ตอนที่ 48 ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาภายในทั้งสิ้น
เฟิ่งหลิงปอและภรรยาต่างเงียบไป ซางเฉาจงต้องการสู่ขอด้วยความ ‘จริงใจ’ เช่นไร อีกฝ่ายได้ชี้แจงไว้แจ่มแจ้งแล้ว มิใช่เพราะชอบพอ หากแต่เป็นเพราะสามารถพึ่งพิงอำนาจของทางฝั่งนี้แลกกับหนทางรอดอันน้อยนิดได้ ทว่าบุตรสาวของฝั่งนี้เป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญ จะให้ออกเรือนไปง่ายๆ ก็ดูคล้ายไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร แต่ถ้าว่ากันในอีกมุมหนึ่ง หากเป็นไปตามที่อีกฝ่ายว่ามา หากสามารถยึดกุมจุดอ่อนเรื่อง ‘กาทมิฬแสนตัว’ ไว้ในมือได้ แรงกดดันที่ทางฝั่งนี้จะได้รับจากทางราชสำนักจะต้องลดน้อยลงอย่างแน่นอน การให้บุตรสาวออกเรือนไปก็คล้ายว่าจะเข้าทีเช่นกัน
“เจ้าเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เทียบกับหนิงอ๋องแล้ว ชื่อเสียงคล้ายจะไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ไม่ว่าจะตอบรับข้อเสนอของซางเฉาจงหรือไม่ ก็ดูเหมือนไม่มีความจำเป็นต้องคุ้มครองเจ้าด้วยกระมัง?”
ไป๋เหยาที่ยืนพิงเสาอยู่ด้านหลังพลันเอ่ยหักหน้ากันอย่างไม่อินังขังขอบ
หนิวโหย่วเต้าหันมองแวบหนึ่ง เอ่ยแก้ทันที “ข้าถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก!”
ทุกคนในห้องโถงต่างตกตะลึง วาจาอื่นอาจกล่าวส่งเดชได้ แต่ในโลกบำเพ็ญเพียรการพูดจาตัดขาดสำนักเช่นนี้อาจจะถูกมองว่าอกตัญญูคิดลบล้างอาจารย์ได้ ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวส่งเดช หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการดักสังหารของซ่งเหยี่ยนชิง?
ไป๋เหยาค่อยๆ เน้นอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า “เรื่องระหว่างเจ้ากับตระกูลซ่ง สำนักหยกสวรรค์ของเราไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้อง” ความหมายในวาจาก็คือสำนักหยกสวรรค์ไม่จำเป็นต้องคุ้มครองเจ้า เจ้าสวดภาวนาเพื่อตัวเองให้มากก็แล้วกัน!
หนิวโหย่วเต้ามิได้นำพา เจ้าล้อเล่นอะไรของเจ้า ตอนที่บอกลาพวกซางเฉาจงที่วัดหนานซานเพื่อออกเดินทาง เขาเคยพูดเรื่องการล้างแค้นของตระกูลซ่งไปแล้ว บอกว่าตนจะจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้มาถึงที่นี่แล้วไหนเลยจะปล่อยให้มาเสียเที่ยวได้? เขายิ้มเล็กน้อยให้เฟิ่งหลิงปอพลางกล่าวว่า “ลืมแจ้งท่านผู้ว่าการไปเลย อาจารย์ของข้านามว่าตงกัวเฮ่าหราน ศิษย์ในสายสืบทอดของอาจารย์เหลือเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น เรื่องการสร้างกาทมิฬแสนตัวของหนิงอ๋องอยู่ในความรับผิดชอบของท่านอาจารย์ เรื่องตามหากาทมิฬแสนตัวนั้น บางทีข้าอาจช่วยเหลือได้! แต่ถ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า ข้าจะจากไปเอง ไม่รบกวนแน่นอนขอรับ!” ความหมายที่แฝงในวาจาคือดูสิว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร
คนผู้นี้คือศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานอย่างนั้นหรือ? ทุกคนพูดไม่ออก หากเป็นจริงอย่างที่เขาว่ามา มันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะช่วยหากาทมิฬแสนตัวนั้นได้ สายสัมพันธ์ระหว่างหนิงอ๋องและตงกัวเฮ่าหรานมิใช่ความลับอันใดเลย
ไป๋เหยาค่อยๆ หลับตาลง ถูกดักทางจนไม่รู้จะพูดอะไรอีก
เฟิ่งหลิงปอกลับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าซางเฉาจงเป็นคนอย่างไร เอาแค่ว่าหากมองจากสถานการณ์ของซางเฉาจงในเวลานี้ เขาไม่นับว่าเป็นเจ้านายที่ดีเลย แล้วเหตุใดเจ้าถึงยอมติดตามทำงานให้เขาเช่นนี้?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “รู้จักผู้กล้า ให้ค่าชายชาตรี!” คำตอบสอดคล้องกับที่เกลี้ยกล่อมเฟิ่งรั่วหนานไปก่อนหน้านี้
เฟิ่งหลิงปอหัวเราะหยันดังเฮอะๆ เหล่ตามองพลางเอ่ยว่า “ข้าพอรู้จักซางเฉาจงอยู่บ้าง มาตรว่าจะมิใช่คนโง่เขลา ทว่ายังมิอาจเทียบบิดาเขาได้ เขาไม่มีทางวางแผนเช่นนี้ได้ หาไม่แล้วตอนนั้นคงไม่มีทางติดกับจนโดนจับเข้าคุกเป็นแน่ แผนการเช่นนี้คงเป็นหลานรั่วถิงศิษย์ของลั่วเส่าฟูที่มอบหมายให้เจ้ามาโน้มน้าวเจรจากระมัง?”
ลั่วเส่าฟูก็คืออาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้หลานรั่วถิง เป็นคนสนิทของหนิงอ๋อง และยังเป็นยอดกุนซืออันดับหนึ่งในสังกัดของหนิงอ๋องด้วย หนิงอ๋องตกอยู่ในสภาวะคับขันปานนั้นก็ยังยืนหยัดมาได้หลายปี ล้วนต้องยกความดีความชอบให้ลั่วเส่าฟู ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้า
ตัวหนิวโหย่วเต้าเองก็เป็นคนไม่ชอบออกหน้าอยู่แล้ว คนที่ไม่ยอมโอ้อวดแสดงตัวแม้แต่ในโลกที่สงบสุขรุ่งเรือง ไหนเลยจะยอมออกหน้าในโลกที่โกลาหลวุ่นวายเช่นนี้ได้ เขาพยักหน้ารับทันที “มิบังอาจปิดบัง เป็นคำแนะนำของท่านหลานขอรับ!”
“หลานรั่วถิง…ศิษย์โดดเด่นเพราะมีอาจารย์ดี!” เฟิ่งหลิงปอถอนหายใจด้วยความสะท้อนใจยิ่ง จากนั้นมองหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “เจ้าอยากมาทำงานใต้สังกัดข้าหรือไม่?” เขาถูกใจหนิวโหย่วเต้าอยู่บ้าง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ตาบอด อีกฝ่ายใช้วาทศิลป์อันยอดเยี่ยมคุยฟุ้งเป็นคุ้งเป็นแควอยู่ในห้องโถงเช่นนี้ก็นับว่ามีฝีมือเช่นกัน เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง
สายตาเขาหันเหไปที่หยวนกังต่อ เขาพบว่าซางเฉาจงมีลูกน้องฝีมือดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว มีหนิวโหย่วเต้าเจ้าคารมที่อยู่ตรงหน้า ซ้ำยังมีหลานรั่วถิงที่เชี่ยวชาญในการวางแผน หยวนกังคนนั้นก็ไม่เลวเช่นกัน ไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่ เขากลับค่อนข้างคาดหวังตั้งตารอ หากสามารถดึงตัวพวกซางเฉาจงทั้งหมดมาอยู่กับตนได้ บางทีอาจจะมิใช่เรื่องแย่ก็เป็นได้
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ต่อไปหากท่านผู้ว่าการและจวิ้นอ๋องกลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน ลูกน้องของท่านอ๋องย่อมเป็นลูกน้องของท่านผู้ว่าการด้วย ไม่มีการแบ่งแยกอันใด วันหน้าหากมีคำสั่งลงมา ข้าไหนเลยจะกล้าขัดขืนได้ขอรับ?” พูดจาเสมือนซางเฉาจงแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานไปแล้ว
เผิงอวี้หลานทนไม่ไหวร้องด่าไปคราหนึ่ง “พูดจากะล่อนนักนะ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มรับ จากนั้นประสานมือให้อีกครั้งพลางกล่าวว่า “ฮูหยินชมเกินไปแล้ว แต่ข้าหวังจากใจจริงว่าฮูหยินจะกลายเป็นมารดาพระชายาอ๋องอย่างแท้จริงในเร็ววัน!” จากนั้นมองไปที่เฟิ่งหลิงปออีกครั้ง รอคอยคำตอบที่ชัดเจนจากเขา
คำว่า ‘พระชายาอ๋อง’ ทำให้เผิงอวี้หลานหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกซับซ้อนสับสนอย่างมาก ถ้าให้บุตรสาวออกเรือนไปเช่นนี้ดูเหมือนจะ…
“ข้าจะทบทวนเรื่องนี้ดูอีกที!” เฟิ่งหลิงปอค่อยๆ ไตร่ตรองดู
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว อีกทั้งท่าทีของเฟิ่งหลิงปอก็ผ่อนคลายเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าทราบว่าเรื่องนี้สำเร็จไปแล้วเก้าในสิบส่วน เพียงแต่เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องโยงใยกับอีกหลายเรื่อง เฟิ่งหลิงปอยังมิอาจตัดสินใจเองได้ เกรงว่าคงต้องขอความเห็นจากสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังเสียก่อน
หนิวโหย่วเต้าเองก็มิได้หักหน้าเขา เพียงเอ่ยเตือนว่า “มีบางเรื่องที่จำเป็นต้องเตือนท่านผู้ว่าการไว้ จวิ้นอ๋องยังรอฟังข่าวอยู่ที่วัดหนานซาน ด้านนี้มีการยกขบวนมารับเจ้าสาวใหญ่โตเอิกเกริกเช่นนี้ เกรงว่าคนของทางราชสำนักอาจได้รับรายงานข่าวแล้ว ในการเดินทางของท่านอ๋องครั้งนี้ยากจะบอกได้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรยอดฝีมือของราชสำนักคอยจับตามองหรือไม่ หากล่าช้านานไปเกรงว่าจวิ้นอ๋องจะมีอันตรายได้ ไม่ว่าท่านผู้ว่าการจะตอบตกลงหรือไม่ ข้าก็หวังว่าท่านผู้ว่าการจะยอมส่งคนไปช่วยเสริมกำลัง เลี่ยงมิให้จวิ้นอ๋องถูกลอบสังหารขอรับ!”
วาจานี้ทำให้สีหน้าของเฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลานตึงเครียดขึ้นมา
เผิงอวี้หลานเยาะเย้ย “สมควร! ผู้ใดใช้ให้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้เล่า?”
หนิวโหย่วเต้าคิดในใจ หากไม่ทำให้ผู้คนรู้ทั่วกัน หากไม่ทำให้ผู้คนทราบกันว่าซางเฉาจงจะแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานเพื่อพึ่งพาบารมีของจังหวัดกว่างอี้ แล้วจะทำให้ฝั่งราชสำนักหวาดหวั่นได้อย่างไร แล้วถ้าเกิดทางฝั่งเจ้าเข้ามาควบคุมฝั่งของพวกข้าอย่างเงียบๆ อีก นั่นมิเท่ากับว่าความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกหรอกหรือ เช่นนั้นพวกข้าย่อมต้องตัดความเป็นไปได้ที่อาจจะทำให้พวกเจ้าเกิดความคิดไม่ซื่อออกไปก่อน
เขาเพียงยิ้มให้แวบหนึ่ง เอ่ยรบเร้าต่อ “ทางด้านจวิ้นอ๋องไม่อาจรั้งรอได้ หากปล่อยไว้นานเข้าอาจเกิดเรื่องขึ้นได้ขอรับ!”
เฟิ่งหลิงปอพลันหันมองไปทางชายชราที่เพิ่งกลับเข้ามา เอ่ยเสียงขรึมว่า “โซ่วเหนียน เจ้าจงพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งตามไปสมทบกับทางฝั่งวัดหนานซานก่อน กองหนุนส่วนที่เหลือจะตามไปทีหลัง!”
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองชายชราที่ลงมือกับหยวนกังก่อนหน้านี้คนนั้น จดจำชื่อของอีกฝ่ายไว้ในใจ!
“ขอรับ!” ชายชรารับคำสั่ง หันหลังสาวเท้าก้าวออกไป เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูพลันยื่นมือออกไป กระบี่เล่มหนึ่งไม่รู้ว่าถูกโยนมาจากไหน เขาคว้าจับกระบี่ไว้ในมือ บุคลิกท่วงท่าแปรเปลี่ยนไป ไหนเลยจะยังดูเหมือนบ่าวชราผู้สุภาพนอบน้อมคนหนึ่งอยู่
หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนภายในจวนผู้ว่าการแห่งนี้จะมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยเลย กระทั่งคนที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งก็ยังไม่ธรรมดา
ทว่ามันก็พอจะเข้าใจได้ หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าเฟิ่งหลิงปอคงถูกคนของราชสำนักจัดการไปนานแล้ว
ในขณะที่ก้าวเดินออกไปจากประตูข้าง ด้านหลังโซ่วเหนียนก็มีคนชุดดำตามหลังไปสี่คน ทั้งห้าขี่ม้าจากไปพร้อมกัน
พอพ้นประตูเมือง ทั้งห้ากระตุกบังเหียนเร่งม้าทันที พุ่งทะยานไปอย่างบ้าระห่ำ โซ่วเหนียนนำอยู่ด้านหน้า แขนเสื้อกางโต้ลม อาภรณ์โบกสะบัดอย่างรุนแรง
หลังจากทั้งห้าคนออกจากเมืองไปได้ไม่นาน ทหารม้าเกราะเหล็กห้าร้อยนายก็ควบม้าทะยานออกไป มุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน
ทั้งห้าคนที่ออกนำไปก่อนสามารถผลัดเปลี่ยนพาหนะตามจุดพักม้าได้ตลอดทาง ทว่าทหารม้าห้าร้อยนายที่ตามมาทีหลังย่อมไม่มีม้าให้ผลัดเปลี่ยนมากมายขนาดนั้น แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าไม่มีทางไล่ตามกันทัน
ผ่านไปไม่นานนัก มีใครอีกคนควบม้าออกจากเมือง เป็นองครักษ์ที่หนิวโหย่วเต้ามอบหมายให้ไปแจ้งข่าวล่วงหน้า ทางฝั่งซางเฉาจงยังไม่ทราบเรื่องนี้เลยสักนิด เกรงว่าจะเกิดการเข้าใจผิดอันใดขึ้น
เวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัวลง…
…….
ภายในตัวเมืองจังหวัดกว่างอี้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ประชาชนในเมืองต่างพูดถึงเรื่องที่เฟิ่งรั่วหนานจะออกเรือนกับซางเฉาจง
ภายในจวนผู้ว่าการได้ทำการส่งข่าวไปแจ้งยังสำนักหยกสวรรค์แล้ว ขณะนี้กำลังรอคอยการตอบกลับจากสำนักหยกสวรรค์อยู่
ภายในห้องหนังสือ แสงเทียนส่องวูบไหว เฟิ่งหลิงปอเดินวนกลับไปกลับมา ครุ่นคิดพลางเอ่ยถามว่า “ฮูหยิน เจ้าคิดว่าทางสำนักหยกสวรรค์จะตอบตกลงหรือไม่?”
เผิงอวี้หลานที่นั่งอยู่ด้านข้างวางถ้วยน้ำชาในมือลง เอ่ยขึ้นว่า “คำพูดของหนิวโหย่วเต้าสมเหตุสมผลทุกอย่าง ไม่มีเหตุผลอะไรที่สำนักหยกสวรรค์จะยอมพลาดโอกาสในการเสริมอำนาจให้ตัวเอง เรื่องนี้คุ้มค่าพอให้สำนักหยกสวรรค์แอบลงมือทำ น่าจะไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอันใดขึ้น”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าทางรั่วหนาน…” เฟิ่งหลิงปอเอ่ยยังไม่ทันจบก็มีบ่าวรับใช้เดินเข้ามาจากด้านนอก ยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งให้
หลังจากเฟิ่งหลิงปอรับจดหมายไปอ่านดู เขาหัวเราะหยันคราหนึ่ง หันไปสั่งการบ่าวรับใช้ “ส่งข่าวให้คนที่อยู่ทางเมืองหลวงเก็บตัวกบดานชั่วคราว”
“ขอรับ!” บ่าวรับใช้ขานรับแล้วจากไป
เผิงอวี้หลานลุกขึ้นเดินเข้ามาหา “ทางเมืองหลวงเกิดอะไรขึ้น?”
“หวังเหิง! หนิวโหย่วเต้าฆ่าลูกเขยเขา เจ้าว่าจะเป็นอย่างไรเล่า?” เฟิ่งหลิงปอยื่นจดหมายให้นาง
เผิงอวี้หลานรับไปอ่าน ใจความคือหวังเหิงต้องการให้เฟิ่งหลิงปอช่วยจับตัวหนิวโหย่วเต้าส่งกลับไปที่เมืองหลวง พูดจาทำนองว่าเรื่องนี้นับว่าตัวเขาหวังเหิงติดหนี้น้ำใจเฟิ่งหลิงปอคราหนึ่ง
เมื่อเทียบกับกาทมิฬแสนตัวนั่นแล้ว หนี้น้ำใจจากหวังเหิงไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงเลยสักนิด เฟิ่งหลิงปอให้คนทางเมืองหลวงกบดานเก็บตัว เผิงอวี้หลานก็ทราบแล้วว่าสามีคิดจะทำอะไร นางเอ่ยถามว่า “แล้วจะตอบหวังเหิงว่าอย่างไร?”
“ขบวนรับตัวเจ้าสาวใหญ่โตขนาดนี้ อีกไม่ช้าหวังเหิงคงจะทราบข่าว ยังต้องตอบกลับอีกหรือ?” เฟิ่งหลิงปอโบกมือ ไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก จากนั้นกลับถอนใจแล้วกล่าวว่า “อายุของรั่วหนานก็มิใช่น้อยๆ แล้ว สมควรออกเรือนนานแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นปมในใจข้า แต่ตัวนางนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ชอบ บนโลกนี้มีบุรุษที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ในทุกด้านเสียที่ไหน? ว่ากันอย่างถึงที่สุดแล้วนางก็คงน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง แม้ว่าภายนอกจะแสร้งทำแข็งกร้าวปกปิดไว้ก็ตาม ทางฝั่งรั่วหนานคงต้องให้มารดาอย่างเจ้าไปเกลี้ยกล่อมแล้ว พวกเจ้าเป็นสตรีเหมือนกันพูดคุยกันง่าย อดทนหน่อยเถิด ค่อยๆ อธิบายเหตุผลให้นางเข้าใจ…เฮ้อ ว่ากันตามจริง การให้รั่วหนานออกเรือนไปเช่นนี้มันก็ไม่ค่อยเข้าท่าเลยจริงๆ แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว หลังซางเฉาจงเข้ามาพึ่งพิงทางฝั่งเรา พวกเขาก็ต้องเกรงใจไว้หน้าทางฝั่งเรา อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าให้ออกเรือนไปกับใครคนอื่นที่ไม่อยู่ในการควบคุมของพวกเรา ถ้าลูกหญิงออกเรือนกับเขา พวกเราก็สามารถวางใจได้ว่าอย่างน้อยก็ไม่มีทางเสียเปรียบ เจ้าลองค่อยๆ คุยกับนางก็แล้วกัน”
“เฮ้อ!” เผิงอวี้หลานถอนหายใจคราหนึ่ง พยักหน้ารับ ในใจนางทราบดี เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสำนักหยกสวรรค์จริงดั่งว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุตรสาวเลยว่าจะตกลงหรือไม่
หากว่ากันอีกมุมหนึ่ง บุตรสาวของนางแข็งกร้าวเกินไป อีกทั้งรูปร่างหน้าตาภายนอกก็ไม่ค่อยมีเสน่ห์จริงๆ บุรุษทั่วไปล้วนไม่กล้าแต่งด้วย หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ก็จะเลยช่วงวัยเหมาะสมออกเรือนเอาได้ นางเองก็ร้อนใจเช่นกัน แม้จะทราบว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้เป็นนักเจรจาที่พูดจากะล่อนคนหนึ่ง แต่พอคิดดูให้ละเอียดแล้ว เรื่องที่เขาว่ามาก็ใช่ว่าจะไม่สมเหตุสมผล ออกเรือนกับซางเฉาจงก็ไม่เลวร้ายอันใด ถ้าไม่แต่งครานี้ก็คงจะมิได้แต่งอีก แต่พอแต่งก็กลายเป็นพระชายาอ๋อง อันที่จริงผลลัพธ์เช่นนี้นับว่าดีจนไม่อาจดีไปมากกว่านี้ได้แล้ว ไม่มีอันใดให้นางต้องไม่พอใจเลยจริงๆ สำหรับข้อเรียกร้องด้านผลประโยชน์จากทางฝั่งซางเฉาจงนางพอจะเข้าใจได้ เรื่องบางอย่างนางก็รู้อยู่แก่ใจดี เมื่อพิจารณาจากรูปโฉมของบุตรสาว ซ้ำยังมีบุคลิกและนิสัยเช่นนั้นอีก หากมีบุรุษยอมแต่งงานกับนางจริง เกรงว่าคงเป็นเพราะเห็นแก่อิทธิพลภูมิหลังของตระกูลเฟิ่งทั้งสิ้น ซางเฉาจงเองก็เช่นเดียวกัน
“ข้าจะไปดูสาวน้อยคนนั้นสักหน่อย” เผิงอวี้หลานถอนหายใจแล้วเดินออกไป ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาภายในทั้งสิ้น
…………………………………………………………………..