รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 306 “ใช้จำนวนเข้าสู้”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 306 “ใช้จำนวนเข้าสู้”

ตอนที่ 306 “ใช้จำนวนเข้าสู้”

ซางเจี้ยนเย่ามองดูร่างที่สวมชุดนักบวชจากโลกเก่า หมวกนุ่มแบบโบราณซึ่งยืนอยู่ต่อหน้า ใบหน้าเขาไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงความตื่นเต้นเท่านั้นที่ฉายออกมา

“ดิมาร์โก้ใช่ไหม” เขาถามเพื่อยืนยันให้แน่ใจ

ร่างที่มีจมูกงุ้มอย่างชัดเจนละสายตากลับมาจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง เพ่งมองซางเจี้ยนเย่าอย่างจริงจัง

“จะว่าแบบนั้นก็ได้

“ดูเหมือนว่าแกจะไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิดเลยนะ”

“ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงกลัวไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรนี่นา” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่คือพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของแกสินะ สามารถบุกเข้ามาในโลกจิตวิญญาณของคนอื่นได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่าน ‘ทางเดินแห่งจิต’ เข้ามา”

ดิมาร์โก้หัวเราะ

“มันมีชื่ออันแสนไพเราะว่า ‘เชื่อมชะตา’”

พูดๆ ไปสีหน้าเขาก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยราวกับไม่สามารถระงับอารมณ์บางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในใจได้อีก

“นี่แกไม่กลัวจริงๆ ด้วย!

“แกไม่รู้หรือไงว่าที่ฉันชอบที่สุดก็คือการได้มองเห็นผู้คนหวาดกลัวอับจนหนทาง แกไม่รู้เหรอว่าการได้ปลิดชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังด้วยมือของตัวเองเนี่ย มันเป็นเรื่องอันแสนวิเศษขนาดไหน”

สีหน้าเขายิ่งทีก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ เผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมบ้าคลั่งอย่างไม่อาจอธิบายได้

“ฮ่า ฮ่า” เขาเงยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “มาเถอะ มาให้ฉันสั่งสอนบทเรียนดีๆ ทำให้แกได้รู้ว่าอะไรคือความหวาดกลัว ความน่ากลัว ความสิ้นหวังและหมดหนทาง”

ในขณะที่พูดร่างเขาก็แยกออกกลายเป็นดิมาร์โก้จำนวนนับไม่ถ้วน

ดิมาร์โก้เหล่านี้ล้วนแต่สวมชุดนักบวชโลกเก่าสีดำ สวมหมวกนุ่มแบบโบราณ ยืนห้อมล้อมซางเจี้ยนเย่าเอาไว้

“พวกนั้นคือสิ่งที่แกสละงั้นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ายังคงยิ้ม รู้สึกคึกคักอยากลองดูบ้าง

ดิมาร์โก้หัวเราะเสียงต่ำ

“คิดว่าฉันจะตอบแกหรือไง”

เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าที่สวมเครื่องแบบลายพรางสีน้ำเงินเทาก็แยกร่างออกมามากมายหลายร่าง บางร่างแบกปืนบาซูก้า บางร่างถือปืนไรเฟิลจู่โจม บางร่างสวมเสื้อคลุมสีขาว บางร่างยกเปลหาม บางร่างถือลำโพงตัวเล็ก บางร่างยกโทรโข่งขึ้นมา…

ร่างแยกเหล่านี้มีแปดร่างที่เป็นรูปร่างชัดเจน แต่ร่างที่เหลือนั้นดูพร่าเลือน

ดิมาร์โก้จำนวนนับไม่ถ้วนมองดูซางเจี้ยนเย่าจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงกับหลงลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองจะทำอะไร

บนเกาะที่มีแสงแดดส่อง มีภูเขา มีลำน้ำ กองกำลังซางเจี้ยนเย่ากับกองกำลังดิมาร์โก้กำลังเผชิญหน้ากัน

ผ่านไปสองสามวินาทีดิมาร์โก้ถึงจะพูดพึมพำออกมาด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ

“แกเองก็ได้รับ ‘เชื่อมกระจกเทพ’ มาด้วยเหรอ

“ไม่สิ นี่มันดูเหมือนบุคลิกที่แยกออกมามากกว่า…”

คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของดิมาร์โก้แต่ละร่าง เสียงซ้อนทับเข้าด้วยกันดังก้องเป็นระลอก

ซางเจี้ยนเย่าได้ยินคำพูดก็สั่นศีรษะด้วยความเสียใจ

“การแสดงของแกนี่ไม่ไหวเอาเสียซะเลย…

“ทำให้ดิมาร์โก้แต่ละร่างพูดไม่เหมือนกันไม่ได้หรือไง”

ที่พูดประโยคนี้ขึ้นมานั้นเป็นซางเจี้ยนเย่าคนหนึ่ง ส่วนซางเจี้ยนเย่าคนอื่นๆ บ้างก็พากันหัวเราะเสียงดัง บ้างก็เยาะเย้ยถากถาง บ้างก็เต้นอย่างสนุกสนาน บ้างก็พูดซ้ำโดยใช้ลำโพง ต่างก็แสดงอากัปกริยาแตกต่างกันออกไป

กล้ามเนื้อใบหน้าดิมาร์โก้แต่ละคนบิดเบี้ยวพร้อมกัน ความรู้สึกโหดเหี้ยมและโหดร้ายปรากฏออกมาอีกครั้ง

“เรื่องพวกนั้นไม่จำเป็น…” พวกดิมาร์โก้ทั้งหลายเค้นเสียงออกมาจากลำคอ

คำพูดยังไม่ทันขาดคำ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว

ทำไมต้องมาถกเถียงเรื่องไร้สาระกับเจ้าหมอนี่ด้วย

วินาทีถัดมา ร่างของดิมาร์โก้ที่แยกออกมาได้กลับเข้าไปรวมตัวกันเหลือเพียงแค่ร่างเดียว

ดิมาร์โก้ที่เหลือตัวคนเดียวขยายร่างอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ประดุจขุนเขาบนเกาะ

‘เชื่อมกระจกเทพ’ รวมได้ทั้งหนึ่งแยกได้ทั้งหมื่น ย่อเล็กได้ขยายใหญ่ได้!

* * * * *

ภายในห้องดิมาร์โก้ที่เสียหายยับเยิน

สายตาเกอนาวากวาดผ่านซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน

เขาวิเคราะห์ได้ทันทีว่าสายตาพวกเขาเหล่านั้นไม่ปรกติ สภาพร่างกายไม่ปรกติ

และในขณะเดียวกัน สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา บางครั้งบิดเบี้ยว บางครั้งปรกติ บางครั้งน่ากลัว และบางครั้งก็สับสน

เจี่ยงไป๋เหมียนทิ้งบาซูก้า ‘มัจจุราช’ แล้วชักปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ขึ้นมา

เธอยกมือขวาขึ้นมาช้าๆ ประหนึ่งว่าต้องการยกปืนขึ้นมาจ่อตัวเอง

แต่แล้วสีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปลี่ยนแปลง แขนเธอที่ยกงอขึ้นมาก็พลันชะงักค้าง ปากกระบอกปืนค่อยๆ เคลื่อนออก

ทันใดนั้นสีหน้าน่ากลัวก็ปรากฏบนใบหน้าเธอ ปากกระบอกปืนกลับมาเล็งอีกครั้ง

ในตอนนี้ราวกับเธอมีวิญญาณอยู่สองดวง หนึ่งนั้นพยายามครอบงำเพื่อยิงตัวตาย อีกหนึ่งนั้นพยายามฝืนต้านทานโดยอาศัยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดต่อต้านสุดชีวิต

เธอเป็นแบบนี้ ไป๋เฉินเป็นแบบนี้ หลงเยว่หงเองก็เป็นแบบนี้

พวกเขาทั้งหมดอยู่ในสองสภาวะระหว่างยกปืนขึ้นมาเล็งตัวเองกับยื้อปากกระบอกปืนให้เบนออกไปจากร่างกาย สลับกลับไปกลับมาเหมือนกำลังชักเย่อ

เกอนาวาไม่ได้เกิดอาการสับสนงุนงง เป็นเพราะในแผน ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ มีกำหนดเนื้อหาเอาไว้ล่วงหน้าดังนี้

‘ถ้าหากเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ยากทำความเข้าใจขึ้นกับสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ให้เกอนาวาจัดการพวกเขาให้หมดสติ’

นี่เป็นมาตรการป้องกันพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของดิมาร์โก้ผู้ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’

เกอนาวากวาดสายตามองไปรอบหนึ่งก็พบว่าหลงเยว่หงเป็นคนที่ต่อต้านอาการผิดปรกติได้ยากลำบากที่สุด อาวุธสารพัดชนิดที่ติดตั้งไว้ในชุดเกราะเสริมแรงทางทหารหันกลับมาเล็งที่ตัวเอง

เกอนาวาไม่ลังเล เขาใช้แรงจากข้อต่อโลหะที่ขาทั้งสองข้างดีดตัวอย่างแรงลงไปอยู่ข้างหลงเยว่หง

ขณะที่กำลังยกมือขวาขึ้นมาเตรียมจะทำให้อีกฝ่ายหมดสติ หลงเยว่หงก็หมุนตัวมาทางเขา!

ในตอนนี้บริเวณใบหน้าหลงเยว่หงที่ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยหมวกเกราะ ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าไป

เขาเล็งเครื่องยิงลูกระเบิดมาที่เกอนาวาอย่างเงียบๆ

เมื่อถูกโจมตีจาก ‘ศัตรูภายนอก’ ทำให้ ‘ดวงวิญญาณ’ ทั้งสองในร่างเขาราวกับมีมติเป็นเอกฉันท์ นั่นคือวิญญาณดวงหนึ่งไม่ต้องการจะถูกน็อคให้หมดสติ ส่วนวิญญาณอีกดวงหนึ่งก็อาศัยสัญชาตญาณเพื่อโจมตีตอบโต้กลับไป

เมื่อเกอนาวาเห็นดังนี้ก็อาศัยแรงส่งจากการลงพื้นดีดตัวไปด้านข้างต่อทันที

เขาไม่ต้องการให้หลงเยว่หงใช้เครื่องยิงระเบิด จึงไม่ต้องการเสี่ยง เลือกใช้การหลบหลีกล่วงหน้าแทน

ถ้าหากถูกลูกระเบิดพลังทำลายล้างสูงเข้าโดยตรงก็สามารถคุกคามความเป็นความตายของเกอนาวาได้เช่นกัน และถึงแม้จะไม่โดนเข้าอย่างจัง แต่เนื่องจากขนาดห้องของดิมาร์โก้ ก็น่าจะส่งผลให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ถูกลูกหลงไปด้วย ดังนั้นเกอนาวาจึงเลือกที่จะยอมแพ้โดยตรง

หุ่นยนต์สีดำเงินตัวนี้เร่งความเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนอง และทักษะของตนจนถึงขีดสุด วนรอบพวกหลงเยว่หงเจี่ยงไป๋เหมียนเพื่อพยายามหาจังหวะลงมือ

เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าใกล้ อดใจรอหาโอกาส สบโอกาสกับใครก็จะลงมือกับคนนั้น

และความพยายามของเขาก็ประสบผล ทำให้ความคืบหน้าในการ ‘ฆ่าตัวตาย’ ของพวกเจี่ยงไป๋เหมียนช้าลง สถานการณ์โดยรวมจึงลดความวิกฤตลงไปบ้าง

* * * * *

บนเกาะที่มีภูเขา มีสายน้ำ มีแสงอาทิตย์สาดส่องใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’

ซางเจี้ยนเย่าจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามใช้ ‘คนไร้เหตุผล’ แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก

ร่างของดิมาร์โก้ขนาดใหญ่โตมโหฬารราวขุนเขามองลงมาที่พวกเขาพลางยื่นมือขวาลงมา

ที่มาพร้อมกับการกระทำนี้ก็คือเสียงดังกังวานน่าเกรงขาม

“ถอนจักษุสัมผัส!”

สายตาซางเจี้ยนเย่าแต่ละคนกลายเป็นมืดมิดลงไปอย่างเงียบๆ พวกเขาทุกคนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้แม้แต่น้อย

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในโลกจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ในรูปของจิตสำนึกซึ่งไม่ได้มีทั้งดวงตาอย่างแท้จริงและเส้นประสาท

ที่เกี่ยวข้องก็ตาม แต่ทั้งหมดก็ล้วนสูญเสีย ‘การมองเห็น’ ไปจนหมดสิ้น

และทันทีหลังจากนั้น เสียงดิมาร์โก้ก็ดังขึ้นในหูซางเจี้ยนเย่าอีกครั้ง

“ถอนโสตสัมผัส!”

คราวนี้หูของพวกซางเจี้ยนเย่าก็เงียบลงไป ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

กลิ่นสัมผัส รสสัมผัส กายสัมผัสของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไปตามเวลาจนหมดสิ้น

ในความมืดมิดอันไร้ขอบเขตของความเงียบสงัด แม้กระทั่งการดำรงอยู่ของตัวเองก็ราวกับถูกหลอมละลาย ถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน

ที่ไหนสักแห่งซึ่งห่างไกลจากเกาะแห่งนี้ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมเครื่องแบบลายพรางสีน้ำเงินเทากำลังนั่งขัดสมาธิลอยคออยู่ในน้ำ ศีรษะไม่ได้โผล่ขึ้นมา

นี่ก็คือตัวเขาคนสุดท้าย

เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่บนเกาะ เขาใช้ตัวเองเพียงแค่แปดคนเท่านั้น ส่วนร่างแยกอื่นๆ นอกเหนือไปจากนั้นก็คือการใช้คุณสมบัติพิเศษของโลกจิตวิญญาณสร้างขึ้นมา

สีหน้าของซางเจี้ยนเย่าคนนี้สงบเยือกเย็นเป็นพิเศษ ราวกับว่าเขากำลังใช้สภาพแวดล้อมใต้น้ำช่วยในการครุ่นคิดปัญหาอะไรบางอย่าง

* * * * *

ภายในห้องของดิมาร์โก้

ในขณะที่เกอนาวาพยายามหาจังหวะเพื่อทำให้พวกพ้องหมดสติ จะได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากสภาวะแปลกประหลาด ใบหน้ากับร่างกายของเจี่ยงไป๋เหมียนก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย

ราวกับเธอได้ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงค่อยๆ คลายนิ้วทั้งห้า ปล่อยให้ ‘ยูไนเต็ด 202’ ในอุ้งมือร่วงลงสู่พื้น

เมื่อปืนพกตกกระทบพรมผืนหนา มือซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียนก็กำแน่นขึ้นมาเล็กน้อย

กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างยากลำบากและเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ดูแล้วเหมือนจะหยุดลงได้ทุกขณะ นี่จึงทำให้เกอนาวาที่วิเคราะห์สถานการณ์โดยทั่วไปแล้ว ไม่กล้าเข้าใกล้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบไปขัดจังหวะเธอ

จนกระทั่งในที่สุด ประกายไฟฟ้าสีเงินก็ปะทุออกจากฝ่ามือเจี่ยงไป๋เหมียน มันเบ่งบานขึ้นมาจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ

ห้องที่มืดมิดพลันสว่างขึ้นมาเล็กน้อย

และแทบจะในเวลาเดียวกัน ซางเจี้ยนเย่าที่เดิมทีไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวก็คลายมือซ้ายที่กำไว้ออก

ในนั้นมีมุกราตรีสีเขียวเหลืองอยู่หนึ่งเม็ด

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท