ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 28 มีมื้อดึกกินเหรอ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 28 มีมื้อดึกกินเหรอ

ตอนที่ 28 มีมื้อดึกกินเหรอ?

หลังพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย หยวนฟางก็ขอตัวออกไป ซ่งเหยี่ยนชิงส่งสวี่อีเทียนออกไปเป็นเพื่อน แต่ความจริงแล้วคือให้ไปเฝ้าอีกฝ่ายเอาไว้ อย่าปล่อยให้หยวนฟางหนีไปได้ สำหรับซ่งเหยี่ยนชิงแล้ว เรื่องที่หยวนฟางจะยอมรับใช้เขาหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่อาจรู้ได้ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คือเขาไม่อาจปล่อยให้หยวนฟางมาทำลายแผนการของตนเองได้ เวลานี้เขาต้องควบคุมวัดหนานซานเอาไว้ในมือของตัวเองก่อน

หลังหยวนฟางออกไปแล้ว ซ่งเหยี่ยนชิงก็อดสบถด่าอย่างขบขันขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าปีศาจหมีตนนี้น่าสนใจ”

เฉินกุยซั่วขยับเข้ามาใกล้เขา กะพริบตาพลางกล่าวว่า “หมี ขนสีทอง มีดดาบฟันแทงไม่เข้า! ศิษย์พี่ ท่านนึกอะไรออกบ้างไหม?”

สายตาของซ่งเหยี่ยนชิงคร่ำเคร่งขึ้นมา พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว “ตอนที่เขาถอดเสื้อเผยให้เห็นขนสีทองทั่วทั้งร่างข้าก็มองออกแล้ว เขาคือหมีขนทองที่อยู่ในบันทึกสัตว์แปลกประหลาด อาภรณ์ชุดเกราะที่ถักทอจากขนสีทองของเขามีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างมาก เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมาถูกพวกเราพบเข้าที่นี่ได้ ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เกรงว่าเขาคงจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนในโลกบำเพ็ญเพียรเท่าไร มิเช่นนั้นด้วยสภาวะที่ต่ำต้อยเช่นนี้จะกล้าเปิดเผยตัวตนง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่ต้องรีบ เรื่องในอนาคตค่อยว่ากัน รอดูว่าเขาจะรู้จักประมาณตนหรือไม่ จัดการเรื่องสำคัญที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อน”

เฉินกุยซั่วส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ เขาพบว่าเจ้าปีศาจหมีตัวนี้ยังดวงดีอยู่ หากมิเป็นเพราะว่าเขายังแปลงกายเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้บนร่างยังมีขนทองช่วยป้องกันเอาไว้ เกรงว่าในตอนแรกที่ลงมือคงจะถูกพวกเขาสังหารไปแล้ว

หลังจากนั้น เฉินกุยซั่วก็ไปเดินสำรวจดูสภาพแวดล้อมรอบๆ วัดหนานซานเป็นเพื่อนซ่งเหยี่ยนชิงเพื่อเตรียมตัว

หลังพวกเขาสามคนออกมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาก็เร่งเดินทางมาโดยมิได้หยุดพัก เพื่อจะได้มาเตรียมการเอาไว้ก่อนล่วงหน้า การเดินทางครั้งนี้ได้รับประโยชน์จากตระกูลของซ่งเหยี่ยนชิง พวกเขาจึงสามารถหาศาลาพักม้าและทำการเปลี่ยนม้าระหว่างทางได้ มิเช่นนั้นม้าของทั้งสามคงเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักไม่ไหวแน่

…….

แสงจันทร์กระจ่าง ส่องสว่างลำน้ำใหญ่ กระโจมผ้าตั้งเรียงรายไปตามริมน้ำ เกลียวคลื่นในแม่น้ำซัดสาดสะท้อนแสงจันทร์

ศาลาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนก้อนหินริมแม่น้ำดูค่อนข้างเก่าทรุดโทรม ซางเฉาจงยืนสองมือไพล่หลังอยู่ริมราวกั้น สายตาทอดมองแสงจันทร์บนแม่น้ำ

หลานรั่วถิงที่อยู่ไม่ไกลสืบเท้าเดินมา ค่อยๆ ย่างเข้าไปในศาลา เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องไม่เข้านอน แต่กลับมายืนเหม่อมองแม่น้ำเช่นนี้ มีเรื่องในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงถอนใจเบาๆ “มาตรว่าภายในใจข้าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าและฮึกเหิม ทว่าสถานการณ์ของพวกเราเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดี เวลานี้ข้างกายไร้ซึ่งฝ่าซือที่แข็งแกร่งคอยปกป้องคุ้มครอง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเดินทางไปถึงเมืองศักดินาได้โดยปลอดภัยหรือไม่ เมื่อข้ามจังหวัดกว่างอี้ไปแล้ว อำเภอชางหลูก็อยู่อีกไม่ไกล ยิ่งใกล้ถึงปลายทางข้ายิ่งเป็นกังวล”

หลานรั่วถิงกล่าวปลอบ “ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่พวกเราจะได้ทัพกาทมิฬมา การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ไม่มีทางพบอันตรายร้ายแรงอะไร น่าจะเดินทางไปถึงโดยสวัสดิภาพ กระหม่อมกลับเป็นห่วงทางเมืองศักดินามากกว่า เกรงว่าทางราชสำนักคงเตรียมการเอาไว้แล้ว”

ซางเฉาจงหันหน้ากลับมาถาม “นี่ข้ากำลังครุ่นคิดว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเรายังมีความจำเป็นที่จะไปอำเภอชางหลูอยู่หรือไม่”

สีหน้าของหลานรั่วถิงพลันขึงขังขึ้นมา รีบโบกมือพลางกล่าว “ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังอำเภอชางหลูครานี้ ทางราชสำนักจะต้องแอบจัดคนมาคอยจับตาดูพวกเราอย่างแน่นอน หากพวกเรามุ่งหน้าตรงไปตามเส้นทางที่วางไว้ เราก็ยังพอจะเดินทางไปถึงโดยปลอดภัยได้ ทว่าหากออกนอกเส้นทางจนไม่อาจควบคุมได้ เกรงว่าคงจะมีคนมาตามไล่สังหารทันทีเป็นแน่ นอกจากนี้ที่ผู้น้อยพยายามติดสินบนคนในเมืองหลวง เพื่อขอให้พวกเขาช่วยเนรเทศท่านอ๋องไปยังอำเภอซางหลูก็มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพราะเมื่อครั้งที่ท่านอ๋องพระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ได้เตรียมกำลังคนและทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่อำเภอชางหลู ที่นี่คือความหวังสุดท้ายของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ในมือพวกเราไม่มีทรัพยากรอื่นให้ใช้ได้แล้ว ไม่อาจละทิ้งไปได้โดยง่ายพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาคงพยักหน้าอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “หวังว่าจะสามารถดูแลพี่น้องที่สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับข้าเหล่านี้ได้!”

ในเวลานี้เอง กวนเถี่ยผู้เป็นหนึ่งในห้านายกองเดินอาดๆ เข้ามา ด้านหลังยังมีชายชราผมขาวที่เดินขากะเผลกเล็กน้อยคนหนึ่งเดินตามมา

ทั้งสองคนเดินเข้ามาในศาลา กวนเถี่ยประกบมือกล่าวรายงานว่า “ท่านอ๋อง ลุงฟางมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ชายชราผมขาวผู้นั้นคุกเข่าข้างเดียวลงไปคำนับ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ข้าน้อยฟางผิงคารวะท่านอ๋องน้อย…ไม่สิ คารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

“ลุงฟาง รีบลุกขึ้นๆ!” ซางเฉาจงรีบก้าวเข้าไป สองมือประคองชายชราให้ลุกขึ้น

ในอดีตชายชราผู้นี้เคยเป็นทหารคนสนิทคนหนึ่งของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ภายหลังได้รับบาดเจ็บจากสงคราม เท้าเดินเหินไม่สะดวกจึงเกษียณออกจากกองทัพไป จากนั้นกลับมายังบ้านเกิด ซึ่งบ้านเกิดของเขาก็อยู่ในแถบนี้

กระทั่งเขาลุกขึ้นยืน หลานรั่วถิงจึงกล่าวถามว่า “ฟางผิง ที่ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนมาบอกให้เจ้าเตรียมแพข้ามแม่น้ำเอาไว้ เจ้าเตรียมการเรียบร้อยหรือยัง?”

ฟางผิงส่ายศีรษะด้วยสีหน้าละอาย กล่าวว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ จนถึงตอนนี้เพิ่งเตรียมแพได้ไม่กี่แพเท่านั้นขอรับ”

หลานรั่วถิงขมวดคิ้ว “คนตั้งหลายสิบคน หลายวันนี้กลับเตรียมแพได้เพียงไม่กี่แพ มันเกิดอะไรขึ้น?” ที่ในอดีตซางเจี้ยนปั๋วจงใจส่งทหารเกษียณจำนวนหนึ่งมาอาศัยอยู่ในแถบนี้มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อเตรียมการเผื่อเหตุจำเป็น

ฟางผิงถอนใจพลางกล่าว “ท่านอาจารย์หลานอาจจะยังไม่ทราบ หลังจากเฟิ่งหลิงปอที่เป็นผู้ว่าจังหวัดกว่างอี้มีกำลังทหารอยู่ในมือก็หลงคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ เกิดการปะทะกับกองทัพของทางราชสำนักอยู่หลายครั้ง ทำให้หมู่บ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ซ้ำยังบังคับเกณฑ์คนหนุ่มไปเป็นทหาร คนของพวกเราหลายสิบคนตายไปมากกว่าครึ่ง แล้วก็ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ถูกคนของเฟิ่งหลิงปอจับตัวไป เป็นตายไม่อาจรู้ได้ แล้วก็มีแต่ข้าน้อยที่อายุมากแล้ว ซ้ำยังเดินเหินไม่สะดวก คนเหล่านั้นจึงไม่สนใจ ข้าน้อยจึงรอดมาได้ขอรับ”

หลานรั่วถิงตกอยู่ในความเงียบ

“อย่างนี้นี่เอง! ลุงฟาง ไม่ต้องคิดมาก นี่มิใช่ความผิดท่าน” ชางเฉาจงได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวปลอบ ก่อนจะเหลียวหน้าชี้ไปทางต้นแม่น้ำ “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตรงช่องแคบของแม่น้ำที่อยู่ช่วงต้นแม่น้ำมีสะพานอยู่แห่งหนึ่ง หากข้ามไปด้วยแพไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ พวกเราก็เดินอ้อมไปหน่อยก็ได้”

หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ท่านอ๋องอาจจะยังไม่ทราบ เรื่องการปะทะกันของเฟิ่งหลิงปอกับกองทัพของทางราชสำนักนั้นผู้น้อยเองก็ทราบอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพของราชสำนักลอบโจมตี เรือทุกลำในแม่น้ำสายนี้ไม่เพียงแต่จะถูกเฟิ่งหลิงปอควบคุมเอาไว้ แต่สะพานทุกแห่งที่สามารถข้ามไปมาระหว่างแม่น้ำเส้นนี้ได้ก็ถูกเฟิ่งหลิงปอทำลายจนหมดด้วย หากจะต้องเดินทางอ้อมจริง เกรงว่าคงต้องอ้อมไปไกลเจ็ดแปดร้อยลี้ พวกเรามีเวลาเพียงไม่กี่วันเกรงว่าจะอ้อมไปไม่ได้ หลังอ้อมผ่านแม่น้ำไปแล้วก็ยังต้องเดินอ้อมไปอีกไกล ได้ไม่คุ้มเสีย มิสู้ต่อแพข้ามแม่น้ำพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงตัดสินใจออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฟ้าสางก็เริ่มตัดไม้!”

สุดท้ายก็ตกลงกันตามนี้ ขณะที่กวนเถี่ยเพิ่งจะพาฟางผิงไปพักผ่อน ซางซูชิงที่สวมหมวกผ้าแพรก็อุ้มพิณกู่ฉินเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีคนเดินถือถาดอาหารเดินตามเข้ามาด้วย

ซางเฉาจงมองดูนาง อดกล่าวอย่างขบขันไม่ได้ว่า “ชิงเอ๋อร์ ดูเหมือนจะมีอารมณ์สุนทรีย์นะ”

ซางซูชิงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เสด็จพี่ สองคนนั้นไม่ยอมพูดความจริง เวลานี้มีทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ มิสู้เชิญพวกเขามาดื่มสักสองจอก ชิงเอ๋อร์ยินดีบรรเลงเพลงขับกล่อมทุกคน หากรู้สึกยินดีแล้วไม่แน่อาจจะยอมเปิดใจก็เป็นได้”

ซางเฉาจงกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อย “เจ้าจะบรรเลงเพลงขับกล่อม? เป็นถึงท่านหญิงสูงศักดิ์แต่กลับยอมลดตัวเช่นนี้ ชิงเอ๋อร์ เจ้าให้ความสำคัญกับพวกเขามากไปหรือเปล่า?”

ซางซูชิงกล่าว “เสด็จพี่ การดูแลลูกน้องที่มีความสามารถมิใช่เรื่องขายหน้าอันใด มาตรว่าอีกฝ่ายจะมิใช่คนที่มีความสามารถ แต่พวกเราที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยังจะมีสิทธิ์ไปพูดเรื่องลดตัวไม่ลดตัวอันใดได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือเสียว่าเป็นการรับรองเลี้ยงดูแขกก็แล้วกัน มิได้เสียหายอันใด แต่ถ้าเกิดอีกฝ่ายเป็นคนที่มีความสามารถขึ้นมาจริงๆ การที่เราได้รับการช่วยเหลือจากเขามันก็ยิ่งเป็นเรื่องดี เสด็จพี่ พวกเราในเวลานี้ไม่กลัวมีเพื่อนเยอะ กลัวแต่จะไม่มีเพื่อน มาตรว่าเป็นเพื่อนกันไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยการไม่สร้างศัตรูเพิ่มมันก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า ท่านว่าอย่างไรล่ะ?”

หลานรั่วถิงลอบทอดถอนใจ ท่านหญิงผู้นี้เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งยังมีจิตใจที่ชายชาตรียากจะเทียบได้ เสียดายที่เกิดเป็นสตรี มิเช่นนั้นคงต้องยิ่งใหญ่เป็นแน่!

“เป็นข้าที่ไม่ทันคิด ขอบคุณที่สั่งสอน!” ซางเฉาจงประสานมืออย่างจริงใจ ท่าทางเหมือนได้รับการสั่งสอนแล้ว ทำเอาซางซูชิงหัวเราะคิกคักออกมา

ซางเฉาจงเองก็ยิ้มออกมา หันหน้ามาพยักหน้ากับหลานรั่วถิงเพื่อบอกให้เขาไปเชิญมา

ใครจะไปรู้ว่าซางซูชิงจะกล่าวว่า “พวกเราไปเชิญด้วยกันดีกว่า จะได้ดูจริงใจหน่อย”

ซางเฉาจงพยักหน้า “ก็ดี!”

ซางซูชิงจึงวางกู่ฉินลง สั่งกำชับทหารให้จัดเตรียมอาหารและสุราเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับซางเฉาจงและหลานรั่วถิง

ทั้งสามคนเดินมายังกระโจมของหนิวโหย่วเต้า ขณะที่เข้าไปใกล้ เท้าของซางเฉาจงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าพลันหยุดชะงัก รู้สึกคล้ายมีอะไรพันอยู่ที่เท้า

ทั้งสามคนยังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภายในกระโจมก็มีคนผู้หนึ่งมุดออกมา เป็นหยวนกังที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ยืนขวางอยู่ด้านหน้า ในมือกุมมีดสั้นไว้เล่มหนึ่ง ปลายมีดหันไปด้านหลังข้อมือ จ้องมองทั้งสามคนด้วยสายตาดุดัน

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของซางเฉาจง จึงมองลงไปที่เท้าของเขา ถึงได้เห็นว่าที่เท้าของซางเฉาจงมีเชือกเล็กๆ พันเอาไว้เส้นหนึ่ง

ทั้งสามคนอดสบตากันไม่ได้ ที่แท้ก็มีคนแอบติดตั้งอุปกรณ์เฝ้าระวังเอาไว้ในพุ่มไม้เตี้ยอย่างเงียบๆ ทันทีที่มีคนเข้าใกล้บริเวณโดยรอบกระโจมหลังนี้ก็จะถูกคนในกระโจมพบเข้าทันที ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าติดตั้งของแบบนี้เอาไว้รอบกระโจมของตัวเองไม่เป็น พวกเขาเคยเข้ามาใกล้กระโจมก็ไม่ถูกอีกฝ่ายพบเห็น ผู้ใดเป็นคนติดตั้งสิ่งนี้เอาไว้ก็ไม่จำเป็นต้องถามอีก ทั้งสามคนมองไปทางหยวนกัง

สายตาที่ซางเฉาจงมองไปทางหยวนกังยิ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกสนใจ ทั้งๆ ที่มีลูกน้องของตัวเองตั้งมากมายคอยจับตาดูอยู่ แต่กลับไม่มีใครเห็นว่าหยวนกังผู้นี้แอบติดตั้งสิ่งเหล่านี้เอาไว้

เมื่อเห็นพวกเขา หยวนกังก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเหมือนกับใบหน้าของเขา “มีอะไร?”

ซางเฉาจงกล่าวว่า “เดินทางครั้งนี้ยากลำบาก ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ยากที่จะได้เจอกับทิวทัศน์งดงามอย่างเช่นวันนี้ได้ ขณะนี้ริมน้ำได้เตรียมอาหารและสุราไว้แล้ว ใคร่ขอเชิญฝ่าซือและน้องหยวนไปร่วมกินดื่มด้วยกันสักหน่อย!”

หยวนกังกล่าวเสียงเย็นชา “ไม่ล่ะ ฝ่าซือนอนแล้ว!”

ทั้งสามคนงุนงง นึกว่ามาเสียเที่ยวแล้ว แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ ภายในกระโจมจะมีเสียงหนิวโหย่วเต้าดังขึ้นมา “มีอาหารมื้อดึกเหรอ?”

ผ้าด้านหน้ากระโจมถูกเลิกเปิดออก หนิวโหย่วเต้ามุดออกมา ยื่นมือไปปัดผมหางม้าที่ปรกอยู่บนไหล่เล็กน้อย มองดูคนทั้งสามคน สายตาพลันเปล่งประกาย กล่าวขึ้นมาอย่างยินดีอีกครั้งว่า “มีอาหารมื้อดึกเหรอ?”

“อาหาร…มื้อดึก? อ้อ ใช่ มีอาหารมื้อดึก อยู่ในศาลาริมน้ำ ใคร่อยากจะเชิญฝ่าซือไปรับประทานร่วมกัน!” ซางเฉาจงผายมือเชื้อเชิญ”

หนิวโหย่วเต้าชะเง้อมองไปทางศาลาที่อยู่ริมแม่น้ำ ก่อนเหลียวหน้ากลับไปถามหยวนกังว่า “เจ้าหิวหรือเปล่า? ถ้าไม่หิวก็กลับไปนอนไป” กล่าวจบก็หันไปตอบซางเฉาจงว่า “รบกวนท่านอ๋องแล้ว เชิญพ่ะย่ะค่ะ!”

จากนั้นทั้งสี่คนหมุนตัวเดินออกไป หยวนกังหายกลับเข้าไปในกระโจม

พวกซางเฉาจงทั้งสามคนนึกว่าหยวนกังกลับไปนอนแล้วจริงๆ ใครจะไปคิดบ้างว่าจากนั้นไม่นานเขาจะเดินออกมาจากกระโจมอีกครั้ง ในมือถือกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง เป็นกระบี่ที่หนิวโหย่วเต้าพกติดตัวเอาไว้ เขาเองก็ไม่ได้บอกว่าตนเองหิวหรือเปล่า หากแต่เดินตามอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ สายตาคอยสอดส่องระมัดระวังรอบด้าน

เมื่อเข้ามาในศาลาริมน้ำ หนิวโหย่วเต้าก็เดินไปเดินมาครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงหยุดฝีเท้าอยู่ริมราวกั้น มองดูผิวน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์พลางกล่าวทอดถอนใจ “ช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามจริงๆ!”

“ฝ่าซือ เชิญนั่ง!” ซางเฉาจงที่เตรียมจะนั่งลงกล่าวเชิญอย่างเป็นมิตร

หนิวโหย่วเต้านั่งลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลานรั่วถิงเองก็นั่งลงเป็นเพื่อนเขา กลับเป็นหยวนกังที่ไม่คิดจะนั่งลง หากแต่ถือกระบี่คอยเฝ้าอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้า

“น้องหยวน เชิญ!” ซางเฉาจงยื่นมือเชื้อเชิญ

หยวนกังกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไม่หิว!” ไม่มีการไว้หน้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว ทำเอาซางเฉาจงกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย

กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ “เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ ทึมทื่อ ไม่รู้จักวิธีพูดคุยกับคนอื่น กระหม่อมเคยบอกเขาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องสนใจเขาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

……………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท