ตอนที่ 305 ศพ
ภายใต้การหนุนเสริมจากมุกราตรีสีเขียวเหลืองจึงทำให้ปฏิบัติการเด็ดหัวของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ดำเนินไปอย่างราบรื่น แทบไม่พบอุปสรรคใดๆ ก็สามารถบุกทะลวงเข้าไปยิงถล่มหน้าประตูห้องของดิมาร์โก้ถึงสองรอบ
ภายใต้ ‘พายุเพลิง’ นั้น สภาพภายในห้องพินาศยับเยิน
ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจตรวจสอบได้ว่ายังมีสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนอยู่หรือไม่
ถึงแม้ว่าจากการยิงถล่มในครั้งนี้สามารถใช้สามัญสำนึกอนุมานผลลัพธ์ออกมาได้ก็ตาม ขอเพียงคนที่อยู่ในห้องนั้นไม่ใช่ตัวตายตัวแทนของดิมาร์โก้ เช่นนั้นเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ผู้นี้ก็ย่อมต้องประสบคราวเคราะห์อย่างแน่นอน ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยังไม่อาจวางใจ เพราะเธอคาดไว้ว่าดิมาร์โก้นั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ต่อให้ยังไม่ถึงขั้น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่ทาร์นันตนนั้น แต่ก็ไม่น่าจะตายง่ายดายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้
นี่จึงทำให้เธอยังคงไม่ผ่อนคลายลง ทั้งยังเพิ่มระดับความระวังให้สูงขึ้นด้วย
รอจนการระเบิดสงบลงเธอก็รีบหมุนตัวกลับมาทันที แล้วพุ่งตรงเข้าไปในห้องของดิมาร์โก้
ตึก! ตึก! ตึก!
ร่างในเครื่องแบบลายพรางสีน้ำเงินเทาพุ่งผ่านแซงเธอเข้าไปในซากบานประตูที่พังยับเยิน
ซางเจี้ยนเย่า!
เขายังคงเป็นหัวหอกบุกทะลวงเช่นเดิม
แล้วในตอนนี้ก็พลันมีลูกระเบิดสองลูกถูกขว้างออกมาจากสุดทางเดินของเขต C
เจี่ยงไป๋เหมียนที่รับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เธอเลิกตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าภายในห้อง รีบตรงไปข้างหน้าแล้วพุ่งม้วนตัวเข้าไปข้างในเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี
เกอนาวากับหลงเยว่หงใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เหมือนๆ กัน จึงค้นพบศัตรูที่เข้ามาใกล้ได้ล่วงหน้า พวกเขามีหนึ่งคนกระโดดขึ้นไปเกาะเพดานสูงสี่ห้าเมตร ห้อยตัวลอยต่องแต่ง ส่วนอีกคนผลักไป๋เฉินเข้าไปในห้องดิมาร์โก้ตามหลังเจี่ยงไป๋เหมียน จากนั้นตัวเองก็ตามไปติดๆ แม้ว่าหลงเยว่หงจะตื่นเต้นกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
ตูม!
ระเบิดทั้งสองลูกหล่นลงในตำแหน่งที่ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนยืนอยู่เมื่อครู่ เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกรอบ
สำหรับหุ่นสมองกลอย่างเกอนาวาแล้ว ขอเพียงไม่ได้ถูกโจมตีโดยตรง การโจมตีอย่างเรียบง่ายนั้นยากที่จะทำให้เขาเสียหายร้ายแรง อย่างมากสุดก็เพียงแค่ต้องเสียวัตถุปัจจัยไปจ่ายเป็นค่าแรงทำสีให้เขาใหม่เท่านั้นเอง
ดังนั้นเขาที่กำลังห้อยโหนตัวอยู่บนเพดานจึงเพียงแค่แกว่งไปแกว่งมาไม่กี่ทีจาก ‘คลื่นกระแทก’
แล้วในตอนนี้เขาก็มองเห็นรูปลักษณ์ของผู้ที่โจมตีได้อย่างชัดเจน
มันเป็นหุ่นยนต์สีดำโลหะตัวหนึ่ง ดวงตาเรืองแสงสีแดง
‘นาวาบาดาล’ นั้นยึดครองจุดขนถ่ายชุมชนศิลาแดงแห่งนี้มานานปี จึงสั่งสมเอาไว้ไม่น้อย การป้องกันที่ซุ่มซ่อนเอาไว้นับว่าทำให้ผู้คนตระหนกมิใช่น้อย
เกอนาวาเปรียบเทียบลักษณะต่างๆ เพียงแว่บเดียวก็ระบุได้ว่าผู้โจมตีนั้นเป็นหุ่นยนต์ ‘สมองกล’ รุ่นเก่า
นี่เป็นหุ่นยนต์ ‘อัจฉริยะ’ ที่ผลิตจากกรรมวิธีของโลกเก่า ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ ‘หุ่นสมองกล’ ของ ‘สวรรค์จักรกล’
ในสายตาเกอนาวา สิ่งที่ไม่มีโมดูลมนุษย์ติดตั้งไว้เช่นนี้ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากหุ่นยนต์ซ่อมบำรุงที่สามารถแปลงเป็นรถได้หรือหุ่นยนต์ประเภทต่อสู้ที่ไม่มีสมองกลที่อยู่ในทาร์นันแม้แต่น้อย
เขาไม่มีวันยอมรับว่านี่เป็นหุ่นสมองกล
“ผมจะรับมือด้านนอกนี่เอง!” เขาใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลภายในเพื่อจำลองน้ำเสียงสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
ร่างเขาแกว่งไปมาราวกับโยกชิงช้าจากนั้นก็โยนตัวพุ่งออกไปเป็นระยะทางสั้นๆ ลงไปยืนอยู่ด้านหน้าหุ่นยนต์สีดำโลหะ
ในเวลานี้หุ่นยนต์สีดำโลหะกำลังวิ่งไปยังห้องของดิมาร์โก้ตามหน้าที่
เกอนาวาเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อปะทะกับหุ่นยนต์สีดำโลหะ
ในระหว่างนี้เขาก็ปรับตำแหน่งทิศทางของฝ่ามือ
แคร้ง!
เสียงสดใสดังก้องไปทั่วใต้ดินชั้นหก หน้าอกด้านหลังหุ่นยนต์สีดำโลหะตัวนั้นละลายทันที จากนั้นก็มีลำแสงเลเซอร์สีแดงงดงามและอันตรายทะลุออกมา
แทบจะในขณะเดียวกัน ด้านหลังของมันก็บวมและแตกออก ลูกบอลโลหะที่ห่อหุ้มด้วยส่วนประกอบที่สำคัญหลายอย่างถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงประกายไฟฟ้าลอยออกมาและพุ่งกระเด็นไปไกล
เกอนาวาฉวยจังหวะนี้ใช้ลำแสงเลเซอร์และอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าของตนเองสวนกลับไป!
นอกจากนี้เขาก็เคยดาวน์โหลดแผนผังโครงสร้างหุ่นยนต์สารพัดชนิดเอาไว้เพื่อทำการวิจัย จึงรู้ ‘จุดอ่อนร้ายแรง’ ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีว่าอยู่ตรงไหน
ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมตามดังต่อเนื่อง หุ่นยนต์สีดำโลหะตัวนั้นสูญเสียการเคลื่อนไหวไปโดยสมบูรณ์ มันล้มลงกระแทกพื้นเสียงดัง
เกอนาวาไม่มัวชักช้า หมุนตัวรีบวิ่งเข้าประตูห้องดิมาร์โก้ทันที
‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ในครั้งนี้ ตัวเขาที่ไม่มีจิตสำนึกของมนุษย์นั้นเป็นกำลังหลักของการต่อสู้ในครึ่งหลัง
ตอนที่เกอนาวากระโจนเข้าใส่หุ่นยนต์สีดำโลหะ เจี่ยงไป๋เหมียนกลิ้งม้วนเสร็จก็เปิดไฟฉายส่องไปยังจุดที่ตรวจจับว่าเป็นตำแหน่งของมนุษย์ตั้งแต่ก่อนจะยิงจรวดบาซูก้าใส่
ตำแหน่งนั้นมีเตียงขนาดใหญ่ที่พังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและยังคงมีเปลวไฟลุกท่วมอยู่ ข้างเตียงมีชายสวมชุดนอนผ้าไหมนอนทอดร่างอยู่
ชายคนนั้นสวมหน้ากากสีดำลวดลายขาวฉีกขาดรุ่งริ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเปื้อนเลือด
จากการรับรู้ของซางเจี้ยนเย่า ร่างนั้นไม่หลงเหลือจิตสำนึกของมนุษย์แล้ว
นี่ก็หมายความว่าเขาตายไปแล้ว
เมื่อพิจารณาถึงหน้ากากและเส้นผมสีป่าน ผู้ตายต้องเป็นดิมาร์โก้ไม่ผิดแน่
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยินดีแต่กลับแปลกใจ เพราะดูจากตำแหน่งที่ดิมาร์โก้นอนอยู่นั้น เขาน่าจะหลบจรวดบาซูก้าที่ยิงถล่มตั้งแต่ครั้งแรกไม่ได้ด้วยซ้ำ
ด้วยพลังแห่ง ‘มัจจุราช’ ย่อมทำให้เป้าหมายไม่อาจมีซากศพที่สมบูรณ์!
นี่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ จริงเหรอเนี่ย… นี่ถ้าอาวุธพวกเราทรงพลังน้อยกว่านี้สักหน่อย เขาจะไม่นอนรอความตายอย่างทรมานหรือไง… เจี่ยงไป๋เหมียนมือหนึ่งถือบาซูก้า อีกมือหนึ่งถือกระบอกไฟฉาย ปรี่เข้าไปยังซากศพของดิมาร์โก้ ก่อนจะปลดหน้ากากเขาออกเพื่อยืนยันตัวตน
ภายใต้ลำแสงสีเหลือง สิ่งที่กระทบต่อสายตาเธอก็คือใบหน้าชายฉกรรจ์
เลื่อนต่ำลงมาจากเส้นผมสีป่านที่ตัดสั้นก็คือจมูกโด่งและนัยน์ตาสีฟ้าซีดที่ตายอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ หน้าผากมีปานสีน้ำเงินเข้ม
เจี่ยงไป๋เหมียนตะลึงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าใบหน้านี้คุ้นตาอย่างน่าแปลกใจ
แล้วเธอก็นึกออกอย่างรวดเร็วว่าเคยเห็นใบหน้านี้มาจากที่ไหน
นี่เป็นใบหน้าของลาร์ส คนรักของเลห์แมน นักล่าซากอารยะที่หายตัวไปก่อนหน้านี้และยืนยันได้ในภายหลังว่าเข้ามาใน ‘นาวาบาดาล’ นั่นเอง!
ปานสีน้ำเงินเข้มนั้นอยู่ในตำแหน่งเดียวกับในรูปถ่ายที่เลห์แมนให้พวกเขามาอย่างไม่ผิดเพี้ยน!
คนที่ตายเป็นลาร์สงั้นเหรอ… ดิมาร์โก้ใช้ลาร์สเป็นตัวแทนมาตลอด ส่วนตัวเองนั้นไม่ได้นอนอยู่ในห้องนี้เหรอ… แต่ว่า… เขาป้องกันตัวจากใครกันล่ะ… ด้วยอำนาจและศักยภาพจากความแข็งแกร่งของเขา ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลยนี่นา… หรือเป็นเพราะเขารับรู้ได้ว่าพวกเราเข้ามาข้างในก็เลยออกจากที่นี่ไปก่อน เหลือแต่ลาร์สที่อยู่นี่… แต่ทำไมถึงต้องทิ้งลาร์สเอาไว้ด้วยล่ะ… ในขณะนี้คำถามมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในหัวของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่หยุดหย่อน
แล้วในตอนนี้เธอก็พลันรู้สึกว่าทั่วทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยสนามพลังไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ และไม่ปรกติ
เสียงลมดังหวีดหวิว ไฟฉายในมือของเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน และซางเจี้ยนเย่าหม่นแสงลงไปในเวลาเดียวกัน
สภาพแวดล้อมโดยรอบราวกับถูกฉีด ‘ความมืด’ เข้าไป บังเกิดเป็นความเงียบสงัดและเย็นยะเยือก
เพียงพริบตา เสียงที่ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหนแต่เห็นได้ชัดว่ามันสะกดอารมณ์เอาไว้ ดังก้องขึ้นมาในหูของทุกคน
“พวกแกคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะฆ่าฉันได้งั้นเหรอ
“ถ้าหากเป็นผู้ตื่นรู้คนอื่นที่ก้าวเท้าเข้ามาใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ อาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่น่าเสียดาย… ที่พวกแกมาเจอก็คือฉันคนนี้…”
เมื่อซางเจี้ยนเย่าฟังมาจนถึงตรงนี้ก็จับที่มาของเสียงได้ในที่สุด เขาหันขวับไปมองสถานที่แห่งหนึ่ง
ภายใต้แสงสลัวสีเหลือง หลงเยว่หงค่อยๆ หันหน้ามาอย่างช้าๆ มองมาที่ซางเจี้ยนเย่า
มุมปากเขายกขึ้นทีละนิด ดวงตาที่ถูกบดบังไว้ด้วยแว่นผลึกค่อยๆ ดำมืดลง
หลังจากนั้นในทันที เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงผลุบๆ โผล่ๆ ย้ายที่ไปมา
“แกกำลังมองหาฉันหรือไง”
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงพลันขมวดคิ้ว
ในขณะนี้ไป๋เฉินก็มองมาทางซางเจี้ยนเย่าเช่นกัน
ไม่ทราบว่าเธอปลดหน้ากากออกตั้งแต่เมื่อไร แสงจากไฟฉายในมือทำให้เธอเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
เธอเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจอธิบายได้ ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นชายหรือหญิง
“แกกำลังมองหาฉันหรือไง”
ซางเจี้ยนเย่ารีบยกมือซ้ายขึ้นมาพร้อมกับมุกราตรีสีเขียวเหลืองเม็ดนั้น
ในขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยืนขึ้นมาจากตำแหน่งศพ มองตรงมา ไม่ได้สวมหน้ากากไว้อีกแล้วเช่นกัน
เธอเชิดหน้าเล็กน้อย แสงเงาบนใบหน้าทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด
“แกกำลังมองหาฉันหรือไง” เธอถามพร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำ
ตึก! ตึก! ตึก!
เกอนาวาวิ่งเข้ามาในห้องดิมาร์โก้
เขามองมาก็เห็นว่าดวงตาของซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเป็นดำมืดมิดผิดปกติ เจือด้วยสีเขียวเข้มเล็กน้อย
* * * * *
บนเกาะที่มีแสงอาทิตย์ฉายส่องภูเขา สาดส่องลำธารภายใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’
มีร่างหนึ่งสวมชุดนักบวชสีดำของโลกเก่า สวมหมวกนุ่มแบบโบราณปรากฏขึ้นมา
เขาดูอายุราวสี่สิบเศษ สูงเกือบ 180 เซนติเมตร มีผมสั้นสีป่าน ดวงตาสีฟ้าอ่อน จมูกงุ้มอย่างชัดเจน ไม่มีปานสีน้ำเงินเข้มบนหน้าผาก
ดวงตาของร่างนั้นกวาดมองจากตัวเองไปยังซางเจี้ยนเย่าที่ตอนนี้ไม่ได้สวมหน้ากากลิงแล้วเช่นกัน มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างยิ้มแย้มด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบไม่ร้อน
“ที่นี่เป็นเกาะจิตวิญญาณของแกงั้นสินะ”