ตอนที่ 313 เติบโต
ณ ห้องเลขที่ 14 ชั้น 647
หลงเยว่หงถือกล่องข้าว สูดเส้นบะหมี่มะเขือเทศไข่ดาวใส่น้ำซอสเนื้อย่างแดง
“เอาอาหารกระป๋อง… มาทำกินแบบนี้… รสชาติก็ไม่ได้แย่เลยเนอะ…” เขาแสดงความคิดเห็นตนเอง
พูดจบเขาก็คีบกะหล่ำปลีจากแกงจืดขึ้นมา พอเข้าปากก็รู้สึกหวานชุ่มชื่น ช่วยขจัดความเลี่ยนของเนื้อกระป๋องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าจัดการน้ำแกงคำสุดท้ายจนหมดเกลี้ยงแล้ว เขาจ้องมองกล่องข้าวของหลงเยว่หงตาเป็นมัน
“ถ้านายกินไม่หมด เดี๋ยวฉันช่วยกินนะ”
หลงเยว่หงรีบหยุดพูดทันที กลับมาจดจ่ออยู่กับบะหมี่ในกล่องข้าว
เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามซางเจี้ยนเย่าอย่างยิ้มแย้ม
“ยังไม่อิ่มเหรอ
“ให้ฉันไปเอาของกินมาเพิ่มไหม”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า
“แค่อยากแย่งคนอื่นกินเท่านั้นแหละ”
“เฮอะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าลงไปกัดไข่ดาวคำเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของแกงจืด
ความเจริญอาหารของไป๋เฉินไม่เทียบเท่ากับคนทั้งสาม ในขณะนี้เธอเองก็กินเสร็จแล้วเหมือนกับซางเจี้ยนเย่า กำลังปอกมะเขือเทศที่เหลืออยู่กินเป็นผลไม้หลังอาหาร
ในเมื่อเป็นการกินเลี้ยง งั้นก็ต้องกินให้เหมือนกินเลี้ยง
ไม่นานหลังจากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงก็กินมื้อเย็นกันเสร็จ จากนั้นต่างคนต่างเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นั่งแช่ไม่ขยับเขยื้อน
“ถึงยังไงที่บริษัทก็ดีที่สุด…” หลงเยว่หงถอนใจด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์
เพราะที่นี่ให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านนั่นเอง
“ใช่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม “หวังว่าพออยู่บ้านนานๆ นายจะไม่เบื่อก็แล้วกัน”
“ไม่หรอก เอ่อ… น่าจะ… มั้งนะ…” เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ได้พบพานบนพื้นโลกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลงเยว่หงก็ไม่ได้พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ
นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขารู้สึกว่าเรื่องบันเทิงใจของบริษัทนั้นซ้ำซากจำเจหรอก หากเอาไปเปรียบเทียบกับถิ่นฐานบนแดนธุลีส่วนใหญ่แล้ว กิจกรรมยามว่างของพนักงาน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นหลากหลายมาก ขอเพียงแค่ไม่ละเมิดหลักคุณธรรมจริยธรรมภายในบริษัทก็พอแล้ว
หลงเยว่หงเพียงแค่รู้สึกว่าแม้ตนเองจะชอบอยู่บ้าน มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่คุ้นเคย แต่ถ้าหากไม่ได้เห็นท้องฟ้าสีคราม ไม่ได้สัมผัสสภาพแวดล้อมโล่งกว้างอีกต่อไป พอผ่านไปนานวันก็อาจเกิดความเบื่อหน่ายและอึดอัด เหมือนกับนกน้อยในกรงทอง
ซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็ช่วยเสริม
“ขอแค่มีสื่อบันเทิงโลกเก่ามากพอ เขาก็ไม่มีทางเบื่อหรอก แม้แต่แฟนก็ยังไม่อยากจะออกไปหาด้วยซ้ำ”
“ซะที่ไหนกันล่ะ…” หลงเยว่หงท้วงออกมาขึ้นมาเล็กน้อย
เขาไม่ได้พูดออกมาเต็มๆ เพราะเกรงว่าหัวหน้าทีมกับไป๋เฉินจะคิดว่าตัวเองคิดแต่เรื่องหาแฟน ในหัวมีแค่อยากแต่งงานมีลูกเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม
“สื่อบันเทิงโลกเก่าน่ะ ถ้าไม่หาของใหม่มาเรื่อยๆ อีกไม่นานก็เบื่อแล้วล่ะ
“เฮ้อ… ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยบอกไม่ใช่หรือไง ฉันน่ะพอออกไปข้างนอกนานๆ ก็อยากกลับมา พอกลับมานานๆ ก็อยากจะออกไปอีก หวังว่าพวกนายจะไม่เป็นอย่างฉันก็แล้วกัน…”
ระหว่างที่พูดคุยหัวเราะเฮฮา พวกเขาทั้งสี่ก็แบ่งงานกันล้างถ้วยชามทำความสะอาดสถานที่
นี่ทำให้รู้สึกสงบทั้งใจกาย ในความสงบนั้นก็ค่อยๆ บังเกิดเป็นความสุขที่อธิบายไม่ถูกเติบโตสะท้อนออกมา
ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไปเถอะนะ… เขาภาวนาอยู่ในใจ
* * * * *
หลังอาหาร ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเดินกลับไปชั้น 495 ด้วยกัน
ทันทีที่ออกจากลิฟต์ พวกเขาก็เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาใต้แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นก็คือเพื่อนสนิทของตน หยางเจิ้นหย่วน
“เอ๊ะ… นายมารับพวกเราเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ามี ‘สีหน้าตกใจขนาดหนัก’
หยางเจิ้นหย่วนเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ในที่สุดพวกนายก็กลับมาแล้ว!”
ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นมีภารกิจจำนวนน้อยมากที่ต้องออกไปข้างนอกหลายเดือน
แน่นอนว่าการถูกส่งออกไปทำงานบางสถานที่อาจต้องใช้เวลาถึงสองปีหรือนานกว่านั้น แต่ก็จะมีข้ออ้างอย่างชัดเจน ทว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นออกไปทำอะไรที่ไหน คนบ้านใกล้เรือนเคียงไม่มีใครรู้แม้แต่น้อย
หลงเยว่หงดูแคลนท่าทางที่เกินจริงของซางเจี้ยนเย่า พลางยิ้มให้กับหยางเจิ้นหย่วนที่สูงสะโอดสะอง
“ใช่แล้ว พวกเราเหนื่อยสายตัวแทบขาด ตอนนี้เลยได้หยุดพักร้อนกันนานหน่อย”
จากนั้นเขาเปลี่ยนมาถาม
“นายกลับมาเยี่ยมพ่อแม่เหรอ
“แล้วเมียนายล่ะ”
สำหรับโจวฉีที่มีอายุมากกว่าหยางเจิ้นหย่วนสิบปี อีกทั้งยังมาหาว่าที่สามีถึงหน้าประตู จึงทำให้หลงเยว่หงจำเธอได้แม่น
เขาจำได้ว่าหลังจากทั้งคู่แต่งงานกันแล้วก็ตัวติดกันเป็นตังเม นอกจากเวลาทำงานแล้วก็ยากจะเห็นสถานการณ์ที่มีพวกเขาเพียงแค่คนใดคนหนึ่งโดยที่ไม่มีอีกคนอยู่ด้วย
หยางเจิ้นหย่วนคลี่ยิ้ม
“เธอ… เธอท้องอยู่น่ะ ฉันจะกลับมาให้แม่สอนงานไม่ได้หรือไง”
“ยินดีด้วย!” หลงเยว่หงรู้สึกยินดีมีสุขกับสหายจากใจจริง
เช่นเดียวกับซางเจี้ยนเย่า แถมเขายังเสนอตัวอีกด้วย
“นายขอคำแนะนำจากฉันได้นะ”
“หือ” หยางเจิ้นหย่วนมีสีหน้างุนงง
นายยังไม่เคยมีเมียสักหน่อย…
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
“ฉันแม่นเรื่องทฤษฎีมากเลยนะ”
นี่เป็นความมั่นใจของสาวกนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’
เมื่อเห็นว่าหยางเจิ้นหย่วนยังคงสับสนอยู่บ้าง หลงเยว่หงจึงหัวเราะฮาฮา ช่วยอธิบายแทนซางเจี้ยนเย่า
“เขาอ่านหนังสือคู่มือการเลี้ยงเด็กของโลกเก่ามาน่ะ”
“จริงเหรอ หนังสือยังอยู่ไหม” หยางเจิ้นหย่วนกระจ่างขึ้นมาทันที
“เปล่า ไม่ได้เอากลับมาน่ะ” หลงเยว่หงมีหัวหน้าทีมคอยคุ้มหัวจึงกล้าพูดเรื่อยเปื่อย
หยางเจิ้นหย่วนร้อง “เฮ้อ” อย่างเศร้าใจ แล้วหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่าด้วยรอยยิ้ม
“งั้นกลับไปแล้วจะไปให้นายสอนนะ”
“ไม่มีปัญหา!” ซางเจี้ยนเย่ายิ้มสดใสพร้อมกับยื่นมือออกไป
หยางเจิ้นหย่วนมองดูเขาด้วยความสงสัย ยื่นมือออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
มือทั้งสี่ข้างประสานกัน ซางเจี้ยนเย่าเขย่าอย่างหนักแน่น
หยางเจิ้นหย่วนเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เขาดูแปลกๆ นิดหน่อย
บางทีอาจเป็นเพราะตอนอยู่บนพื้นโลก เขาเจอเรื่องมาเยอะล่ะมั้ง… นับตั้งแต่หยางเจิ้นหย่วนเรียนจบและแต่งงาน เขาก็แทบไม่ได้ติดต่อกับซางเจี้ยนเย่าหลงเยว่หงเลย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีปัญาหาอะไรเกิดขึ้น
คนทั้งสามยืนพูดคุยกันอยู่ที่ทางเดินครู่พักหนึ่ง
ขณะที่กำลังจะบอกลา หยางเจิ้นหย่วนก็มองหลงเยว่หงหัวจรดเท้า
“นายดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ”
“จริงเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกดีใจ
หยางเจิ้นหย่วนผงกศีรษะอย่างจริงจัง
“มีความมั่นใจมากขึ้น จริงๆ นะ”
“ฮ่า ฮ่า คงเป็นเพราะตากแดดตัวดำขึ้นล่ะมั้ง” หลงเยว่หงอดพูดถ่อมตัวไม่ได้ แต่รอยยิ้มหราบนใบหน้านั้นทรยศเขาไปแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไรเพื่อรื้อเวทีเขา ทำเพียงแค่ยกมือปิดปากแล้วฝืนยกมุมปากขึ้นมา
นี่ทำให้เกิดเป็นรอยยิ้มที่ดูโอเวอร์และน่าตลก รอยยิ้มที่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
หลังจากมองส่งหยางเจิ้นหย่วนเดินเข้าลิฟต์ไป ทั้งสองก็ไม่ต้องยืนโบกมือแสดงมิตรภาพต่ออีก ต่างก็กลับหลังหันแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน
* * * * *
บ้านเลขที่ 196 เขต B
อาศัยช่วงที่ไฟฟ้ายังไม่ดับ ซางเจี้ยนเย่าลงมือทำความสะอาดห้องที่คับแคบไปรอบหนึ่งแล้วทอดกายนอนลงบนเตียงไม้ที่ตั้งในแนวขวาง วางหมอนที่ยัดด้วยเปลือกธัญพืชพิงผนัง เอนตัวนอนพิงลงไป
จากนั้นเขายกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง
ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ บนเกาะที่มีภูเขา มีสายน้ำ มีแสงแดดส่อง
ที่นี่มีบ่อน้ำบ่อหนึ่งปรากฏขึ้นมา รายล้อมไปด้วยพื้นที่เพาะปลูกหลายหมู่[1]ที่มีต้นข้าวและข้าวสาลี
ณ ขณะนี้ ข้าวสาลีมีสีทอง รวงข้าวหนัก เป็นภาพฉากของการเก็บเกี่ยว
กลางอากาศเหนือเกาะ มีมุกราตรีสีฟ้าเขียวขนาดเท่าตาปลาเม็ดหนึ่งลอยอยู่ มันเรืองแสงเล็กน้อยส่องไปรอบบริเวณ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ผ่านจุดตรวจทางเข้าออก ซางเจี้ยนเย่าได้ส่งออร่าที่ควบแน่นของดิมาร์โก้ในลูกแก้วเข้ามาในโลกจิตวิญญาณของตนเองโดยตรง
ถึงอย่างไรดิมาร์โก้ก็ตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครใช้สิ่งนี้ ‘บุกรุก’ เข้ามา
ซางเจี้ยนเย่าสร้างเก้าอี้มีพนักขึ้นมาก่อนเก้าตัว ก่อนจะแบ่งตัวเองออกมาอีกแปดร่าง
หลังจากพวกเขานั่งลงเรียบร้อย ซางเจี้ยนเย่าคนแรกสุดก็ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับเรียกมุกราตรีสีฟ้าเขียวเข้ามา
เมื่อไข่มุกลอยเข้ามาในอุ้งมือ มันก็ยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้ามากกว่าเดิม ทำให้ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ รอบเกาะพลันเกิดเสียงซ่าๆซ่า คลื่นยักษ์สูงสิบกว่าเมตรก่อตัวขึ้น
ภายในคลื่นยักษ์เหล่านั้น จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนขยายตัวออก ฉายเป็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ซางเจี้ยนเย่าเคยประสบพบเจอมา
พลัง ‘ระลึกชาติ’ มองดูอดีตของสรรพชีวิตทั้งมวล!
พลังพิเศษของออร่าดิมาร์โก้ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือสิ่งนี้
เมื่อมันอยู่ในโลกจิตวิญญาณ จะทำให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถรำลึกความทรงจำต่างๆ ของตนเองในอดีตได้ หากยึดเอาไว้กับโลกความเป็นจริง ก็จะทำให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถถอดจิตสำนึกออกจากร่างได้ในระยะเวลาสั้นๆ แสดงตัวในรูปของ ‘ผี’ ตามที่เล่าขานกันในตำนาน ซึ่งนั่นก็คือสภาวะของดิมาร์โก้ในตอนนั้นนั่นเอง
ทว่าเรื่องนี้มีข้อจำกัดด้านเวลา รวมทั้งขอบเขตของระยะทางด้วย
หากไม่ได้รับการปกป้องของร่างกาย จิตสำนึกของซางเจี้ยนเย่าจะสัมผัสกับสภาพแวดล้อมรอบตัวโดยตรง ทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยและองค์ประกอบด้านลบต่างๆ ดังนั้นอย่างมากสุดต้องไม่เกินสามวินาที มิฉะนั้นจะแตกสลายอย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อเกิดการแตกสลาย เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาว่าหลังจากจิตสำนึกกลับเข้าร่างแล้ว จะทำให้เขาตกอยู่ในสภาพอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง
หรือหากร้ายแรงกว่านั้น เขาอาจจะอยู่ในสภาพผัก กลายเป็นเจ้าชายนิทรา
หลังจากจิตสำนึกออกจากร่างไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าจะสามารถบุกรุกเข้าโลกแห่งจิตวิญญาณของผู้อื่นได้โดยตรงเหมือนดิมาร์โก้ และมองเห็นอดีตต่างๆ ของอีกฝ่าย
ซึ่งนี่จำเป็นต้องให้เป้าหมายอยู่ห่างจากเขาภายในระยะสามสิบเมตร เพราะจิตสำนึกของเขาไม่อาจอยู่ห่างจากร่างตัวเองได้มากกว่านั้น
เห็นได้ชัดว่าประสิทธิภาพของมันอ่อนกว่าตอนที่ดิมาร์โก้ใช้มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาที่จิตสำนึกสามารถคงอยู่หลังออกจากร่าง หรือระยะประสิทธิผลของพลังก็ตาม
นอกจากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ไม่อาจใช้มุกราตรีนี้เพื่อยึดแปรสภาพจิตสำนึกของเป้าหมายเพื่อยึดครองร่างได้
จนกระทั่งฉากต่างๆ ในคลื่นยักษ์สำแดงออกมาจนหมดสิ้น ซางเจี้ยนเย่าทั้งเก้าคนก็เริ่มทำงาน
พวกเขาแต่ละคนต่างก็รับผิดชอบพื้นที่ของตัวเอง รีบค้นหาความทรงจำอย่างเร่งด่วน
หลังจากกระชับพื้นที่ลงครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ค้นหาฉากเหตุการณ์ที่ต้องการพบได้อย่างรวดเร็ว
ในฉากนั้นซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่หน้าบ้านตัวเอง มีชายสวมหมวกแก๊ปสีเข้ม เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังเก่าๆ กำลังก้มเก็บท่อโลหะผอมเพรียวและลูกดอกเล็กๆ ขึ้นจากพื้น
นี่คือฉากเหตุการณ์ตอนที่ซางเจี้ยนเย่าถูกโจมตีโดยผู้ตื่นรู้ของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ครั้งแรก
พวกซางเจี้ยนเย่าย้อนภาพกลับไป พบว่าระหว่างกลางนั้นมีส่วนหนึ่งที่ขาดหายไป
ความทรงจำที่เกี่ยวข้องถูกลบทิ้งไปจริงๆ แม้แต่ ‘ระลึกชาติ’ ก็ไม่อาจทำซ้ำขึ้นได้
พวกซางเจี้ยนเย่าไม่ย่อท้อ เริ่มสังเกตใบหน้าด้านข้างและด้านหลังของผู้ต้องสงสัยอย่างจริงจัง พยายามค้นหาบุคลิกลักษณะออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เพื่อไม่ให้พลังของมุกราตรีสีฟ้าเขียวต้องเสียเปล่าไป พวกเขาจึงยุติความพยายามนี้ กลับเข้ามาผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้ากลับไปมองฉากที่เก็บเกี่ยวมาได้ ก็เห็นว่าบนเกาะนั้นแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ เขาเผยรอยยิ้มสดใสก่อนจะกลับหลังหันกระโดดลงไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ออกแรงว่ายห่างจากเกาะไปไกล
________________________________________
[1] หมู่ (亩) หน่วยวัดพื้นที่ของจีน มีขนาด 666.666 ตารางเมตร