ตอนที่ 47 เจ้าคืนเงินข้ามา
ตามปกติแล้วเขาเป็นคนที่ใจกว้างอย่างมากคนหนึ่ง ใช่ว่าจะไม่เคยโดนหยามหน้าดูแคลนมาก่อน แต่มีบางเรื่องที่เขาถือสาอย่างยิ่ง อย่างเช่นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ เฟิ่งรั่วหนานคิดอยากสังหารเขา หยวนกังลงมือปกป้องก็นับเป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ อีกทั้งหยวนกังยังลงมืออย่างไว้มารยาท เพียงสกัดขวางไว้เท่านั้น มิได้ลงไม้ลงมืออันใดเลย การที่ตาเฒ่าผู้นี้ออกมาไกล่เกลี่ยห้ามปรามก็ไม่ว่ากัน แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องลอบลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้เลย
ฟังจากที่อีกฝ่ายแทนตัวว่า ‘บ่าว’ เห็นได้ชัดว่าเป็นบ่าวรับใช้ที่ออกหน้าปกป้องคุณหนูของตน เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกในส่วนนี้ แต่ตัวเขาหนิวโหย่วเต้าก็มิใช่คนยอมคนเช่นกัน
เมื่อครู่ที่ถามอีกฝ่ายว่าเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมังก็มิใช่คำลวง เขาสามารถอ้างเรื่องกาทมิฬแสนตัวบีบบังคับลงโทษตาเฒ่าคนนี้ได้ อย่างน้อยก็คงบังคับให้ตาเฒ่าคนนี้ขอขมาลาโทษได้ ทำให้เขาอับอายเสียหน้าสักครั้ง ทว่าเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น เขาจึงตัดสินใจยอมถอยก้าวหนึ่ง เรื่องขอขมาลาโทษอันใดเขาไม่เอาแล้ว แต่จะจดจำเรื่องนี้ไว้!
ละครคั่นฉากเล็กๆ คล้ายจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเฟิ่งรั่วหนานที่ยังฝืนดิ้นรนอยู่กลับไม่ยอมจบเรื่อง ตะโกนขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ข้าไม่แต่ง! ถ้าข้าต้องแต่งก็จะแต่งกับชายชาตรีห้าวหาญเด็ดเดี่ยวสักคน ไม่แต่งกับคนกระจอกที่ต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ แบบซางเฉาจงคนนั้นเด็ดขาด!”
นางกล่าวมาเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ยอมเช่นกัน ไหนเลยจะปล่อยให้สตรีนางนี้ทำเสียเรื่องได้ ถ้าเจ้าบอกไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่งได้หรือ? อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ถูกควบคุมอยู่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ แล้วก็ทำร้ายเขาไม่ได้แล้ว เขาจึงเดินไปตรงหน้าเฟิ่งรั่วหนาน เอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “ไยท่านแม่ทัพจึงกล่าวเช่นนี้? บนโลกนี้ยังจะหาบุรุษใดที่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเท่าท่านอ๋องของข้าได้อีกหรือ?”
เพียงประโยคเดียวก็ด้อยค่าบุรุษอื่นในใต้หล้าไปจนหมด ทำให้บรรดาบุรุษที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างพูดไม่ออก แต่ก็ทราบว่าไม่อาจถือคำพูดนี้เป็นจริงเป็นจังได้
มุมปากเฟิ่งหลิงปอกระตุกเล็กน้อย ค่อนขอดอยู่ในใจ เจ้าอยากเยินยอซางเฉาจงก็ไม่ว่าหรอก แต่จำเป็นต้องมากล่าวดูแคลนคนอื่นเช่นนี้ด้วยหรือ?
คำพูดนี้ดูแคลนแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำ หนิวโหย่วเต้าไหนเลยยังจะใส่ใจความคิดของบุรุษคนอื่นอีก
“ผายลม!” เฟิ่งรั่วหนานพ่นคำสบถที่หยาบคายยิ่งนักใส่เขา ทำเอาเผิงอวี้หลานกระดากอายอยู่บ้าง แม้จะเป็นแม่ทัพหญิงคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีมีสกุล เป็นลูกสาวของนาง
หนิวโหย่วเต้าเมินเฉยต่อความหยาบคายของนาง ถึงอย่างไรก็มิใช่เขาที่ต้องแต่งกับนาง จึงย้อนถามเสียงดังว่า“ท่านแม่ทัพเคยพบท่านอ๋องของข้าหรือไม่ รู้จักท่านอ๋องของข้าดีแค่ไหน? หากไม่เคยพบ เหตุใดถึงตัดสินว่าท่านอ๋องของข้าเป็นคนกระจอกที่ต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ?”
เฟิ่งรั่วหนานสวนกลับ “ถุย! ข้าจะพบเขาไปไย ให้เขาไสหัวออกไปให้ไกลเสีย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าจะดีที่สุด มิเช่นนั้นข้าจะเอาทวนแทงเขาให้ตายซะ! ยังมีเจ้าด้วยไอ้สุนัขชั้นต่ำ ไอ้สุนัขชั้นต่ำไร้จิตสำนึก…” นางพ่นถ้อยคำหยาบคายออกมาเป็นพรวน
ถูกด่าแค่ไม่กี่คำเขาไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว! หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความรู้สึกที่ต้องการดิ้นรนหาทางรอดของนาง จึงไม่คิดจะถือสานาง เขาตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาในทันใด ข่มเสียงโวยวายของเฟิ่งรั่วหนานเอาไว้ “ท่านแม่ทัพอคติกับท่านอ๋องเกินไปแล้ว! ท่านแม่ทัพเข้าใจความรู้สึกที่ต้องถูกขังอยู่ในคุกเป็นเวลานานหลายปีหรือไม่? โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์ทรมานบีบให้รับสารภาพอยู่ทุกวัน ชายชาตรีที่เผชิญหน้ากับทัณฑ์ทรมานเช่นนั้น แล้วยังยืนหยัดยอมตายไม่ยอมจำนนไม่ยอมปริปากสารภาพเลยเป็นเวลาหลายปี บนโลกนี้จะมีอยู่สักกี่คนกัน? เท่าที่ข้ารู้มาก็มีเพียงท่านอ๋องของข้าเท่านั้น!”
เขากวาดตามองคนรอบข้าง ยกนิ้วโป้งขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ยอมแพ้แม้ประสบความยากลำบาก แน่วแน่มั่นคง เช่นนี้สิถึงจะเป็นชายชาตรีขนานแท้ เช่นนี้สิถึงจะห้าวหาญเด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง! ความจริงพิสูจน์ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง กาลเวลาคือเครื่องพิสูจน์ความจริง ท่านอ๋องมิใช่คนที่ชายชาตรีห้าวหาญหน้าไหนจะสามารถเทียบชั้นได้!”
เขาหันไปเอ่ยถามเฟิ่งรั่วหนานอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพคงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนอกประตูเมืองหลวง ที่ทหารยามรักษาเมืองจงใจสร้างความอัปยศให้แก่ท่านอ๋อง ก่อนจะถูกท่านอ๋องลากสังขารผอมแห้งซูบเซียวตวัดดาบสังหารเขาต่อหน้าสาธารณชนใช่หรือไม่? ขอถามหน่อยเถิดว่าใต้เบื้องยุคลบาทองค์ฝ่าบาท ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่กล้าสังหารทหารยามรักษาเมืองโดยไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย? ท่านแม่ทัพกล้าหรือไม่เล่า?” ครั้งนี้เขาตะเบ็งเสียงใส่เฟิ่งรั่วหนานดังเป็นพิเศษ
จากนั้นก็หันไปถามทุกคนอีกครั้ง “ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ มีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้หรือไม่? หากกล้าก็ก้าวออกมาเลย!” สายตาเขาจับจ้องเฟิ่งหลิงปอพลางเอ่ยถาม “ท่านผู้ว่าการกล้าหรือไม่?”
คำถามนี้ทำเอาเฟิ่งหลิงปอรู้สึกอยากกลอกตาใส่เขาขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาอยากพูดเหลือเกินว่าคงเป็นเพราะซางเฉาจงมั่นใจเต็มที่ว่าตอนนี้ฝ่าบาทลงมือสังหารเขาไม่ได้ถึงได้กล้าทำเช่นนั้นกระมัง? แต่หนิวโหย่วเต้าก็หันกลับไปหาเฟิ่งรั่วหนานแล้วชูนิ้วโป้งชื่นชมต่อ “นี่สิถึงจะเป็นบุรุษเลือดร้อน นี่สิถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง มิใช่ชายชาตรีทั่วไปอย่างที่ท่านแม่ทัพจินตนาการถึง จินตนาการเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ไยท่านแม่ทัพจึงมองข้ามไปเสียเล่า? เหตุใดต้องทิ้งสิ่งใกล้ตัวไปแสวงหาสิ่งไกลตัว ละทิ้งความจริงเพื่อแสวงหาภาพมายาด้วย?”
เฟิงรั่วหนานถูกเขาหลอกล่อจนไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร
หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินเข้าไปหาเผิงอวี้หลานอีกครั้ง “ท่านอ๋องของข้าเป็นเชื้อพระวงศ์มีบรรดาศักดิ์สืบทอดรุ่นสู่รุ่น หนิงอ๋องผู้เป็นพระบิดาของพระองค์ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังหวั่นเกรงอยู่สามส่วน ปัจจุบันถึงแม้จะถูกปลดจากบรรดาศักดิ์ชินอ๋องแล้ว แต่ก็ยังเป็นจวิ้นอ๋องผู้สูงส่งทรงเกียรติอยู่ หากธิดารักของฮูหยินออกเรือนกับท่านอ๋องก็จะกลายเป็นพระชายาอ๋องผู้สูงส่งมีเกียรติ ใต้หล้านี้จะมีสตรีสักกี่คนที่ได้เสพสุขกับเกียรติยศเช่นนี้? อาศัยเพียงคำว่า ‘บุตรชายหนิงอ๋อง’ สี่คำนี้ ยังจะทำให้ธิดารักของฮูหยินต้องเสียหน้าอีกหรือ? ข้าเอ่ยวาจาด้วยใจจริง หวังว่าฮูหยินจะประจักษ์แจ้ง”
พระชายาอ๋องหรือ? คำนี้แวบเข้ามาในสมองเผิงอวี้หลาน นางเหลือบมองสีหน้าเฟิ่งหลิงปอเล็กน้อย จากนั้นหันไปโบกมือสั่งชายชรา “พาคุณหนูออกไปคุมตัวไว้ก่อน”
ชายชราคนนั้นดันไหล่เฟิ่งรั่วหนานให้เดินออกไปด้านนอกทันที เฟิ่งรั่วหนานได้สติกลับมา ทว่าควบคุมร่างกายไม่ได้ นางหันหน้ากลับมาร้องตะโกนดังลั่น “ท่านแม่ ข้าไม่แต่ง ข้าไม่แต่ง ไอ้สารเลวนี่เป็นคนหลอกลวง มันเป็นคนหลอกลวง วาจาของคนหลอกลวงไหนเลยจะเชื่อถือได้! ท่านแม่…หนิวโหย่วเต้า เจ้าคืนเงินข้ามานะ เจ้าเอาเงินข้าคืนมา…”
ตัวคนหายลับไปแล้ว ทว่าเสียงทวงเงินยังก้องสะท้อนอยู่ หัวคิ้วของหยวนกังที่มีสีหน้าเรียบเฉยกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
เผิงอวี้หลานก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เอ่ยถามหนิวโหย่วเต้า “เรื่องคืนเงินนี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
คำถามนี้ชวนให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วน ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับยิ้มร่าพลางกล่าวตอบ “จะว่าไปตัวข้ากับธิดารักของฮูหยินก็นับว่าเป็นคนรู้จักเก่า หลายปีก่อนตอนเยาว์วัย ข้ายังมิได้เข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ระหว่างที่ล่องแพไปตามทาง บังเอิญพบธิดารักของฮูหยินเข้า เกือบถูกธิดารักของฮูหยินใช้ธนูยิงสังหารแล้ว จากนั้นธิดารักของฮูหยินได้มอบป้ายชื่อของนางแก่ข้า บอกว่าภายภาคหน้าให้ข้ามาเข้าร่วมกับนาง เรื่องนั้น…พูดไปแล้วก็น่าละอาย ข้าขัดสนเงินทอง จึงขอยืมเงินจากธิดารักของฮูหยินเล็กน้อย แต่จะนำมาใช้คืนในภายหลังแน่นอน ไม่บิดพลิ้วแน่!” เขาจงใจพูดให้คลุมเครือ
เผิงอวี้หลานพลันกระจ่าง เรื่องที่บังเอิญพบกันตอนล่องแพดูเหมือนนางจะเคยได้ยินจากบุตรสาวแล้ว แต่ยังเคยหยิบยืมเงินกันด้วยหรือ? นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน คิดว่าเด็กยากไร้คนหนึ่งคงหยิบยืมเงินไปไม่เท่าไรกระมัง
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยขึ้นมาว่า “เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องไร้ประโยชน์พวกนั้นได้แล้ว คุยธุระสำคัญดีกว่า ในเมื่อมอบของที่อยู่ในรายการสินสอดให้ไม่ได้ แล้วข้าจะยกลูกสาวให้ซางเฉาจงได้อย่างไร?”
การที่พูดแบบนี้ออกมา แสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อเรื่องการมีอยู่ของทัพกาทมิฬแสนตัวนั้นแล้ว
หนิวโหย่วเต้าชี้มือออกไปด้านนอกพลางเอ่ยว่า “ของอยู่ที่อำเภอชางหลูซึ่งเป็นเมืองศักดินาของท่านอ๋องในจังหวัดชิงซาน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฝ่าบาททรงบังคับให้ท่านอ๋องกลับไปยังอำเภอชางหลู!”
เฟิ่งหลิงปอหรี่ตาเอ่ยว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงทราบแล้วว่ามันอยู่ที่ใด แล้วมันยังจะเหลือมาถึงมือข้าอีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวตอบ “หากหาพบง่ายดายปานนั้น เกรงว่าท่านอ๋องคงตายอยู่ในคุกหลวงไปนานแล้ว ไหนเลยจะรั้งรอมาถึงปัจจุบันนี้ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เพียงแค่คิดก็คงทราบแล้วกระมังว่ายามที่หนิงอ๋องสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาจะต้องเก็บเป็นความลับแน่นอน ต่อให้ท่านอ๋องไปถึงอำเภอชางหลูแล้วก็ยังต้องค่อยๆ สืบเสาะตามหาไปเช่นกัน”
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยว่า “แม้แต่ตัวเขาก็ยังต้องค่อยๆ ตามหา เช่นนั้นข้าจะเอาเขามาทำอันใดอีก ข้าไปค้นหาเองก็ได้…” เอ่ยยังไม่ทันจบ เขาก็มองเห็นหนิวโหย่วเต้ามองตนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม ภายในใจรู้สึกอับจนปัญญา ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็พูดอยู่ว่าได้เตรียมการรับมือไว้แต่แรกแล้ว หากกล้าเขี่ยซางเฉาจงทิ้งแล้วไปค้นหาเองก็ลองดู ทางฝั่งนั้นจะแพร่กระจายเรื่องนี้ให้ทุกคนทราบทันที เมื่อถึงเวลาตัวเขาเฟิ่งหลิงปอคงต้านรับไม่ไหวเช่นกัน
เขาใคร่ครวญดูเล็กน้อย ตัดสินใจเปลี่ยนคำพูด “หากข้าตกลงแต่งงานเกี่ยวดองกับเขาจริงๆ ทันทีที่ทหารไปถึงอำเภอชางหลู เกรงว่าฝ่าบาทคงมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาทันที พระองค์คงนึกสงสัยว่าข้าทราบความลับนี้เข้าแล้วเป็นแน่!”
หนิวโหย่วเต้าผายมือออกพร้อมเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? วิกฤตที่รุมเร้าแคว้นเยี่ยนทั้งนอกทั้งในในยามนี้ล้วนแต่พระองค์เป็นคนก่อ เวลานี้พระองค์จะกล้าแตกหักกับท่านผู้ว่าการอย่างเปิดเผยหรือ? หากว่ากล้าทำ เกรงว่าฝ่าบาทคงกำจัดท่านผู้ว่าการทิ้งไปนานแล้ว ที่พระองค์ไม่ทำเช่นนั้น มิใช่เป็นเพราะกลัวศัตรูด้านนอกจะฉวยโอกาสที่ในแคว้นวุ่นวายบุกเข้ามาโจมตีหรอกหรือ? เช่นนั้นพระองค์ก็ย่อมไม่กล้ากระทำเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน เพราะหากแคว้นอื่นทราบว่ามีสิ่งนี้อยู่ในแคว้นเยี่ยน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือแคว้นต่างๆ จะดาหน้าเข้ามาโจมตี แคว้นเยี่ยนย่อมย่อยยับ! และทันทีที่ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านผู้ว่าการกุมความลับนี้ไว้ สถานการณ์จะกลับกลายเป็นหยิกเล็บกลัวเนื้อเจ็บ ฝ่าบาทจะไม่กล้าบีบคั้นท่านผู้ว่าการจนเกินไป หากท่านผู้ว่าการกุมจุดอ่อนข้อนี้ไว้ มันจะกลายเป็นเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งของจังหวัดกว่างอี้ อย่างน้อยๆ ราชสำนักก็คงไม่กล้าลงมือส่งเดช! นี่คือกลยุทธ์ปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว ท่านผู้ว่าการอย่าได้ลังเลอีกเลย รีบตัดสินใจโดยเร็วเถิดขอรับ!”
เฟิ่งหลิงปอลูบเคราที่สั้นกุดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ
เผิงอวี้หลานที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยขัดขึ้นมา “บุตรชายหนิงอ๋องเหมือนจะฟังดูดี อย่าบอกข้าเชียวนะว่าเจ้าไม่รู้ถึงแนวคิดอันสุดโต่งของหนิงอ๋องสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าล้วนไม่พอใจหนิงอ๋อง หากแต่งลูกเขาเป็นเขย แล้วสำนักหยกสวรรค์ของข้าจะไปอยู่ที่ใดได้?”
หนิวโหย่วเต้าหันมาหาอย่างฮึกเหิม โต้แย้งอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน “ฮูหยินเป็นยอดหญิงในหมู่สตรี ไฉนจึงมีความคิดเช่นหญิงชาวบ้านทั่วไปเช่นนี้ล่ะขอรับ? หนิงอ๋องเป็นคนโง่หรือไร? แม่ทัพเลื่องชื่อที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ไหนเลยจะพลาดท่าเพราะตัวเองได้ง่ายๆ? มาตรว่าเขาจะมีความคิดสุดโต่งเช่นนั้นจริง แต่ตามสถานการณ์ปกติทั่วไปแล้ว ฮูหยินคิดว่าหนิงอ๋องจะเที่ยวป่าวประกาศเรื่องนั้นออกมาโต้งๆ หรือขอรับ? คนอื่นอาจจะไม่ทราบ แต่ท่านอ๋องของข้าเป็นคนในย่อมทราบปมสาเหตุภายในเรื่องราวดี ฮูหยินลองประมวลสถานการณ์ในเวลานั้นให้ดี ขณะนั้นอดีตองค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานหนิงอ๋องเป็นอย่างยิ่ง ในความคิดของคนส่วนมากแล้ว หนิงอ๋องมีโอกาสสูงมากที่จะได้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่จู่ๆ กลับเกิดเรื่องที่หนิงอ๋องขัดแย้งกับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าขึ้นในเวลานั้นพอดี ฮูหยินไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรอกหรือขอรับ? หลังเกิดเรื่องขึ้น อดีตองค์ฮ่องเต้ได้รับแรงกดดันมหาศาล เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์ก็คงเป็นหนึ่งในสำนักที่ร่วมกดดันเช่นกัน ต่อมาอดีตองค์ฮ่องเต้สวรรคตลงกะทันหัน สิ้นพระชนม์อย่างมีเงื่อนงำ จู่ๆ ก็มีราชโองการยกราชบัลลังก์ให้ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันโผล่ออกมา สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายเป็นผู้ใดที่ได้ประโยชน์เล่า? ต่อให้ไร้ซึ่งหลักฐานยืนยัน แต่ขอเพียงมิใช่คนโง่ก็น่าจะคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร”
เขาหันไปกวาดตามองเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในห้องโถงต่อ คาดว่าคงเป็นคนของสำนักหยกสวรรค์ทั้งสิ้น หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอธิบายว่า “ความคิดของบิดา ใช่ว่าบุตรจะต้องรับสืบทอดมาด้วย ต่อให้ใจคนยากคาดเดา ตอนนี้ก็ต้องมองข้ามไปก่อน ขอเพียงสำนักหยกสวรรค์ยอมเกี่ยวดองกับยงผิงจวิ้นอ๋อง ประกาศต่อโลกภายนอกว่ายงผิงจวิ้นอ๋องละทิ้งเจตนารมณ์ของบิดาแล้ว ไม่ว่าทุกคนจะเชื่อหรือไม่ แต่ด้วยอำนาจของสำนักหยกสวรรค์แล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดอยากขัดแย้งวิวาทกับสำนักหยกสวรรค์จนล่มจมกันไปข้างหนึ่งเพื่อท่านอ๋องตกอับผู้หนึ่งแน่ เพราะนั่นจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย เรื่องที่ควรต้องพะวงคือฝ่าบาทอาจปลุกระดมสำนักบำเพ็ญเพียรในแคว้นเยี่ยนให้ร่วมมือกันกดดันสำนักหยกสวรรค์ แต่ถ้าสำนักหยกสวรรค์กุมจุดอ่อนเรื่อง ‘กาทมิฬแสนตัว’ ไว้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปฝ่าบาทย่อมแบกรับผลกระทบที่จะตามมาไม่ไหว ขอเรียนถามว่าฝ่าบาทยังจะกล้าบีบคั้นสำนักหยกสวรรค์เช่นนี้อีกหรือ? ดังนั้นความกังวลของฮูหยินจึงไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็นกังวลเลย!” เขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ท่าทางดูคล้ายไม่มีความกังวลอันใดเลย
จากนั้นก็หันกลับไปเกลี้ยกล่อมเฟิ่งหลิงปอต่อ “การทำเช่นนี้ยังมีผลดีอีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือท่านผู้ว่าการสามารถอาศัยเรื่องนี้ลองทดสอบได้ว่าเรื่อง ‘กาทมิฬแสนตัว’ เป็นความจริงหรือไม่ หากฝ่าบาทกล้าเคลื่อนทัพเข้าโจมตีจังหวัดกว่างอี้ ปลุกระดมสำนักต่างๆ ให้กดดันสำนักหยกสวรรค์ เช่นนั้นย่อมยืนยันได้ว่าเรื่อง ‘กาทมิฬแสนตัว’ เป็นคำโป้ปดมดเท็จ ท่านผู้ว่าการสามารถละทิ้งจวิ้นอ๋องได้ทุกเมื่อ ต่อให้ฆ่าแกงกัน พวกเราก็จะไม่ขุ่นเคืองอาฆาต! แต่ถ้าหากฝ่าบาทพะวงไม่กล้าลงมือล่ะก็ คาดว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความอีก” พูดจบก็ประสานมือกล่าวกับสองสามีภรรยาว่า “ท่านอ๋องของข้าหวังแต่งธิดารักของพวกท่านด้วยความจริงใจ หวังว่าท่านผู้ว่าการและฮูหยินจะช่วยให้สมหวังด้วยขอรับ!”
……………………………………………………….