ตอนที่ 311 กฎใหม่ (องก์สี่ : จักรพรรดิ)
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย รถจี๊ปที่ย้อมลายพรางสีเขียวขี้ม้าชะลอความเร็ว ขับตรงไปยังทางเข้าอาคารใต้ดิน ‘ผานกู่ชีวภาพ’
เมื่อมองดูบานประตูที่แม้จะเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้งแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย ทำให้จิตใจพวกหลงเยว่หงอดบังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
หลังจากรอนแรมมานานนับเดือน ในที่สุดก็กลับมาถึงบ้านเสียที
ซางเจี้ยนเย่ายกหลังมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก
เมื่อพวกเขาออกจากชุมชนศิลาแดงมาแล้วก็มุ่งเป้าตรงดิ่งมายัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ระหว่างทางแทบไม่ได้หยุดแวะที่ไหนเลย เพียงแค่แวะนิคมใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อเติมเสบียงเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นเมื่อเทียบกับตอนออกมา เป็นเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องถูก ‘พิธีกรรมชีวิต’ ซุ่มโจมตี ความแข็งแกร่งของทีมเองก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องใช้ทางอ้อม เพียงแค่คอยระวังขั้นพื้นฐานและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่จะถูกซุ่มโจมตีได้ง่ายแค่นั้น
นี่จึงทำให้พวกเขาลดเวลาที่ใช้เดินทางขากลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่บานประตูสีเงินตรงทางเข้าออกของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เปิดออก เพียงแว่บเดียวเจี่ยงไป๋เหมียนก็พบว่าการจัดเค้าโครงของที่นี่ต่างไปจากเมื่อก่อนมาก
นอกจากเจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงที่มารักษาความปลอดภัยซึ่งเดิมทีมีเพียงยี่สิบนายกลายมาเป็นสามสิบนายแล้วก็ยังมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มมาอีกสองตัวด้วย
“เกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนกดปุ่มเลื่อนกระจกลง แล้วชะโงกศีรษะแหงนหน้าเอ่ยถามอย่างไม่อำพรางความสงสัยของตน
หลิวเฉิงคุนที่รับผิดชอบบริเวณทางเข้าออกมองเห็นคนรู้จัก จึงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ไง… เหมียนเหมียนไม่ใช่เหรอเนี่ย”
กัปตันระดับ D8 ของแผนกความมั่นคงผู้นี้มีอายุราวสามสิบปี ผิวสีแทน มีใบหน้ารูปเหลี่ยม
“…” เมื่อได้ยินชื่อเล่นที่ไม่ได้ถูกเรียกมานานปีเช่นนี้ ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับไม่ทราบว่าจะตอบกลับอย่างไรดี
แทบจะในเวลาเดียวกันเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ‘เสียงต่ำ’ ดังขึ้นมา
ต่อจากนั้นในทันที ซางเจี้ยนเย่า ‘กด’ เสียง พูดกับไป๋เฉินในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ
“ชื่อเรียกเหมียนเหมียนนี่ ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะเหมือนต้าไป๋เลยเนอะ”
ไป๋เฉินเม้มปากแน่นไม่ตอบคำ แต่กล้ามเนื้อใบหน้าของเธอเหมือนว่าจะสั่นอยู่เล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า พลางดึงเบรกมือแล้วผลักประตูลงจากรถ
เธอมองหลิวเฉิงคุนแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“กัปตันหลิว เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมถึงเข้มงวดกันจัง”
เฮ้อ… ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็ใครใช้ให้ตานี่ดันเป็นเพื่อนรักของพี่ชายล่ะ!
หลิวเฉิงคุนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ที่ลงจากรถตามลงมา คลี่ยิ้มให้พลางพูดขึ้น
“ก็ดันมีคนก่อเรื่องเข้าน่ะสิ
“ก่อนตรุษจีนน่ะ มีทีมหนึ่งที่ออกไปปฏิบัติงานภาคสนามกลับเข้าฐานมา แล้วตอนที่ต้องส่งมอบข้าวของก็มีไอ้งั่งคนหนึ่งแอบซ่อนของเอาไว้สองชิ้น ไม่ยอมส่งให้หัวหน้าทีมตัวเอง ผลก็คือมีของชิ้นหนึ่งเหมือนว่าจะมีปัญหาซ่อนอยู่ ก็เลยเกิดความวุ่นวายนิดหน่อย ดีนะที่ยังแก้ไขกันได้เร็ว
“คณะกรรมการบริหารเลยถามหาความรับผิดชอบจากรัฐมนตรีที่ดูแล ท่านรัฐมนตรีโกรธมาก พอผ่านตรุษจีนปุ๊บก็เปลี่ยนกฎทันที บอกให้ด่านตรวจเข้าออกเพิ่มจุดตรวจสอบ เพิ่มการรักษาการณ์ ให้ทีมที่กลับมาบริษัทต้องส่งมอบสิ่งของทั้งหมดที่นี่ ตรวจสอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยส่งคืน”
ก่อนหน้านี้ทาง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่ได้เข้มงวดเรื่องข้าวของที่ติดตัวกลับมามากนัก หลังจากตรวจสอบขั้นต้นที่ประตูเข้าออกเสร็จก็ปล่อยผ่านมาเลย จากนั้นถึงให้พวกหัวหน้าทีมรบกับหัวหน้าทีมของแต่ละทีมส่งมอบสิ่งของที่เอากลับมาจากภายนอก
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วถอนหายใจ
“จริงเหรอเนี่ย นี่มันสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชัดๆ”
ที่เธอพูดออกมานั้นก็เป็นเพราะคิดจะปิดบังเกี่ยวกับของที่เธอต้องการจะซ่อนไว้
ก็คือเธอไม่คิดจะส่งมอบมุกราตรีสีฟ้าเขียวที่มีออร่าควบแน่นของดิมาร์โก้ให้กับเบื้องบนนั่นเอง
“ใช่แล้วล่ะ ไอ้บ้านั่นก็เลยโดนลดสามขั้น” หลิวเฉิงคุนส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้คัดค้าน
เธอเรียกหลงเยว่หง ไป๋เฉิน และซางเจี้ยนเย่า ให้ไปเปิดท้ายรถจี๊ป
ระหว่างนี้เธอก็แอบขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่า
มือซ้ายซางเจี้ยนเย่าล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
เขายืนอยู่ตรงนั้น มองดูหัวหน้าทีมกับหลงเยว่หงสองคนเอาลังไม้ลงมาโดยไม่ได้เข้าไปช่วย
“นี่เป็นอะไรน่ะ” หลิวเฉิงคุนกับเจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงสองสามคนที่เขาเรียกมา เอ่ยถามด้วยความสงสัย
จากประสบการณ์ของพวกเขา สิ่งของที่พนักงานภาคสนามนำกลับมามักเป็นพวกสิ่งละอันพันละน้อย ส่วนใหญ่เป็นลังกระดาษใส่ข้าวของจำพวกที่นำติดตัวไปด้วยและอาหารกระป๋องที่หาเติมเข้ามา ถึงแม้จะเป็นของชิ้นใหญ่ก็ยังไม่จัดหาลังไม้มาใส่ให้เป็นการเฉพาะ
เจี่ยงไป๋เหมียนจงใจพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณก็เปิดดูเองสิ”
หลิวเฉิงคุนไม่มัวเกรงอกเกรงใจ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานของเขา จึงก้มลงไปยกฝาลังไม้กล่องหนึ่งเปิดออก
“นะ…นี่” หลิวเฉิงคุนถึงกับตกตะลึงไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏต่อสายตา
แย่ละเชี่ย… นี่มันชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร!
วินาทีถัดมา ในหูเขาก็ได้ยินเสียงสูดหายใจดังขึ้น
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเปิดลังไม้อีกกล่องหนึ่ง
ข้างในนั้นก็เป็นชุดเกราะเสริมแรงทางทหารอีกชุดเช่นกัน และดูเหมือนว่าจะเป็นรุ่นที่ใหม่กว่าอีกด้วย!
ในระหว่างที่สายตาของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบถูกดึงดูดอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปชำเลืองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนชักมือซ้ายออกมาแล้วผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม
ฟู่… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก
หลายวินาทีถัดมากว่าสติหลิวเฉิงคุนได้กลับเข้าร่าง เขาชี้ไปยังชุดเกราะเสริมแรงทางทหารทั้งสองชุดนั้น
“พะ…พวกเธอ… พวกเธอไปเอามาจากไหนเนี่ย”
อุปกรณ์ที่ซับซ้อนจำพวกผลิตภัณฑ์ทางแมคคานิคอิเล็กทรอนิกส์และชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเช่นนี้ บริษัทไม่ได้มีมากนัก การจัดสรรปันส่วนเรียกได้ว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ทีมเจี่ยงไป๋เหมียนสี่คนกลับมีตั้งสองชุด!
“ชุดหนึ่งได้มาจากค่าตอบแทนในภารกิจนักล่า ส่วนอีกชุดนั่นยึดมาได้” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายแบบย่อๆ
หลิวเฉิงคุนกับพวกเจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงข้างตัวราวกับได้ยินเสียงจากคัมภีร์สวรรค์สะท้านฟ้า ในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด’ ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดหย่อน
พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นพนักงานภาคสนาม แถมคนบางส่วนยังมีตัวตนของนักล่าซากอารยะด้วยเช่นกัน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีภารกิจไหนที่แลกชุดเกราะเสริมแรงทางทหารได้!
ส่วนชุดที่ยึดมาได้นั่นก็ยังพอจะเข้าใจได้ ถึงอย่างไรทีมของเจี่ยงไป๋เหมียนก็มีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารแล้วชุดหนึ่ง ยังไงก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย
หลิวเฉิงคุนนิ่งอึ้งไปสองสามวินาทีจึงได้เอ่ยปากพูด
“พวกเธอออกไปภาคสนามครั้งนี้ได้ประสบการณ์มาไม่น้อยเลยสินะ”
เขาเลิกล้มความคิดที่จะสอบถามรายละเอียด เพราะคนที่เจี่ยงไป๋เหมียนต้องรายงานไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการเซ็นนี
“เป็นเรื่องของการช่วยเหลือมนุษยชาติน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับไปประโยคหนึ่งอย่างยิ้มแย้ม
หลิวเฉิงคุนหัวเราะอย่างโง่งม แล้วหันไปพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่รอบข้าง
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ดู ตรวจสอบตามลำดับแล้วลงทะเบียนตามหมวดหมู่ซะ”
เมื่อมีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารสองชุดเปล่งประกายเฉิดฉายวางอยู่ต่อหน้า จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กกองโตที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นำออกมาภายหลังอีกแล้ว พวกมันถูกตรวจค้นเบื้องต้นโดยไม่พบปัญหาใดๆ ก่อนจะวางไว้ด้านข้างเพื่อรอการตรวจสอบ
ในระหว่างขั้นตอนนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างก็ล้วงเอาของในตัวออกมาทีละชิ้นสองชิ้น
พวกหลิวเฉิงคุนใช้ข้อมูลที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้านี้จากเครือข่าย เพื่อนำส่งสิ่งของที่ตรวจสอบแล้วกลับคืนไปให้พวกเขา
เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงคนหนึ่งหยิบลูกแก้วธรรมดาๆ ลูกหนึ่งขึ้นมา แล้วเอ่ยถามซางเจี้ยนเย่าอย่างไม่เป็นทางการ
“ลูกแบบนี้หาที่ไหนก็ได้ไม่ใช่หรือไง จะเอาคืนไปทำอะไรเนี่ย”
แม้ว่าของอะไรแบบนี้จะหาได้ยากในอาคารใต้ดิน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ตาม ทว่าบนแดนธุลีแล้ว ของแบบนี้กินก็ไม่ได้ สวมใส่ก็ไม่ได้ ใช้งานอะไรก็ไม่ได้ ทำได้แค่เอาไว้ให้เด็กเล่นเท่านั้น จึงแทบไม่มีใครสนใจเก็บสะสม
ในซากเมืองต่างๆ มีลูกแก้วแบบนี้มากมาย และส่วนใหญ่ก็ยังสวยงามกว่าของซางเจี้ยนเย่าอีกด้วย
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงใจ
“ของที่ระลึกน่ะ มีคุณค่าทางจิตใจ”
“ฮ่า ฮ่า มีสาวที่ไหนให้มางั้นสินะ” เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงผู้นั้นพูดแซวแล้ววางลูกแก้วลง
หลังจากตรวจสอบเบื้องต้นเสร็จ เขาก็ส่งสัญญาณบอกซางเจี้ยนเย่าให้เดินผ่านเครื่องสแกน
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่เพียงแค่เดินผ่านสบายๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขับรถจี๊ปเปล่าๆ กลับไปจอดที่ตำแหน่งเดิม ก่อนจะนำลูกทีมกลับไปยังห้องทำงานที่ชั้น 647
อาบน้ำเสร็จพวกเขาก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน แล้วเดินไปที่ลิฟต์อีกครั้ง
จากคำสั่งในโทรเลขฉบับก่อน ก่อนถึงเวลาอาหารเย็น พวกเขาทั้งทีมต้องไปเข้าพบรัฐมนตรีช่วยว่าการเซ็นนีที่รับผิดชอบ ‘ทีมสำรวจเก่า’ โดยตรง
มองดูลิฟต์ที่ใกล้จะมาถึง เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วหันไปพูดกับหลงเยว่หง
“ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจ ก็ให้ถามออกไปเลย อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงเกือบจะตบหน้าอกเพื่อยืนยันว่ารับทราบ
ระหว่างทางกลับ พวกเขาได้หารือเกี่ยวกับข้อควรระวังเมื่อพบกับผู้นำ หนึ่งในนั้นก็คือ…
ให้ถามท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการไปเลยจะเป็นการดีกว่าปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายถาม!
สำหรับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่มีความลับเล็กน้อยเป็นของตัวเอง พวกเขาตั้งใจจะปิดบังเรื่องการช่วยชีวิตเกอนาวาและการเด็ดหัวดิมาร์โก้ทั้งสองเรื่องนี้ไว้ ดังนั้นการลดจำนวนคำถามของรัฐมนตรีช่วยว่าการเซ็นนีจะสามารถลดความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ผมจะถามได้ไหม” ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทีอย่างกระตือรือร้นว่าอยากมีส่วนร่วมด้วย
“นายน่ะ… อย่าเลยละกัน” คิ้วที่ขมวดของเจี่ยงไป๋เหมียนคลายออก
เธอกลัวว่านั่นจะเป็นการเปิดเผยเรื่องที่ว่า ‘อาการป่วย’ ของซางเจี้ยนเย่านั้นรุนแรงกว่าที่ระบุไว้ในรายงานของแพทย์มากนัก
และในขณะเดียวกันเธอก็กลัวว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการเซ็นนีจะโมโหซางเจี้ยนเย่าจนสูญเสียภาพลักษณ์ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นเข้า อนาคตพวกตนเองคงไม่สดใสเท่าไรนัก
เพียงไม่นาน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ลงมาถึงชั้น 646 หลังจากที่เคาะประตูห้องทำงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการแล้วพวกเขาก็มานั่งเรียงเคียงกันที่โซฟายาวตามคำสั่ง
เซ็นนีที่สวมชุดเรียบร้อย ผมยาวสีเกาลัด มีรอยยิ้มอบอุ่น เธอถือแก้วชากระเบื้องเคลือบสีฟ้าเดินมาที่โซฟาตัวที่มีที่วางแขนก่อนจะนั่งลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินว่าพวกคุณนำชุดเกราะเสริมแรงทางทหารกลับมาสองชุดงั้นเหรอ สุดยอดเลยนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เธอเผยรอยยิ้มแสดงความคาดหวัง
“ท่านรมต.คะ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าถ้าเราหาชุดเกราะเสริมแรงทางทหารมาได้ด้วยตัวเอง คุณก็สามารถจัดการให้ทีมเราเก็บเอาไว้ใช้ได้”
เซ็นนียกมือกุมหน้าผาก พูดด้วยรอยยิ้ม
“ก็ฉันคิดไม่ถึงว่าพวกคุณจะได้รับมาทีเดียวตั้งสองชุดนี่นา เฮ้อ… ตอนนี้คนก็รู้กันไปทั่วแล้ว แต่ละคนอยากจะขอไว้ให้ทีมตัวเองสักชุดกันทั้งนั้น เมื่อกี้ผบ.กองพลก็ต่อโทรศัพท์มาคุยกับฉันเรื่องนี้ พวกคุณทำให้ฉันถูกรุมแบบไม่ให้ตั้งตัวเลย”
“ผมช่วยคุณเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้นะครับ” ซางเจี้ยนเย่าขันอาสา
“เกลี้ยกล่อมยังไง โดยใช้กล้ามเนื้องั้นเหรอ” เซ็นนีเข้าใจความกระวนกระวายใจของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้ เธอถามกลับอย่างยิ้มแย้ม
ตานี่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกลี้ยกล่อมน่ะค่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนตอบในใจ
โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูด เซ็นนีผงกศีรษะเล็กน้อยและพูดต่อ
“ดีที่ฉันยังพอจะทานแรงกดดันนี้ไหวอยู่ ไว้รอตรวจสอบแล้วไม่พบปัญหาอะไร ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารสองชุดนั่นจะแปะป้ายชื่อพวกคุณเอาไว้เลย ทุกครั้งที่ออกไปปฏิบัติภารกิจก็ไปเบิกได้โดยตรง
“รถจี๊ปนั่นพวกคุณก็ไปดัดแปลงมาด้วยสินะ งั้นทีหลังก็เอาไว้ใช้เป็นพาหนะของพวกคุณโดยเฉพาะไปเลยก็แล้วกัน”
“ทราบแล้ว ขอบคุณมากค่ะท่านรัฐมนตรี!” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้อำพรางความยินดีปรีดาของตน
ในขณะเดียวกันเธอก็แอบใช้มือขวาบีบท่อนแขนซางเจี้ยนเย่าเพื่อไม่ให้เขาพูดอะไรพิลึกพิลั่น อย่างเช่นว่า ‘ขอบคุณที่ไม่พรากเราจากกัน’
ด้วยการสนทนานี้จึงทำให้บรรยากาศชื่นมื่นเบิกบานขึ้นไม่น้อย เซ็นนีมองทุกคนรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ พวกคุณเล่าเกี่ยวกับภารกิจนี้ให้ฉันฟังก่อนเถอะ”