข้าไป แต่กลับเด้งตัวกลับมาแล้ววิ่งถอยหลังไปสองสามก้าว

เจี่ยงไป๋เหมียนที่ตามหลังมาติดๆ รีบ ‘เบรก’ แล้วยกปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ เล็งไปในความมืดมิดของประตู เป้าหมายคือมนุษย์ที่อยู่ข้างใน

เธอยิงจรวดออกไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น

เสียงกึกก้องดังไปทั่วทั้งใต้ดินชั้นหก เปลวอัคคีปะทุโชติช่วง

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบฉากหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงจากระเบิด

เกอนาวา หลงเยว่หง รอจน ‘คลื่นกระแทก’ หมดไปแล้วจึงเข้ามายังหน้าประตูทันที ก่อนจะกระหน่ำยิงระเบิดเข้าไปในห้อง

ลูกระเบิดสี่ลูกพุ่งไปสี่ทิศ ครอบคลุมบริเวณทั้งหมด ไม่เหลือจุดบอดแม้แต่น้อย

ตูม! ตูม!

ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังต่อเนื่อง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ปฏิบัติการ ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ระลอกแรกเสร็จสิ้น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท