ตอนที่ 6 ใจที่แสวงหาการบำเพ็ญเพียร
ไปหาเจ้าที่จังหวัดกว่างอี้เหรอ? ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองของเขาเพียงครู่เท่านั้น เพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกหนาวเป็นอย่างมาก หนิวโหย่วเต้าไม่มีใจจะไปนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แล้วก็ไม่คิดที่จะไปหาอีกฝ่าย เพราะเขาไม่มีความสนใจต่อทหารเหล่านี้
สายตามองดูกลุ่มทหารจากไปอย่างร้อนใจ หลังมั่นใจว่าทหารเหล่านั้นจากไปแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต้าที่ฟันกำลังสั่นกระทบกันก็ปีนขึ้นมาบนแพไม้ไผ่อย่างยากลำบาก
ตอนยังไม่ขึ้นจากน้ำก็ยังดีหน่อย แต่พอขึ้นมาต้องลมหนาวด้านบน ความรู้สึกนั้นเรียกได้ว่าหนาวเสียดกระดูก ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันดังกึกๆๆ ไม่หยุด ทั้งหนาวทั้งหิว เขาคิดอยากจะกระโดดกลับลงไปในน้ำ บางทีอาจจะรู้สึกอุ่นขึ้นกว่าตอนนี้หน่อย แต่เขาก็รู้ว่านั่นมิได้ต่างอะไรกับการใช้น้ำเย็นต้มกบเลย ที่กว่าจะรู้ตัวถึงความผิดปกติ เขาก็คงไม่สามารถปีนขึ้นมาจากในน้ำได้แล้ว
เขาหยิบเอาตะบันไฟออกมาด้วยคิดที่จะจุดไฟ แต่สุดท้ายพบว่าตะบันไฟเองก็เปียกชุ่มไปทั้งอันเช่นเดียวกัน ไม่สามารถใช้ได้อีก
เขาเหลือบไปเห็นปลาย่างที่เพิ่งจะกินไปได้ไม่กี่คำที่เขาโยนทิ้งเอาไว้บนแพไม้ไผ่ จึงรีบหยิบมันขึ้นมา นิ้วมือทั้งสิบที่แข็งทื่อประคองปลาเอาไว้ในมือพลางกัดกินด้วยร่างกายที่หนาวสั่น คิดหาวิธีที่จะเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย พลังงานความร้อนภายในร่างกายคล้ายถูกใช้ไปจนหมดแล้ว นั่นคือความรู้สึกหนาวสั่นที่แผ่ออกมาจากในกระดูก ร่างกายกำลังจะไร้ความรู้สึกจากความหนาวเย็น รอบด้านเห็นได้ชัดว่าเป็นป่ารกร้าง มองไม่เห็นร่องรอยการอยู่อาศัยของผู้คนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้
จากนั้นเขาพบว่าตนเองทนไม่ไหวแล้ว การรับรู้ทั่วทั้งร่างคล้ายกำลังจะหายไป สะลึมสะลือคิดอยากจะนอน
แต่เขารู้ดีว่าไม่อาจนอนหลับได้ นี่คืออาการของร่างกายที่กำลังจะสูญเสียการรับรู้ ทันทีที่นอนหลับไปในสภาพแบบนี้ก็อย่าได้คิดที่จะตื่นขึ้นมาอีก
สายตาทอดมองไปยังริมฝั่งแม่น้ำ คิดอยากจะปีนขึ้นฝั่งไป ทว่าร่างกายแข็งทื่อจนไม่อาจควบคุมได้แล้ว การรับรู้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ขณะที่เขากำลังจมดิ่งลงไปในการหลับใหล เขาก็คล้ายฝันว่าได้อิงอยู่ข้างเตาไฟ แผ่นหลังร้อนผ่าว ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เขาลุกพรวดขึ้นมา สีหน้างุนงง พบว่าเสื้อผ้าที่เปียกชื้นบนร่างกายกำลังมีไอร้อนฟุ้งกระจายออกมา
ร่างกายเองก็ไม่รู้สึกหนาวแล้ว ตำแหน่งหนึ่งบนแผ่นหลังรู้สึกร้อนเป็นอย่างมาก กระแสความร้อนหลั่งไหลไปทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง ขับไล่ความหนาวเย็นทั้งหมดออกไป
ก่อนหน้านี้รู้สึกหนาวเย็นจนร่างกายแข็งทื่อ ทว่าตอนนี้กลับค่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนเป็นไข้
แต่ความรู้สึกประหลาดใจที่มีต่อเรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาเพียงแวบเดียว จากนั้นเขาก็เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จุดกำเนิดความร้อนบนแผ่นหลังจุดนั้นคือจุดชีพจรที่ตงกัวเฮ่าหรานซัดยันต์คุ้มกายเข้าไปให้เขา เพียงเท่านี้เขาก็เข้าใจแล้ว ขณะเดียวกันยังรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก การควบคุมพลังภายในของตงกัวเฮ่าหรานล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยอย่างนั้นหรือ? นี่ยิ่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะไปเยือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หรือจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกปรารถนาที่จะบำเพ็ญเพียรฝึกฝนวิชาก็ว่าได้
ตอนนี้เขารู้สึกร้อนจนยากจะทนได้ คิดอยากจะปรับลมหายใจเพื่อชักนำกระแสความร้อนสายนี้ ทว่าร่างกายนี้ไม่มีความสามารถที่ว่านั้น กระทั่งพื้นฐานการโคจรปราณที่เป็นเรื่องง่ายที่สุดก็ยังไม่มี ปราณแท้ภายในร่างกายยังไม่ถูกดึงออกมา จึงไม่สามารถเดินปราณได้ อาศัยเพียงแค่ความคิดนั้นไม่มีประโยชน์
นอกจากนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าร่างกายของตัวเองร่างนี้เหมาะที่จะฝึกฝนวิชาหรือไม่ หากใช้คำพูดของคนที่บำเพ็ญเพียรมาอธิบายล่ะก็ นั่นก็คือไม่รู้ว่ามีฐานรากหรือเปล่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการฝึกปราณ ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ล้วนแต่ไม่เหมาะที่จะฝึกปราณ สาเหตุของปัญหานี้เป็นเพราะว่าสภาพร่างกายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน การฝึกปราณจำเป็นต้องมีการกระจายตัวของเส้นลมปราณภายในร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เส้นลมปราณเป็นเหมือนกิ่งก้านภายในร่างกาย กิ่งก้านหลักภายในร่างกายคนเราส่วนใหญ่แล้วจะเหมือนกัน แต่กิ่งก้านที่แตกย่อยออกไปกลับไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน ก็เหมือนกับต้นไม้ชนิดเดียวกัน รูปร่างหน้าตาของพวกมันเวลาเจริญเติบโตขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน
คนบางคนกระทั่งกิ่งก้านหลักของเส้นลมปราณภายในร่างกายก็ยังไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน กระทั่งคนที่หัวใจไปเจริญเติบโตอยู่ในอีกด้านหนึ่งของหน้าอกก็ยังมี
ทว่าแม้นฐานรากไม่ดี หรือพูดอีกอย่างคือคนที่มีคุณสมบัติทางร่างกายไม่ดีก็ไม่ใช่ว่าจะฝึกปราณไม่ได้ เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นฝึกฝนได้เพียงวิชาง่ายๆ บางวิชาเท่านั้น ส่วนพวกวิชาการหายใจที่ช่วยยืดอายุขัย วิชาที่มีความลึกซึ้ง วิชาที่มีหลักการเดินปราณที่สลับซับซ้อน วิชาเหล่านั้นพวกเขาไม่สามารถฝึกได้
สุดท้ายแล้วก็รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หนิวโหย่วเต้าใช้น้ำเย็นล้างหน้า ถึงขนาดปลดสาบเสื้อออกเพื่อตากลมเย็น เสื้อผ้าขาดๆ บนร่างกายยังคงมีไอร้อนฟุ้งกระจายขึ้นมา ผิวหนังกลายเป็นสีแดง
ในตอนที่เก็บลูกธนูบนแพไม้ไผ่ หนิวโหย่วเต้าก็สังเกตเห็นป้ายชื่อที่แม่ทัพหญิงคนนั้นยิงมา มีขนาดไม่ใหญ่ เป็นทรงกลมสีแดงคล้ำ ด้านหนึ่งสลักรูปนกเฟิ่งหวงกางปีกเอาไว้ตัวหนึ่ง อีกด้านหนึ่งสลักคำว่า ‘หนาน’ เอาไว้
“เสี่ยวจ้วน[1]…” หนิวโหย่วเต้าจ้องมองตัวหนังสือพลางกล่าวพึมพำ ในสายตาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกงุนงงสับสน
ตัวอักษรที่คนที่นี่ใช้คือเสี่ยวจ้วนอย่างนั้นหรือ? ด้วยสายอาชีพที่เขาเคยทำมา เขาย่อมต้องรู้จักตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเป็นอย่างดี จึงสามารถอ่านออกได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยก็คือคนในโลกนี้พูดภาษาจีนกลาง ทว่ากลับใช้ตัวอักษรเสี่ยวจ้วน เมื่อเทียบโลกที่เขารู้จักเป็นอย่างดีโลกนั้นแล้วดูค่อนข้างสับสนวุ่นวาย แต่เมื่อกลับมาลองคิดดูแล้ว หากมองโลกเมื่อในอดีตของเขาจากมุมมองของโลกนี้ บางทีอาจจะเป็นโลกที่เขาคุ้นเคยใบนั้นต่างหากที่สับสนวุ่นวายก็เป็นได้ สุดท้ายแล้วจะเป็นโลกไหนที่สับสนวุ่นวาย เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน
ส่วนแพไม้ไผ่ก็ล่องเข้าไปในกระแสน้ำเชี่ยวในภูเขา ความเร็วที่ลอยไปรวดเร็วเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเริ่มกระเพื่อมขึ้นลง
หนิวโหย่วเต้าที่ได้สติกลับมารีบดึงเอากับดักจับปลาที่ผูกไว้ด้านหลังแพไม้ไผ่กลับมา หนทางยังอีกยาวไกล ภายหน้าไม่แน่อาจจะได้ใช้มันอีกก็เป็นได้ ไม่อาจปล่อยให้มันเสียไประหว่างทางเช่นนี้ได้ ถ่อไม้ไผ่ถืออยู่ในมือ ยันซ้ายยันขวาอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำในหุบเขาที่เชี่ยวกราก สาบเสื้อที่เปิดรับลมหนาวปะทะเข้ากับคลื่นลมท่ามกลางหยดน้ำที่สาดกระเซ็นขึ้นมาเป็นระยะ ความเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าเขามีประสบการณ์ในด้านนี้ แม้นจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายก็ยังรับมือได้อย่างใจเย็น ดูช่างยิ่งใหญ่และน่าตกตะลึง
เมื่อผ่านจุดอันตรายมาแล้ว กระแสน้ำก็สงบลงอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเหนื่อยล้า จึงจับเอาปลาบนแพไม้ไผ่ที่ตายไปแล้วตัวหนึ่งขึ้นมากินสดๆ บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือหมู่เขาขึ้นไปมีพระจันทร์ที่ส่องแสงสว่างไสวอยู่ดวงหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนในบทกวีที่ว่า ‘ริมสองฝั่งวานรร้องเรียก เรือลำน้อยลอยผ่านหมู่เขา’ แพไม้ไผ่ลอยออกมาจากเทือกเขา ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมกับแสงสีทองเรืองรอง หนิวโหย่วเต้าเองก็หาที่เข้าฝั่ง
ความร้อนบนร่างกายค่อยๆ สลายไป ความหนาวเย็นโจมตีเข้ามาอีกครั้ง หลังหาสถานที่เหมาะๆ ได้ที่หนึ่ง หนิวโหย่วเต้าก็เหวี่ยงจอบขุดโพรง เก็บฟืนและไม้แห้งมา หมุนไม้จุดไฟ นอนอยู่ในโพรงที่จุดไฟร้อนๆ แล้วนอนหลับไป
ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ท่ามกลางลมหนาวมีดวงอาทิตย์งดงาม ยามค่ำคืนมีแสงจันทร์นวลผ่อง สุริยันจันทราคลอเคลียเคียงกัน
ยามเจอกระแสน้ำเชี่ยวก็ใช้ถ่อไม้ไผ่ ยามกระแสน้ำไหลเอื่อยก็ใช้ไม้พายที่ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ ค่อยๆ พายไป
แม้นเจอความยากลำบาก ทว่ากลับมีความสุข ประสบการณ์ในชีวิตของเขาเพียงพอที่จะทำให้เขาใช้รับมือกับความโหดร้ายของธรรมชาติที่นี่ได้
หลังจากนั้นอีกหลายวัน แม่น้ำคล้ายดูสงบลง ทว่ากระแสน้ำกลับไหลอย่างรวดเร็ว หนิวโหย่วเต้ามองดูก็รู้ว่าเบื้องหน้าจะต้องมีพวกผาขาดที่มีน้ำตกอยู่อย่างแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ผ่านไปไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังครืนๆ ลอยมาแต่ไกล เขาน่าจะมาถึงน้ำตกที่ตงกัวเฮ่าหรานว่าไว้แล้ว
เขากวาดตามองดูรอบๆ ก่อนจะมองเห็นป่าเขางดงามแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ คำอธิบายของตงกัวเฮ่าหรานเรียบง่ายแต่กลับชัดเจน เห็นทีตรงนั้นคงจะเป็นสถานที่ที่อบอวลไปด้วยพลังวิญญาณที่อีกฝ่ายว่าไว้ จึงรีบเหวี่ยงไม้พาย พยายามพาแพไม้ไผ่เข้าเทียบฝั่งท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ก่อนจะลากศพของตงกัวเฮ่าหรานขึ้นฝั่งอย่างยากลำบาก จากนั้นมองดูแพไม้ไผ่ไหลไปตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว ท้ายแพไม้ไผ่ยกกระดกขึ้นมา พากองฟืนร่วงตกลงไปเบื้องล่าง
เขาดึงเอามีดผ่าฟืนที่เหน็บเฉียงๆ ไว้ด้านหลังเอวออกมา ตัดไม้และพืชจำพวกหวายที่อยู่ใกล้ๆ มาทำเป็นสิ่งที่ดูคล้ายเปลอย่างง่ายๆ เอาศพของตงกัวเฮ่าหรานวางขึ้นไป ถักหวายเป็นเชือกคล้องไว้บนไหล่ สองมือยกปลายด้านหนึ่งของเปลขึ้นมาแล้วออกแรงลาก ไหล่ดึงมือลาก ดึงๆ ลากๆ ไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
หลังเดินลากเปลอย่างยากลำบากมาถึงส่วนลึกของภูเขา เขาก็มาเจอสถานที่ที่เป็นภูเขาสูงชัน เปลลากต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงโยนลงไปกับพื้น ก่อนจะนอนแผ่ไปที่ใต้ต้นไม้อย่างหมดแรง ปลดเอากระบอกไม้ไผ่ที่อยู่ตรงเอวมากรอกน้ำเข้าปากไปคำหนึ่ง จู่ๆ พลันส่งเสียงตะโกนดังลั่นออกไปว่า “คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ไหม?”
หลังส่งเสียงตะโกนอยู่หลายครั้งก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ จากในป่า เขาเตรียมจะพักเหนื่อยเสียหน่อย จากนั้นวางแผนทิ้งศพตงกัวเฮ่าหรานเอาไว้ที่นี่แล้วออกไปตามหาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เพียงลำพัง ทันใดนั้นพลันมีเสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรมากระแทกหน้าเขาจนรู้สึกเจ็บ จึงรีบหยิบมีดลุกขึ้นมา กวาดตามองไปรอบๆ
ฟิ้ว! มีอะไรบางอย่างมากระแทกหน้าจนรู้สึกเจ็บอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้เห็นว่าบนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มสวมชุดสีเทาผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ด้านหลังเขาสะพายกระบี่เล่มยาว ก้มลงมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเย็นชาพลางกล่าวตะคอกว่า “เด็กบ้านนอกที่ไหนมาตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่นี่?”
หนิวโหย่วเต้าดวงตาเป็นประกาย กล่าวถามอย่างยินดีว่า “ใช่คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือเปล่า?”
คนหนุ่มกล่าวว่า “เด็กบ้านนอกอย่างเจ้ารู้จักสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยหรือ?”
ทันทีที่ได้ยินก็รู้ว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว หนิวโหย่วเต้าเหน็บมีดผ่าฟืนกลับไปที่เอว ก่อนจะรีบเปิดผ้าสกปรกที่คลุมอยู่บนเปลออก เผยให้เห็นใบหน้าของตงกัวเฮ่าหราน จากนั้นชี้พลางกล่าวว่า “เขา รู้จักหรือเปล่า? ตงกัวเฮ่าหรานให้ข้ามาหาพวกท่านที่นี่”
ชายหนุ่มเหลือบมอง ก่อนจะตกใจจนหน้าถอดสี รีบถลาตัวพุ่งลงมา ทำการตรวจดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบเอาพลุสัญญาณแท่งหนึ่งออกมาดึงแล้วชี้ขึ้นฟ้า เปลวไฟดวงหนึ่งสว่างขึ้นมา ส่งเสียงปิ้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะระเบิดออกเป็นประกายไฟอยู่กลางอากาศ
จากนั้นไม่นานก็มีคนอีกสิบกว่าคนทะยานมาตามยอดไม้จากละแวกใกล้ๆ ก่อนจะพลิกตัวกระโดดลงมา หนิวโหย่วเต้ามองดูตาปริบๆ ลอบอุทานอยู่ในใจว่าแต่ละคนวิชาตัวเบาล้วนแต่ยอดเยี่ยม
คนที่เดินทางมาถึงพากันตรวจดูตงกัวเฮ่าหราน จากนั้นมีคนตะโกนขึ้นมาว่า “รีบไปรายงานสำนัก!”
มีคนพุ่งตัวหายเข้าไปในป่า คนอื่นๆ จ้องมองหนิวโหย่วเต้า ห้อมล้อมเขาเอาไว้ด้วยสายตาที่ดุดัน แต่กลับไม่มีใครสอบถามอะไรเขา
ผ่านไปไม่ก็มีเสียงฟึบๆๆๆ ดังขึ้น มีคนทยอยลอยลงมาจากฟ้า สุดท้ายหลัวหยวนกง ซูพั่ว ถังซู่ซู่ที่ทราบข่าวก็รีบตามมา ถังอี๋และเว่ยตัวเองก็รีบตามมา จากนั้นก็มีคนอีกหลายสิบคนทยอยตามมา ศิษย์สายในของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่วนใหญ่ล้วนมากันหมด
หลังทำการตรวจศพของตงกัวเฮ่าหรานแล้ว แต่ละคนก็มองหน้ากันไปมา สีหน้าของแต่ละคนดูค่อนข้างคร่ำเคร่ง
ในตอนที่หนิวโหย่วเต้าสังเกตดูท่าทีของทุกคน เขาก็เหลือบมองดูถังอี๋อยู่หลายครั้ง พบว่าเด็กสาวผู้นี้แม้นยืนอยู่ในกลุ่มคนก็ยังดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก หน้าตางดงามราวกับเซียนก็ว่าได้ ทว่าเขาก็เพียงแค่ชื่นชมในความงามเท่านั้น เวลานี้ยังไม่มีความคิดอื่น เมื่อดูจากปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว เขามองออกว่าสถานะของตงกัวเฮ่าหรานภายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นั้นค่อนข้างสูงส่งทีเดียว
หลังตรวจดูศพของตงกัวเฮ่าหรานเสร็จเรียบร้อย หลัวหยวนกงที่นั่งยองอยู่ข้างศพก็ลุกขึ้นยืน มองมาทางหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวถามว่า “น้องชาย เจ้าเป็นคนพามาหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “ใช่”
หลัวหยวนกงพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้าเป็นคนในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสามร้อยลี้ ขณะนั้นมีทหารบุกมาปล้นหมู่บ้าน ข้าเลยไปหลบอยู่ในวัดเล็กในภูเขา….” หนิวโหย่วเต้าเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ออกมา ส่วนเรื่องคันฉ่องสัมฤทธิ์โบราณนั้นเขาได้ทำตามที่ตงกัวเฮ่าหรานสั่งกำชับเอาไว้ ก่อนที่จะรู้ว่าถังมู่คือผู้ใด เขาไม่มีทางพูดเรื่องมันออกมา
เพียงแต่ในตอนที่พูดถึงเรื่องตงกัวเฮ่าหรานรับเขาเป็นศิษย์ สีหน้าของเหล่าศิษย์สายในจำนวนไม่น้อยก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะถังซู่ซู่นั้นยิ่งดูเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหาง สายตาฉายแววดุร้ายออกมา ตะคอกเสียงดังตัดบทว่า “ตงกัวเฮ่าหรานน่ะหรือจะรับเด็กบ้านนอกอย่างเจ้ามาเป็นศิษย์ง่ายๆ เหลวไหลทั้งเพ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
ไม่เพียงแต่จะพูดออกมาเท่านั้น แต่นางกลับเหวี่ยงฝ่ามือฟันลงมาจริงๆ พลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งดุดันส่งเสียงคำราม ลมอันรุนแรงระเบิดออกไปรอบทิศ
“ศิษย์น้อง!” หลัวหยวนกงกับซูพั่วอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่กลับหยุดนางเอาไว้ไม่ทัน คิดไม่ถึงว่าถังซู่ซู่จะลงมืออย่างฉับพลัน อีกทั้งกระบวนท่าที่ใช้ออกมายังเป็นกระบวนท่าสังหารอีกด้วย
มีคนพอจะคาดเดาความคิดของถังซู่ซู่ได้ ถังมู่จากไปแล้ว ตำแหน่งเจ้าสำนักสืบทอดให้แก่ตงกัวเฮ่าหราน!
หนิวโหย่วเต้าตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเขามองไม่ออกถึงความร้ายกาจของฝ่ามือนี้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เคยฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมาก่อน เพียงแต่อานุภาพของฝ่ามือนี้น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แม้นพลังฝ่ามือยังมาไม่ถึง แต่มันก็บีบอัดเขาจนไม่สามารถหายใจได้ หากถูกฝ่ามือฟันใส่จริงๆ เกรงว่าคงต้องตายไปในทันทีอย่างแน่นอน
การเผชิญหน้ากับการโจมตีที่มีอานุภาพดุดันรุนแรงเช่นนี้ในระยะประชิดขนาดนี้ อย่าว่าแต่ตัวเขาในตอนนี้เลย ต่อให้เขายังมีสภาวะเหมือนอย่างเมื่อในอดีตก็หลบไม่พ้นเช่นกัน ภายในใจลอบด่าโคตรเหง้าของหญิงชราผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะต้องมาตายที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เสียดายที่ตัวเองลำบากลำบนแบกศพของตงกัวเฮ่าหรานมาแสดงความจริงใจ
ความจริงแล้วตงกัวเฮ่าหรานก็ไม่ได้บอกให้เขานำศพมาด้วย เพราะขอเพียงเขาหาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์พบ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ย่อมต้องส่งคนออกไปตามหาศพเอง เป็นตัวเขาเองที่หาเรื่องใส่ตัวเพราะอยากจะแสดงความจริงใจ
…………………………………………………………..
[1] เสี่ยวจ้วน คือ ตัวอักษรจีนรูปแบบหนึ่งเมื่อในอดีต